สุชาติ ศรีสุวรรณ: สิ้นยุค "อำนาจประชาชน" คอลัมน์ ที่เห็นและเป็นไป

กระทู้สนทนา
มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 23 มีนาคม 2557


หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การเลือกตั้งทั่วไป 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เป็น "โมฆะ"
สงครามช่วงชิงอำนาจบริหารประเทศไม่มีแนวโน้มอย่างอื่นนอกจากถูกบังคับให้ไปสู่สิ่งที่
"ม็อบ กปปส." กำหนดเส้นทางไว้

"รัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีมาจากคนนอก" หรือที่พยายามให้ภาพออกมาว่าเป็น
"นายกรัฐมนตรีคนกลาง"

จัดตั้งสถาบันที่เรียกว่า "สภาประชาชน" โดยการคัดเลือกสมาชิกโดยคนกลุ่มหนึ่ง
ที่ไม่ยึดโยงกับการตัดสินใจของประชาชนทั่วประเทศอย่างเท่าเทียม

รัฐบาลและสภาที่จัดตั้งขึ้นมานี้จะมาวางกติกาทางการเมืองของประเทศใหม่
ในทิศทางกำหนดเงื่อนไขของผู้จะเข้ามาบริหารจัดการประเทศตามที่ตัวเองต้องการ

ซึ่งไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรจะหนีไม่พ้นเป็น "เผด็จการ" รูปแบบหนึ่ง

ประเทศไทยเราไม่มีทางหนีพ้นที่จะถูกบังคับให้เดินในเส้นทางนี้อีกแล้ว

ลองมาดูกันว่าทำไมเป็นอย่างนั้น

หลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งว่าการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ เป็นโมฆะ คล้ายกับว่า
จะต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ แต่ในความเป็นจริงการเลือกตั้งครั้งใหม่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้

แม้คณะกรรมการการเลือกตั้งและรัฐบาลจะต้องทำหน้าที่จัดการเลือกตั้ง
แต่ชัดเจนแล้วว่า "สุเทพ เทือกสุบรรณ" เทพเจ้าของม็อบ กปปส. ประกาศ
จะไม่ให้การเลือกตั้งเกิดขึ้น

เพราะเท่ากับเสียหายเป้าหมายการต่อสู้ที่ทำมาอย่างยืดเยื้อยาวนาน

เป้าหมายของการต่อสู้คือ ปิดทางสิ่งที่เรียกว่า "ระบอบทักษิณ" เข้ามาครองอำนาจรัฐ

การเลือกตั้งเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ "พรรคเพื่อไทย" สามารถกลับคืนมาสู่
การครองอำนาจรัฐได้ ดังนั้นการทำให้ไม่มีการเลือกตั้งย่อมเป็นหนทางเดียวเช่นกัน
ที่จะปิดโอกาสของพรรคเพื่อไทย

นั่นคือที่ กปปส.ต้องทำ

ซึ่งวิธีการง่ายมาก เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้วางบรรทัดฐานไว้แล้ว หากจัดการเลือกตั้ง
ภายในวันเดียวไม่ได้ หมายถึงขัดขวางการเลือกตั้งในหน่วยหนึ่งหน่วยใดได้สำเร็จ
การเลือกตั้งจะต้องโมฆะ

จัดการเลือกตั้งเมื่อไรก็ทำให้โมฆะเมื่อนั้น เพื่อเปิดช่องทางให้พรรคเพื่อไทย
กลับมามีอำนาจรัฐ ในนามของการต่อต้านระบอบทักษิณ

พรรคประชาธิปัตย์ และขบวนการตุลาการภิวัฒน์ทั้งหมดให้การสนับสนุนวิธีการนี้อย่างเต็มที่

เมื่อไม่มีทางที่จะเลือกตั้งได้ การประสานเพื่อผนึกพลังกันระหว่าง พรรคประชาธิปัตย์
กับกระบวนการตุลาการภิวัฒน์จะใช้อำนาจผ่านกลไกกฎหมายจัดการกับรัฐบาลรักษาการ
ให้ต้องปล่อยมือจากอำนาจไปทีละเปลาะ อย่างที่จัดการแล้วกับประธานวุฒิสภา

อีกด้านหนึ่งก็เสริมอำนาจให้กับฝ่ายตัวเองขึ้นมาเพื่อเป็นอวุธ หรือเครื่องไม้เครื่องมือ
ให้จัดการตามเป้าหมายได้ อย่างเช่นยึดครองอำนาจของวุฒิสภา เพื่อทำหน้าที่
บางอย่างของฝ่ายนิติบัญญัติ โดยอาศัยการตีความกฎหมายไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญหรือ
กฎหมายอื่นๆ โดยใช้ทัศนคติของผู้มีอำนาจตัดสินโดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงหลักการ
และขอบข่ายอำนาจ

"จะเอาอย่างนี้มีอะไรหรือเปล่า" เหมือนที่เคยทำมาและกำลังทำอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า

ที่สุดรัฐบาลรักษาการชุดนี้จะต้องถูกเขี่ยกระเด็นออกไป ด้วยอำนาจที่เรียกว่าตามกฎหมาย

เปิดทางให้อำนาจใหม่เข้ามาด้วยการตีความกฎหมายโดยไม่สนใจว่าจะมีเสียงคัดค้านอย่างไร

ทุกอย่างจะจบลงตามที่วางภารกิจไว้

อาจจะมองว่าที่สุดแล้วไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะประชาชนส่วนใหญ่จะไม่ยอม
อย่าลืมว่ามวลชนมีสองฝ่าย ฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลต่อต้านเผด็จการมีไม่น้อย
อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ หากขืนแบบไม่สนใจความรู้สึกกันแบบนี้ การต่อต้านจะเกิดขึ้น

แต่นั่นจะเป็นเพียงแค่การคิดเอาเอง หรือที่ภาษาสมัยใหม่เรียกว่า "มโน" กันไป

การชุมนุมจะมาต่อต้านอะไร ต่อต้านการตัดสินตามกฎหมายที่ค่อยๆ ทำมาเป็นระยะๆ
ทีละเรื่องจะมีน้ำหนักพอหรือ

การชุมนุมของเสื้อแดงจะมีขึ้นเพื่อสู้กับอะไร เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามกลไกของกฎหมาย

แถมมีกลไกอำนาจรัฐทุกกระบวนการให้การรับรอง คนที่ไม่ยอมรับการตัดสิน
โดยกฎหมายต่างหากที่จะอธิบายการต่อสู้ของตัวเองได้ยาก

แน่นอนว่าที่สุดแล้ว การช่วงชิงอำนาจทางการเมืองเที่ยวนี้ จะนำสู่ "เผด็จการโดยคนกลุ่มหนึ่ง"

แต่เป็นเผด็จการที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ใครที่ออกมาต่อต้านจะกลายเป็นพวกนอกกฎหมายที่จะต้องถูกจัดการทางกลไกอำนาจรัฐทุกส่วน

นี่คือชะตากรรมของประชาธิปไตยไทย ที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นแล้ว

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1395593806&grpid=&catid=01&subcatid=0100

จริงๆแล้ว   หลอกตัวเองมาตลอดว่า  อำนาจเป็นของประชาชน
วันนี้  ก็ควรจะยอมรับกันแล้ว  ว่า อำนาจที่แม้จริงนั้น  อยู่ที่ใคร
เมื่อใด เขาอยากใช้  ก็หยิบมาใข้ ประชาชน...ถึงจะเป็น คนส่วนใหญ่
แต่ก็ไม่มีบารมี   เท่ากับ  เสียงส่วนน้อย   ยิ้ม

สาวแว่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่