[นิยาย] มิติหัวใจ บทที่ ๑

กระทู้สนทนา
บทนำ


       ปฐวีพยายามลืมตาเพราะเสียงของแม่ แต่มันยากจริงๆ เขาไม่เคยรู้สึกเหนื่อยจนหายใจแทบไม่ออกแบบนี้มาก่อน เด็กชายอยากจะยอมแพ้ให้กับความอึดอัดนี้แล้วหลับไปเสียถ้าแม่น้ำของเขาไม่ได้กำลังร้องให้อย่างน่าสงสารขนาดนี้ ทำยังไงดี แม่น้ำอย่าร้องนะ เอิร์ธสัญญา... สัญญาว่าจะไม่ดื้ออีกแล้วครับ

       ไม่รู้ว่าทำไม อยู่ๆความอึดอัดนั้นก็กลับกลายหายไปจนในที่สุดเขาก็ลืมตาตื่นขึ้นได้ “แม่ แม่น้ำอยู่ไหนครับ” เด็กชายได้ยินแต่เสียงของตัวเองสะท้อนกลับมาจากความเงียบสงัด มันมืดตึ๊ดตื๋อจนมองอะไรไม่ออกเลย เห็นแต่ใครก็ไม่รู้เป็นตัวดำๆเยอะแยะไปหมด แถมพวกเขายังมีกลิ่นเหม็นมากๆด้วย

       “เอิร์ธกลัว” ปฐวีทรุดลงกอดเข่าตัวสั่น ตอนนี้เงาดำรุมกันเข้ามามากกว่าเดิมอีก กลิ่นที่เหม็นเน่าจนทำให้เขาอาเจียนก็ยิ่งเหม็นมากขึ้นด้วย พ่อเอ้ย แม่น้ำ มาช่วยเอิร์ธหน่อยครับ เอิร์ธกลัว

       “มา มาสิ” ชายคนหนึ่งเดินฝ่ากลุ่มก้อนเงาดำเข้ามาหาเด็กน้อยราวกับตอบรับคำขอ

       ปฐวีผวา แต่เมื่อเห็นว่าคนๆนั้นเป็นพี่ชายที่ดูใจดีและสว่างเหมือนกับพระอาทิตย์ในเวลาที่มืดสนิทอย่างนี้เขาก็ลุกขึ้นเดินตาม หากดูเหมือนว่าพี่คนนั้นกลับห่างออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ เขาวิ่งตามอยู่นาน มันปวดไปหมด เจ็บไปทั้งตัว สุดท้ายเขาก็หมดแรงหกล้ม จุกแน่นจนคิดว่าหมดหนทางที่เขาจะลุกขึ้นได้อีกหน แล้วพี่ใจดีก็หันกลับมายิ้มให้ “ใกล้แล้วนะปฐวีอีกนิดเดียว”

       คุณานนท์ย่นคิ้วกับปฏิกิริยาตอบรับอันเงียบเชียบจากห้องพักคนไข้พิเศษ หมอหนุ่มพลิกข้อมือดูนาฬิกาซึ่งแสดงเวลาสี่ทุ่มเศษ เป็นไปได้ว่าเด็กชายและญาติที่มาเฝ้าอาจจะหลับกันไปแล้ว เขาลองเคาะประตูอีกครั้ง หยุดรออยู่อึดใจหนึ่งแล้วจึงตัดสินใจผลักประตูเข้าไป

       “ถึงว่าสิคะ”ทิพวรรณนางพยาบาลสาวที่เดินตามเข้ามาหัวเราะอย่างเอ็นดูกับคู่อาสาวและหลานชายที่นอนจับมือกันอยู่บนเตียงคนไข้ “หลับลึกน่าดูเหมือนกันนะคะ เคาะประตูก็ไม่ได้ยิน”

       คุณหมอหนุ่มอมยิ้มตอบคำเปรย ตามองสำรวจศีรษะเล็กๆของเด็กชายปฐวีที่ถูกปิดด้วยผ้าแปะแผลหลายแห่งซึ่งกำลังเอนซบเข้าหาอาสาวรูปร่างอรชร เรือนผมดำสนิทนั้นระปิดใบหน้าจนเห็นเพียงแค่รูปจมูกกับริมฝีปาก คนหลานคงหลับเพราะฤทธิ์ยาแต่คนอาคงจะขี้เซาเอาการทีเดียว

