"กสทช." แจงข้อมูลทีวีดิจิตอลระยะใกล้คลอด รูปแบบสัดส่วน "ฟรี-เพย์ทีวี" หลังช่วงเปลี่ยนผ่าน
มติชนออนไลน์ วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16:50:22 น.
อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ประชาชนชาวไทยจะได้รับชมโทรทัศน์ในรูปแบบ"ทีวีดิจิตอล" แต่ที่ผ่านมายังมีรายละเอียดและข้อคำถามเกิดขึ้นมากมายในช่วงการเปลี่ยนผ่าน ล่าสุด พ.อ.ดร.นที ศุกลรัตน์ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ชี้แจงกับมติชนออนไลน์ถึงรายละเอียดพื้นฐานที่ควรรู้เกี่ยวกับเรื่องทีวีดิจิตอล
พ.อ.ดร.นทีเปิดเผยว่าในแง่มุมหนึ่งประเทศไทยถือว่าโชคดีที่มีการเปลี่ยนผ่านจากอนาล็อกมาสู่ดิจิตอลยุคที่2เลยขณะที่หลายประเทศในทวีปเอเชียและยุโรปยังต้องเปลี่ยนผ่านจากดิจิตอลยุคที่1ไปสู่ยุคที่ 2 ขณะเดียวกันแนวทางการดำเนินการของไทยถือว่าดำเนินมาถูกทางแม้ว่าจะไม่สอดคล้องกับแนวทางของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศหรือไอทียูเช่นเรื่องข้อกำหนดวันยุติการออกอากาศแบบอนาล็อกซึ่งถือเป็นความผิดพลาดของไอทียูที่มีกำหนดไว้ในระเบียบซึ่งพ.อ.ดร.นทีมองว่าไม่ควรมีกำหนดไว้และถือว่าดิจิตอลเป็นทางเลือกขณะที่ระบบอนาล็อกก็ต้องเดินไปตามแนวทางของกฎหมาย
เช่นเดียวกับเรื่องการคัดเลือกเทคโนโลยีซึ่งพ.อ.ดร.นทีเชื่อว่าช่วงที่ไทยเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีในด้านนี้พัฒนาถึงขั้นเกือบสมบูรณ์หลังจากหลายประเทศทดลองระบบกันมาบ้างแล้วอีกทั้งไทยยังมีแนวทางดำเนินการจากการศึกษาของบริษัทผู้ผลิตสินค้าป้อนวงการโทรทัศน์ทำให้เห็นแนวทางการดำเนินการและมีข้อมูลให้ศึกษาพอสมควร
รองประธานกสทช.ระบุว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนผ่านของไทยยังต้องให้ความสำคัญกับเรื่องแนวกติกาเพื่อรองรับหลักการที่ระบุว่า"ฟรีทีวีเป็นฟรีทีวีหลักของประเทศในอนาคต"ประเด็นนี้กสทช.ให้ความสำคัญกับกติกา2รูปแบบได้แก่
- "Must Carry" เป็นประกาศที่ระบุให้ฟรีทีวีต้องให้บริการประชาชนทุกช่องทาง ในขณะที่บริการประเภทอื่นมีหน้าที่รับเนื้อหาที่ฟรีทีวีเผยแพร่ไปสู่สายตาประชาชน กล่าวคือ ฟรีทีวี จะเป็นทีวีที่ประชาชนทุกคนรับได้ทุกช่องทางโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
- "Must Have" ระบุให้คนไทยต้องเข้าถึงรายการสำคัญผ่านฟรีทีวี โดยรายการสำคัญนี้มีกำหนดไว้ 4 รายการคือ ซีเกมส์, เอเชียนเกมส์, โอลิมปิก และฟุตบอลโลก อย่างไรก็ตาม ประกาศนี้ยังมีการโต้แย้งกันอยู่ในศาลปกครองกลาง ซึ่งพ.อ.ดร.นที ยืนยันว่า ประกาศนี้จะเป็นบรรทัดฐานสำคัญในด้านการคุ้มครองสิทธิของประชาชนในแง่การรับบริการสาธารณะ