       “ขอตรวจคนไข้หน่อยนะครับ” คุณานนท์ถือวิสาสะแตะมือลงบนช่วงแขนที่โอบรอบเอวเด็กชายเมื่อคนถูกเรียกยังนอนแน่นิ่ง

       “หื้อ”คนโดนปลุกครางตาปรือพลางยึดเอามืออุ่นที่ยื่นเข้ามาหาซุกแนบแก้มแก้หนาว พอได้สติเห็นว่าเจ้าของมือเป็นใคร ภัทรจารินก็รีบกระเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงจนเอาหัวไปโหม่งเข้ากับขมับคุณหมอเต็มแรง

       “โอ๊ย” คุณหมอและคนเฝ้าไข้ที่ก่อเรื่องให้ตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกประสานเสียงร้องพร้อมกัน

       “ตายจริง ขอโทษนะคะ”ภัทรจารินลนลาน นึกโกรธความกระเปิ๊บกระป๊าบของตัวเอง นี่ถ้าคุณนายแม่อยู่ด้วยเธอต้องโดนเขกหัวซ้ำอีกรอบแน่ๆ

       คุณหมอ.ยกมือลูบรอยปูดตรวจตัวเองพลางสังเกตศีรษะอีกฝ่าย เมื่อแน่ใจว่าทั้งเขาและเธอมีแค่รอยบวมจากการกระแทกจึงชวนหญิงสาวคุยแก้อาการเก้อเขิน

       “ไม่เป็นไรครับ เจ็บนิดหน่อย แต่ก็หายง่วงดีเหมือนกัน”
โชคดีที่คุณหมอยังพูดเล่นด้วย ภัทรจารินเลยพอจะส่งยิ้มแหยๆขอโทษคุณหมอได้อีกครั้ง หญิงสาวกำลังขยับตัวลงจากเตียงคนไข้ให้คุณหมอตรวจหลานชาย แต่คนเจ็บกลับรั้งเอวเธอไว้แน่น

       “อาเอ๋ยไปไหน” เด็กชายโอดครวญ

       “คุณหมอมาตรวจแล้วครับพี่เอิร์ธ ให้อาลุกก่อนเร้ว” เธอพยายามแกะมือน้อยที่เกาะหนึบให้ออก ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาจากอุบัติเหตุรถชนรุนแรงทั้งครอบครัว หลานชายแสนซนคนโตของเธอที่ทุกคนพากันเรียกกันด้วยความเอ็นดูติดปากว่าพี่ เอิร์ธก็กลับกลายเป็นเด็กขี้กลัว ภัทรจารินคิดว่าคงเป็นเพราะเอิร์ธยังผวากับเหตุการณ์ที่เกิด ไหนจะพ่อกับแม่ที่ยังไม่ได้สติอยู่ไอซียูทั้งคู่อีก โชคดีที่นายโอเชี่ยนหลานชายคนเล็กไม่เป็นอะไรมากนักนอกจากที่มีอาการฟกช้ำกับรอยเขียวเป็นปื้นตามตัว และเพราะครอบครัวทางฝั่งพี่น้ำเหลืออยู่เพียงแต่ญาติห่างๆเท่านั้นจึงนับว่าเป็นโชคดีอีกชั้นที่ภัทรจารินทำงานฟรีแลนซ์ เธอเลยอาสารับหน้าที่มาคอยอยู่เฝ้าหลานชายคนโตที่โรงพยาบาลได้ ส่วนหลานชายคนเล็กก็แค่ย้ายไปอยู่กับปู่และย่าที่บ้านอีกหลังในพื้นที่รั้วเดียวกัน

       “เดี๋ยวเดียวเอง”ภัทรจารินปลอบแล้วหลบไปนั่งที่โซฟาใกล้ๆกันเพื่อให้คุณหมอตรวจดูหลานชายได้สะดวก ท่าทางของนายเอิร์ธทำให้เธอชักเริ่มกังวล ถึงจะยอมอยู่นิ่งให้หมอคุณานนท์ตรวจโดยดีแต่อดีตนายจอมซนก็ยังนอนตัวตรงเกร็งแหน๋วเหมือนกลัวสุดขีด หน้าตาคล้ายจะร้องไห้ออกมาเต็มทีแล้ว

       “ไม่ต้องกลัวนะครับ ดูแผลเฉยๆ”คุณหมอปลอบขณะที่เปิดเสื้อเด็กชายเพื่อสำรวจแผลจากการผ่าตัด ขณะตรวจดูรอยแผลตาก็สบเข้ากับดวงตากลมวาวคล้ายมีคำถามของเด็กน้อย

       “ว่าไงครับ”

       “ทำไม... พี่สาวเขาถึงตัวเปียกแบบนั้นล่ะครับ” มือป้อมชี้จุดไปยังปลายเตียงที่บริเวณนั้นไร้ร่องรอยพี่สาวที่ว่า และด้านหลังก็มีเพียงเคาเตอร์ตัวยาวสำหรับวางทีวี กระติกน้ำร้อนและของใช้ทั่วไปเท่านั้น

       พยาบาลสาวที่หันไปดูตามมือเด็กชายเป็นคนแรกก็ส่งเสียงร้องกรี๊ดขึ้นมาเป็นคนแรกเหมือนกัน

       “คุณทิพย์ครับ”คุณานนท์เรียกชื่อพยาบาลสาวเป็นเชิงเตือน หล่อนถึงได้ยอมปล่อยแขนที่กอดรัดคุณหมอออก แต่ภัทรจารินเข้าใจคุณพยาบาลดีเพราะตัวเธอเองก็มายืนเกาะขอบเตียงหลานชายแน่นไม่แพ้กันเสียตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

       “พี่เอิร์ธพูดเล่นอะไรแบบนี้ ไม่ดีเลยนะ” ภัทรจารินตำหนิหลานชายแม้ในใจจะนึกสงสารคนถูกเอ็ดที่เม้มปากน้ำตาหยดเหมะ

       เด็กชายไม่เถียง ไม่อยากพูดถึงอีกแล้ว ขอแค่อาเอ๋ยไม่ทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวแล้วคอยอยู่เป็นเพื่อนใกล้ๆแบบนี้ก็พอ
คุณหมอคุณานนท์ไม่ออกความเห็นอะไรนอกจากลูบแขนเล็กๆของเด็กชายแล้วหันมาอธิบายอาการของปฐวีให้ภัทรจารินฟัง โดยสรุปว่าผลหลังผ่าตัดค่อนข้างดี ไม่มีการติดเชื้อและไม่ต้องผ่าตัดซ้ำ เพียงแต่จะต้องรักษาแผลต่อไปอีกหน่อยเท่านั้น


       กลับจากการตรวจคุณานนท์ก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ ชายหนุ่มปิดเปลือกตาเพื่อรักษาเรี่ยวแรงที่เหลือไว้ใช้สำหรับเวรดึกคืนนี้ หากยังมีบางอย่างรบกวนใจอยู่ อะไรบางอย่างที่ทำให้เขาระลึกถึงปรายฟ้า

       “คุณ” เสียงใสเอ่ยเรียกชื่อเขาแผ่วเบาราวกระซิบ แต่คุณานนท์จดจำได้ชัดเจน คุ้นเคยเสียยิ่งกว่าเสียงของตัวเขาเอง

       “ฟ้า” คุณานนท์เพ่งมองใบหน้าในความทรงจำผ่านความพร่ามัว อยากมองหญิงสาวตรงหน้าให้ชัดอีกสักครั้งแต่ก็ทำอย่างที่ต้องการไม่ได้ หรือว่าเขากำลังฝัน

       “ปรายฟ้า เราคิดถึง” เขาพยายามค้นหาคำพูดที่จะอธิบายความรู้สึกทั้งหมด แต่ไม่มีเลย

       “ฟ้ารู้” คัคนางค์กระซิบตอบ สัมผัสจากมือของเธอเย็นชืด ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ลังเลที่จะจรดมือทับกับเรียวนิ้วซึ่งทาบจับบนแก้มอยู่ก่อน และเพราะฉากพร่ามัวที่กั้นอยู่ระหว่างกลางอย่างนี้หมอหนุ่มจึงไม่รู้แน่ว่าหญิงสาวตรงหน้ากำลังสะอื้นร้องหรือหัวเราะกับการกระทำเชยๆของเขา คุณานนท์ไม่สนใจจะรู้คำตอบ ชายหนุ่มแค่ปรายยิ้มรับริมฝีปากที่ประทับแนบลงบนหน้าผาก
       “ฮั่นแน่ ฟ้าไหนกันน๊าคุณหมอ” เสียงหัวเราะคิกคักจากก๊วนพยาบาลสาวปลุกให้เขาตื่นขึ้น สาวๆส่งเสียงแซวชายหนุ่ม เว้นก็แต่พรรณอรผู้ที่มีอุปนิสัยใจคอเรียบร้อยเป็นทุนอยู่แล้ว
       คุณานนท์แค่ส่งยิ้มและยักคิ้วกลับไปแทนคำตอบ ต่อเมื่อจะพลิกข้อมือดูนาฬิกาอย่างเคยถึงได้รู้ตัวว่าฝ่ามือยังคงถูค้างอยู่บนแก้ม หากว่านี่เป็นความฝันเขาก็ระบุไม่ถูกว่ามันเป็นฝันชนิดดีหรือร้าย ถ้าจะดีก็กลับร้ายตรงที่สุดท้ายแล้วเขาต้องตื่นขึ้นมาเสมอ หรือถ้าจะร้ายเพราะว่าปรายฟ้าจากเขาไปแล้วทั้งในความจริงและความฝันมันก็กลับดีตรงที่เขาได้พบกับหญิงสาวอีกครั้ง