ปัจจุบันมีผู้รับชมทีวีผ่านดาวเทียมและเคเบิล50-60เปอร์เซ็นต์วันที่ออกอากาศผ่านทีวีดิจิตอลซึ่งคาดว่าจะออกอากาศวันแรกจะเป็นช่วงปลายเดือนเมษายนประชาชนจะเข้าถึงบริการได้อย่างน้อย50-60เปอร์เซ็นต์แล้วขณะเดียวกันในส่วนภาคพื้นดิน จะครอบคลุมโครงข่ายภาคพื้นดิน 11 จังหวัด ในเดือนเมษายน-มิถุนายน คิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ของครัวเรือนในประเทศไทย คาดว่า ช่วงปลายปีพ.ศ. 2557 ประชาชนจะเข้าถึงฟรีทีวีมากกว่า 80-90 เปอร์เซ็นต์จากการดำเนินการดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าฟรีทีวีเปลี่ยนผ่านรวดเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิด
ทั้งนี้ รองประธานกสทช. ระบุว่า คุณภาพการรับสัญญาณแบบเคเบิลจะแตกต่างกับภาคพื้นดิน และต้องรอการเปลี่ยนผ่านของดาวเทียมและเคเบิลไปสู่ยุคดิจิตอลยุคที่ 2
สำหรับสถานะของการเปลี่ยนผ่านในปัจจุบันรองประธานกสทช.เปิดเผยว่าสำหรับคลื่นความถี่ทีวีดิจิตอลประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่มีการประมูลคลื่นความถี่โทรทัศน์โดยพ.อ.ดร.นทีเปิดเผยว่าถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจสำหรับสังคมโลกแม้ส่วนตัวแล้วไม่สนับสนุนให้มีการประมูลคลื่นความถี่แต่กฎหมายได้กำหนดไว้ก็ต้องออกแบบการดำเนินการตามไป
"ประเทศไทยมีการแยกส่วนpublicvalue จาก commercial value แล้วมีการประเมินมูลค่าคลื่นความถี่จนเริ่มประมูล ซึ่งไม่เหมือนกับการประมูลทั่วไปที่รัฐมักแสวงหารายได้ และให้ผู้ประมูลมีเวลาคิดในช่วงการประมูลเพื่อเสนอราคาที่สูงขึ้นไป แต่การประมูลคลื่นความถี่โทรทัศน์ที่ประมูลนั้น ผมอธิบายว่าไม่ต้องการมูลค่าสูง แต่คนต้องการชนะ จริงๆแล้วเราให้เวลา 1 ชั่วโมง ให้คิดมาก่อนเลย เป็นทุกหมวดหมู่ เป็นการออกแบบการประมูลที่ไทยออกแบบเป็นที่แรก และคิดว่าจะเป็นถูกใช้เป็นต้นแบบต่อไป" พ.อ.ดร.นที กล่าว
ส่วนกระบวนการเริ่มออกอากาศนั้นรองประธานกสทช. ระบุว่า เริ่มต้น 27 ช่อง เป็น HD 10 ช่อง ขณะที่ 3 ช่องสาธารณะเป็นการออกอากาศคู่ขนานคือ 5, 11 และ TPBS ส่วนช่องชนะการประมูลอีก 24 ช่อง กสทช. จะออกใบอนุญาตช่วงปลายเดือนเมษายน คือเริ่มออกอากาศและเป็นการออกอากาศลักษณะควบคุมคุณภาพการส่งสัญญาณ การให้บริการ และตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนเป็นต้นไป จะมีการทดสอบทางเทคนิกส่งสัญญาณผ่านโครงข่าย และการส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมและเคเบิลด้วยกติกา Must Carry โดยคาดว่า หลังวันที่ 25 เมษายน จะมีความชัดเจนในส่วนวัน-เวลาของการออกอากาศ หลังจากช่วงควบคุมคุณภาพจะเข้าสู่ช่วงออกอากาศอย่างเป็นทางการ อาจ 1-2 เดือน หลังจากเดือนเมษายนไปแล้ว