       ใครจะรู้ว่าปรายฟ้ายังคงอยู่ข้างๆเขา เธอยังพอมีเวลา แต่มันก็ไร้ค่าเหลือเกิน เพราะคนที่เธอรักล้วนให้ความสำคัญกับสิ่งที่เธอพยายามทำเป็นแค่ความฝันสำหรับพวกเขา แม้กระทั่งคุณานนท์ก็ตาม คุณเป็นคนที่ปักใจและตั้งมั่นในความคิดตลอดจนเหตุผลเหมือนกับภูผา เธอจึงเป็นแค่ลมระเรื่อยไร้ราคาเกินกว่าที่จะทำให้เขารับรู้ ต่างขั้วกับคณาภพ เขาคือคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้เธอยังมีใจวนเวียนรอคอยอยู่ด้วยความหวังว่า สักวันจะได้ความสุขแบบเก่าคืนกลับมา แต่ก็เขาอีกนั่นแหล่ะที่ขอให้เธอยอมแพ้รับกับสภาพไร้ตัวตน หากตอนนี้ไม่ใช่คณาภพเพียงคนเดียวอีกต่อไป เธอเจอกับใครอีกคนหนึ่งแล้ว เด็กชายคนไข้ของคุณานนท์นั่นแหล่ะ

       “หมอคุณคะ” ทิพวรรณปลีกตัวจากแก็งค์พยาบาลสาวที่อยู่เวรด้วยกันมากระซิบเลียบๆเคียงๆชวนคุยเห็นท่าทางอย่างนั้นคุณหมอจึงถามกลั้วหัวเราะว่า “อย่าบอกนะครับ ว่าคุณทิพย์ยังกลัวผีแก้วน้ำที่น้องเอิร์ธชี้ให้ดูเมื่อกี๊อยู่”

       “ฮึ พูดงี้ก็แสดงว่าคุณหมอไม่เห็นเหมือนทิพย์”

       “หือ แล้วคุณทิพย์เห็นอะไร” คุณหมอเลิกคิ้วถาม มาดกวนจนพยาบาลสาวต้องค้อนตาเขียวกลับไป

       “เห็นอย่างที่เด็กคนนั้นเห็นสิคะ แต่ก็แค่แว่บเดียว นี่ทิพย์ก็คิดว่าคุณหมอคงจะ... เห็นเหมือนกัน”

       “พรุ่งนี้ผมจะบอกหมอต้นให้จับคุณทิพย์ตรวจ MRI ดู” คุณานนท์เย้า เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อแล้วพาลลบหลู่ เพียงแต่ยังไม่เคยประจักษ์กับตัว แล้วเมื่อพบกับคนที่ใครต่อใครว่ากันว่ามีประสบการณ์ มีญาณทิพย์ มีสัมผัสพิเศษ เขาก็ได้แต่สงสัยในความไม่สมเหตุสมผล หรือเมื่อเจอเค้ารางบางอย่างคุณานนท์ก็จะพบกับข้อมูลที่สามารถนำมาหักล้างประเด็นเหล่านั้นเข้าเสียก่อนเสมอ

       “แล้วกัน ไม่เชื่อแล้วยังมากล่าวหากันอีก สมองทิพย์ยังปรกติดีนะคะ”

       “ว่าแต่ คุณทิพย์อย่าพึ่งเอาไปเล่าล่ะครับ เดี๋ยวจะลือกันไปแปลกๆอีก” ถ้าเขาจะมีตาวิเศษก็คงคราวนี้ล่ะ เพราะเมื่อเอ่ยปาก นางพยาบาลสาวก็คลายยิ้มกลืนน้ำลายลงคอทันที