นอกจากนี้ กสทช.จะมีการดำเนินการช่วยเหลือประชาชนในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบดิจิตอล สำหรับสิ่งที่ประชาชนจะได้รับจากโทรทัศน์ระดับชาติทั้งหมด 36 ช่อง แต่จากที่เผยข้างต้นว่ามี 27 ช่อง ขาดอีก 9 ช่อง กสทช. กำลังเร่งดำเนินการออกใบอนุญาตเพื่อให้ได้ครบถ้วน โดยช่องแรกที่จะเข้ามาคือช่องรัฐสภาและจะมีการออกใบอนุญาตภายใน 2 เดือนนี้ หลังจากนั้นจะมีการเชิญชวนสำหรับช่องสาธารณะประเภทต่างๆต่อไป
อย่างไรก็ตามพ.อ.ดร.นที ยอมรับว่า ยังเป็นช่วงลองผิดลองถูกในการออกใบอนุญาตสาธารณะและกสทช.จะออกใบอนุญาตเป็นระยะเวลาแค่ 4 ปีเนื่องจากกิจการโทรทัศน์ประเภทสาธารณะนั้นเป็นการทำเพื่อสาธารณะและไม่ควรแสวงหารายได้ซึ่งถือเป็นข้อจำกัดสำคัญ ส่วนทีวีชุมชนนั้นจะเริ่มให้ใบอนุญาตในปีหน้า แต่ยังต้องเจรจาหารูปแบบการดำเนินการอีกครั้ง
สำหรับช่วงเวลาหลังการออกอากาศแล้ว พ.อ.ดร.นที ยังเปิดเผยว่าไทยจะมีความชัดเจน 2 ส่วนคือจะมีฟรีทีวีที่เป็นบริการพื้นฐาน 36 ช่อง และมี 12 ช่องสาธารณะ 12 ช่องชุมชนที่แตกต่างกันไปตามท้องถิ่น ส่วนที่ 2 คือ อุตสาหกรรมโทรทัศน์จะแข็งแรงในกรณีที่สามารถขายเนื้อหาได้โดยจะต้องมีสัดส่วน Pay TV ในระดับหนึ่ง โดยพ.อ.ดร.นที เชื่อว่า ประเทศไทยน่าจะมี Pay TV ในอัตราส่วน 40-50 เปอร์เซ็นต์เพื่อให้สามารถยกระดับพัฒนาเนื้อหาได้ภายใต้พื้นฐานประชาชนสามารถเลือกระหว่างฟรีทีวี หรือ Pay TV ได้เสมอ
"กสทช." แจงข้อมูลทีวีดิจิตอลระยะใกล้คลอด รูปแบบสัดส่วน "ฟรี-เพย์ทีวี" หลังช่วงเปลี่ยนผ่าน
มติชนออนไลน์ วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16:50:22 น.
อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ประชาชนชาวไทยจะได้รับชมโทรทัศน์ในรูปแบบ"ทีวีดิจิตอล" แต่ที่ผ่านมายังมีรายละเอียดและข้อคำถามเกิดขึ้นมากมายในช่วงการเปลี่ยนผ่าน ล่าสุด พ.อ.ดร.นที ศุกลรัตน์ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ชี้แจงกับมติชนออนไลน์ถึงรายละเอียดพื้นฐานที่ควรรู้เกี่ยวกับเรื่องทีวีดิจิตอล
พ.อ.ดร.นทีเปิดเผยว่าในแง่มุมหนึ่งประเทศไทยถือว่าโชคดีที่มีการเปลี่ยนผ่านจากอนาล็อกมาสู่ดิจิตอลยุคที่2เลยขณะที่หลายประเทศในทวีปเอเชียและยุโรปยังต้องเปลี่ยนผ่านจากดิจิตอลยุคที่1ไปสู่ยุคที่ 2 ขณะเดียวกันแนวทางการดำเนินการของไทยถือว่าดำเนินมาถูกทางแม้ว่าจะไม่สอดคล้องกับแนวทางของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศหรือไอทียูเช่นเรื่องข้อกำหนดวันยุติการออกอากาศแบบอนาล็อกซึ่งถือเป็นความผิดพลาดของไอทียูที่มีกำหนดไว้ในระเบียบซึ่งพ.อ.ดร.นทีมองว่าไม่ควรมีกำหนดไว้และถือว่าดิจิตอลเป็นทางเลือกขณะที่ระบบอนาล็อกก็ต้องเดินไปตามแนวทางของกฎหมาย
เช่นเดียวกับเรื่องการคัดเลือกเทคโนโลยีซึ่งพ.อ.ดร.นทีเชื่อว่าช่วงที่ไทยเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีในด้านนี้พัฒนาถึงขั้นเกือบสมบูรณ์หลังจากหลายประเทศทดลองระบบกันมาบ้างแล้วอีกทั้งไทยยังมีแนวทางดำเนินการจากการศึกษาของบริษัทผู้ผลิตสินค้าป้อนวงการโทรทัศน์ทำให้เห็นแนวทางการดำเนินการและมีข้อมูลให้ศึกษาพอสมควร
รองประธานกสทช.ระบุว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนผ่านของไทยยังต้องให้ความสำคัญกับเรื่องแนวกติกาเพื่อรองรับหลักการที่ระบุว่า"ฟรีทีวีเป็นฟรีทีวีหลักของประเทศในอนาคต"ประเด็นนี้กสทช.ให้ความสำคัญกับกติกา2รูปแบบได้แก่
- "Must Carry" เป็นประกาศที่ระบุให้ฟรีทีวีต้องให้บริการประชาชนทุกช่องทาง ในขณะที่บริการประเภทอื่นมีหน้าที่รับเนื้อหาที่ฟรีทีวีเผยแพร่ไปสู่สายตาประชาชน กล่าวคือ ฟรีทีวี จะเป็นทีวีที่ประชาชนทุกคนรับได้ทุกช่องทางโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
- "Must Have" ระบุให้คนไทยต้องเข้าถึงรายการสำคัญผ่านฟรีทีวี โดยรายการสำคัญนี้มีกำหนดไว้ 4 รายการคือ ซีเกมส์, เอเชียนเกมส์, โอลิมปิก และฟุตบอลโลก อย่างไรก็ตาม ประกาศนี้ยังมีการโต้แย้งกันอยู่ในศาลปกครองกลาง ซึ่งพ.อ.ดร.นที ยืนยันว่า ประกาศนี้จะเป็นบรรทัดฐานสำคัญในด้านการคุ้มครองสิทธิของประชาชนในแง่การรับบริการสาธารณะ
ปัจจุบันมีผู้รับชมทีวีผ่านดาวเทียมและเคเบิล50-60เปอร์เซ็นต์วันที่ออกอากาศผ่านทีวีดิจิตอลซึ่งคาดว่าจะออกอากาศวันแรกจะเป็นช่วงปลายเดือนเมษายนประชาชนจะเข้าถึงบริการได้อย่างน้อย50-60เปอร์เซ็นต์แล้วขณะเดียวกันในส่วนภาคพื้นดิน จะครอบคลุมโครงข่ายภาคพื้นดิน 11 จังหวัด ในเดือนเมษายน-มิถุนายน คิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ของครัวเรือนในประเทศไทย คาดว่า ช่วงปลายปีพ.ศ. 2557 ประชาชนจะเข้าถึงฟรีทีวีมากกว่า 80-90 เปอร์เซ็นต์จากการดำเนินการดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าฟรีทีวีเปลี่ยนผ่านรวดเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิด
ทั้งนี้ รองประธานกสทช. ระบุว่า คุณภาพการรับสัญญาณแบบเคเบิลจะแตกต่างกับภาคพื้นดิน และต้องรอการเปลี่ยนผ่านของดาวเทียมและเคเบิลไปสู่ยุคดิจิตอลยุคที่ 2
สำหรับสถานะของการเปลี่ยนผ่านในปัจจุบันรองประธานกสทช.เปิดเผยว่าสำหรับคลื่นความถี่ทีวีดิจิตอลประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่มีการประมูลคลื่นความถี่โทรทัศน์โดยพ.อ.ดร.นทีเปิดเผยว่าถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจสำหรับสังคมโลกแม้ส่วนตัวแล้วไม่สนับสนุนให้มีการประมูลคลื่นความถี่แต่กฎหมายได้กำหนดไว้ก็ต้องออกแบบการดำเนินการตามไป