       “นี่แสดงว่า”

       “ค่ะ ไม่ทันแล้ว”

       หมอหนุ่มยิ้มขำพลางส่ายหัวด้วยความอ่อนใจ

       ไม่ว่าภัทรจารินจะขยับตัวไปทางไหน นายหลานชายจอมกวนก็คอยเฝ้าจับตามองเธอแบบไม่ยอมละ หญิงสาวลองเดินไปที่มุมซ้ายของห้องตากลมแป๋วก็กลอกตามมา พอลองเปลี่ยนไปที่มุมขวานัยต์ตาวาววับก็เคลื่อนขยับตามมาอีก

       “อาเอ๋ยเล่นอะไรก็ไม่รู้ อย่างกับเด็กๆ” เสียงเล็กหัวเราะสดใสขึ้น แถมยังวางท่าเป็นผู้ใหญ่ขบขันเด็กทั้งที่ตัวรึก็กระเปี๊ยกเดียว

       “เรานั่นแหล่ะ มองตามอาทำไมล่ะ” อาสาวกดปุ่มปิดโทรทัศน์ แล้วเข้าไปหยิกแก้มยุ้ย

       “ก็... เก๊าะมองคนสวยไง” คำตอบจากจอมเจ้าเล่ห์ทำให้ภัทรจารินหัวเราะพรืด

       “จริงอ่ะ” คนสวยของหลานชายใช้มือปัดผมออกจากบ่าอย่างที่นางแบบโฆษณาแชมพูทำกัน ภัทรจารินเห็นปฐวีหัวเราะชอบใจคลายอาการซึมเทราก็ยิ่งแอคท่าเป็นนางแบบเดินโพสท่าเก๋รอบเตียงคนเจ็บ สนุกกันไปทั้งหลานทั้งอา

       “อาเอ๋ยติงต๊องจัง”

       จากที่เก๊กสวยยิ้มหวาน อาสาวของปฐวีก็ยู่ปากย่นจมูก เด็กชายรีบคว้าเอาผ้าห่มมาคลุมตัวเป็นเกราะกำบัง ครั้นรู้สึกว่าอาสาวเงียบไปก็ค่อยๆแอบแง้มผ้าห่มออกมาดู แล้วก็บิงโกเจอะอาเอ๋ยของเขาตั้งท่ารอแกล้งอยู่แล้ว

       “ว่าอาเหรอ นี่แหน่ะ” อาสาวคนสวยบีบจมูกหลานชาย แอบนึกสะท้อนใจลึกๆ คิดถึงพี่ชายกับพี่สะใภ้ ใช่ว่าหลานสองคนจะเลี้ยงยากอะไรนัก เธอเองก็รักเด็กๆมากแล้วก็แน่ใจด้วยว่าทั้งพ่อและแม่ของเธอเองก็รักหลานทั้งสองคนเทียบเท่าดวงใจ แต่ภัทรจารินก็อดคิดไม่ได้ ใครจะเข้าไปแทนที่พี่เอ้ยกับพี่น้ำในหัวใจเล็กๆนี้ได้กันล่ะ

       “อาเอ๋ยรักเอิร์ธมั้ย”

       คำถามง่ายๆเล่นงานหญิงสาวจนจุกแน่นในลำคอ

       “ไหนดูซิว่ามีอะไรให้รักบ้าง อืม... คิ้วนี่ก็หนาเหมือนชินจัง ตานี่ก็หลุกหลิกลุ๊กลิ๊ก ไม่หล่อแล้วยังทั้งดื้อทั้งซนอีก” ฟังสรรพคุณที่ภัทรจารินบรรยายแล้วเด็กชายก็หน้าหงอย อาสาวเห็นตาใสดูละห้อยละเหี่ยก็เลิกแกล้ง คว้าตัวนายเอิร์ธมากอด “ล้อเล่นหรอก รักสิครับ ไม่เคยไม่รักเสียหน่อย”

       “งั้น ถ้าเอิร์ธบอกอะไร อาเอ๋ยจะเชื่อเอิร์ธมั้ย” ใบหน้าน้อยๆแหงนมองหญิงสาว ตะหงิดใจว่าหลานชายจะพูดอะไรแปลกๆเลยต้องขอสัญญาไว้ก่อน

       “เอิร์ธสัญญากับอานะว่าจะพูดเรื่องจริงน่ะ ไม่ใช่แกล้งหลอกผู้ใหญ่แบบเมื่อกี๊”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่