"ประเทศไทยมีการแยกส่วนpublicvalue จาก commercial value แล้วมีการประเมินมูลค่าคลื่นความถี่จนเริ่มประมูล ซึ่งไม่เหมือนกับการประมูลทั่วไปที่รัฐมักแสวงหารายได้ และให้ผู้ประมูลมีเวลาคิดในช่วงการประมูลเพื่อเสนอราคาที่สูงขึ้นไป แต่การประมูลคลื่นความถี่โทรทัศน์ที่ประมูลนั้น ผมอธิบายว่าไม่ต้องการมูลค่าสูง แต่คนต้องการชนะ จริงๆแล้วเราให้เวลา 1 ชั่วโมง ให้คิดมาก่อนเลย เป็นทุกหมวดหมู่ เป็นการออกแบบการประมูลที่ไทยออกแบบเป็นที่แรก และคิดว่าจะเป็นถูกใช้เป็นต้นแบบต่อไป" พ.อ.ดร.นที กล่าว
ส่วนกระบวนการเริ่มออกอากาศนั้นรองประธานกสทช. ระบุว่า เริ่มต้น 27 ช่อง เป็น HD 10 ช่อง ขณะที่ 3 ช่องสาธารณะเป็นการออกอากาศคู่ขนานคือ 5, 11 และ TPBS ส่วนช่องชนะการประมูลอีก 24 ช่อง กสทช. จะออกใบอนุญาตช่วงปลายเดือนเมษายน คือเริ่มออกอากาศและเป็นการออกอากาศลักษณะควบคุมคุณภาพการส่งสัญญาณ การให้บริการ และตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนเป็นต้นไป จะมีการทดสอบทางเทคนิกส่งสัญญาณผ่านโครงข่าย และการส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมและเคเบิลด้วยกติกา Must Carry โดยคาดว่า หลังวันที่ 25 เมษายน จะมีความชัดเจนในส่วนวัน-เวลาของการออกอากาศ หลังจากช่วงควบคุมคุณภาพจะเข้าสู่ช่วงออกอากาศอย่างเป็นทางการ อาจ 1-2 เดือน หลังจากเดือนเมษายนไปแล้ว
นอกจากนี้ กสทช.จะมีการดำเนินการช่วยเหลือประชาชนในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบดิจิตอล สำหรับสิ่งที่ประชาชนจะได้รับจากโทรทัศน์ระดับชาติทั้งหมด 36 ช่อง แต่จากที่เผยข้างต้นว่ามี 27 ช่อง ขาดอีก 9 ช่อง กสทช. กำลังเร่งดำเนินการออกใบอนุญาตเพื่อให้ได้ครบถ้วน โดยช่องแรกที่จะเข้ามาคือช่องรัฐสภาและจะมีการออกใบอนุญาตภายใน 2 เดือนนี้ หลังจากนั้นจะมีการเชิญชวนสำหรับช่องสาธารณะประเภทต่างๆต่อไป
อย่างไรก็ตามพ.อ.ดร.นที ยอมรับว่า ยังเป็นช่วงลองผิดลองถูกในการออกใบอนุญาตสาธารณะและกสทช.จะออกใบอนุญาตเป็นระยะเวลาแค่ 4 ปีเนื่องจากกิจการโทรทัศน์ประเภทสาธารณะนั้นเป็นการทำเพื่อสาธารณะและไม่ควรแสวงหารายได้ซึ่งถือเป็นข้อจำกัดสำคัญ ส่วนทีวีชุมชนนั้นจะเริ่มให้ใบอนุญาตในปีหน้า แต่ยังต้องเจรจาหารูปแบบการดำเนินการอีกครั้ง
สำหรับช่วงเวลาหลังการออกอากาศแล้ว พ.อ.ดร.นที ยังเปิดเผยว่าไทยจะมีความชัดเจน 2 ส่วนคือจะมีฟรีทีวีที่เป็นบริการพื้นฐาน 36 ช่อง และมี 12 ช่องสาธารณะ 12 ช่องชุมชนที่แตกต่างกันไปตามท้องถิ่น ส่วนที่ 2 คือ อุตสาหกรรมโทรทัศน์จะแข็งแรงในกรณีที่สามารถขายเนื้อหาได้โดยจะต้องมีสัดส่วน Pay TV ในระดับหนึ่ง โดยพ.อ.ดร.นที เชื่อว่า ประเทศไทยน่าจะมี Pay TV ในอัตราส่วน 40-50 เปอร์เซ็นต์เพื่อให้สามารถยกระดับพัฒนาเนื้อหาได้ภายใต้พื้นฐานประชาชนสามารถเลือกระหว่างฟรีทีวี หรือ Pay TV ได้เสมอ