ไวพจชายวัย 65 ปี นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ในห้องน้ำ ระหว่างทำธุระส่วนตัวบนชักโครกในสำนักงานวางระบบคอมพิวเตอร์ของเขา
'ปัง!'
เสียงประตูถูกถีบแรงจนกลอนประตูแตกกระจาย ไวพจตกใจแต่ทำอะไรไม่ได้ เขาทำได้แค่เพียงใช้หนังสือพิมพ์ปิดส่วนล่างของเขาไว้ ชายหนุ่มในชุดหนังสีดำจำนวน 5 คนเข้ามายืนพร้อมกันในห้องน้ำแคบๆ
"เรามาตามนัดที่เราสัญญากันไว้ครับ คุณไวพจ"
ชายหนุ่มคนกลางพูดถึงเหตุผลที่พวกเขามาในครั้งนี้
"เอ่อ! ขอฉันทำธุระในนี้เสร็จก่อนไม่ได้เหรอ พวกเธอออกไปรอในออฟฟิศชั้นข้างนอกก่อนดีกว่ามั้ย"
'จ๋อม!'
เสียงก้อนของเสียของไวพจหล่มลงน้ำในโถชักโครก ชายหนุ่มในชุดหนังคนหนึ่ง ใช้เท้าเหยียบลงบนคันโยกของชักโครก เสียงน้ำไหลดัง
"พอดีเราต้องรีบไป คุยกันให้เสร็จในนี้เลย"
ชายหนุ่มคนกลางพูดต่อ
"ก่อๆ ก็ได้ พวกเธอมีธุระอะไร"
"วันนี้เรามาเก็บเงินที่คุณยืมจากเราไป ตอนนี้รวมดอกแล้วก็ 3 แสนบาท"
"จะบ้าเรอะ! ชั้นเอาเงินมาแค่ 7 หมื่นเอง"
ไวพจตะโกนเสียงดังลั่น กลุ่มชายหนุ่มทั้ง 5 หันหน้ามองกันไปมา
"ที่เหลือมันค่าทวงหนี้ ไม่เห็นเหรอพวกเรามากันตั้ง 5 คน ค่าทวงหนี้ต้องใช้คนถึง 5 คน"
ไวพจกลืนน้ำลาย ชายหนุ่มคนหนึ่งหยิบมีดออกมาจากกระเป๋า
"อย่าให้มันมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกเลย ค่าใช้อุปกรณ์เท่ากับคนทวงหนี้ 10 คน"
ไวพจกลืนน้ำลายอีกครั้ง เพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของแก๊งทวงหนี้พวกนี้มาแล้ว หากใครเบี้ยวครั้งที่ 3 ก็ตายแน่นอน
"งั้นเอาอย่างนี้แล้วกันพ่อหนุ่ม ชั้นจะเอาเงินจำนวน 3 แสนมาให้ภายในอีก 3 วันข้างหน้า"
"อีก 3 วัน ตกลงตามนี้"
ชายหนุ่มในชุดหนัง 5 คนค่อยๆเดินออกไปจากห้องน้ำและสำนักงานของไวพจอย่างง่ายดาย ไวพจทำท่าเป่าปากก่อนจะรีบทำธุระให้เสร็จ เขาออกมาจากห้องน้ำ ไวพจรีบตรงไปที่โทรศัพท์มือถือ เพื่อต่อสายไปถึงใครบางคน
.......
"โธ่พี่ชาย รับรองว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย"
"แกพูดแบบนี้มา 3 ครั้งแล้ว ชั้นควรจะเชื่อแกดีมั้ย ของเดิมแกก็ยังไม่ใช้ให้ชั้นเลย"
เสียงตะโกนดังลั่นออกมาจากสายปลายทางดังลั่น จนไวพจตกใจ
"เอาอย่างนี้ละกัน เงิน 3 แสนมันต้องใช้เวลา ถ้าภายใน 3 วันไม่มีทางแน่ แกมาพบชั้นที่โรงแรมของชั้น แล้วแกก็ซ่อนตัวอยู่ในนั้นจนกว่าชั้นจะเตรียมเงินให้แกได้"
สีหน้าไวพจเริ่มมีรอยยิ้ม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไวพจตั้งใจจะไปขอยืมเงินพี่ชาย เขาเอาเงินก้อนโตจากพี่ชายมาแล้ว 3 ครั้ง 3 ครั้งรวมกันแล้วยังไม่เท่าครั้งนี้ที่มากถึง 3 แสน และทุกครั้งที่ไวพจเอาเงินมา เขาก็ชักดาบทุกครั้ง
"ขอบคุณมากครับพี่ชาย ทั้งชีวิตนี้ผมก็มีพี่เพียงคนเดียวที่เป็นที่พึ่งได้"
"เอ่อๆ ไม่ต้องพูดมากแล้ว ยังไงก็รีบมาแล้วกัน เจอกันเย็นนี้"
"ครับพี่ชาย เจอกันที่โรงแรมเอ็มลอร์ดใช่มั้ย?"
"ไม่ใช่! ครั้งนี้แกมาเจอชั้นที่โรงแรมเล็กๆของชั้นที่นอกเมือง เดี๋ยวจะส่งที่อยู่ไปให้"
"ได้ครับ"
ไวพจรับคำเสร็จก็รีบวางสายโทรศัพท์ เขารีบจัดแจงเก็บเสื้อผ้าอย่างเร่งรีบ และจากนั้นก็รีบโบกแท็กซี่ไปยังที่อยู่ที่ได้รับทางโทรศัพท์ และในที่สุดแท็กซี่ก็มาส่งไวพจยังสถานที่เป้าหมายสำเร็จ
สิ่งปลูกสร้างที่อยู่ตรงหน้า จากคำบอกเล่าของพี่ชายนั้นคือโรงแรมเล็กๆที่อยู่ชานเมืองออกไปไกล และยังอยู่ในซอกซอยลึกลับ ยากที่จะมีนักท่องเที่ยวที่ไหนจะหาเจอหรือเดินผ่าน เขามองครั้งแรกด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อว่าที่นี่คือโรงแรม เพราะลักษณะภายในที่เงียบเชียบและรั้วรอบขอบชิดเกินกว่าที่มีใครจะอยากเข้าไปพัก แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ที่ไม่สามารถเดินกลับหลังได้แล้ว ไวพจจึงได้แต่หยิบกระเป๋าและค่อยๆเดินเข้าไปยังประตูทางเข้าแคบๆ เพื่อเข้าไปยังล็อบบี้
"สวัสดีครับ เอ่อ... พอดีมีคนจองห้องพักไว้ให้ผม นี่ครับบัตร"
สีหน้าของพนักงานหลังเคาน์เตอร์ที่แก่ชรา เธอทำท่างุ่มง่ามรับบัตรประชาชนจากไวพจ จากนั้นจึงกดโทรศัพท์ไปหาใครคนหนึ่ง หลังจากพนักงานชราสนทนาผ่านโทรศัพท์เสร็จ เธอหันหน้ามามองไวพจอีกครั้ง พร้อมใช้มือมาขยับแว่นตาหนาเตอะที่เธอสวม เพื่อให้มองเห็นใบหน้าของไวพจอย่างชัดเจน จากนั้นพนักงานชราบรรจงหยิบพวงกุญแจพวงใหญ่และเรียกชายที่เหมือนกับทำหน้าที่ยกกระเป๋าให้มารับกุญแจ พนักงานยกกระเป๋าเดินตรงเข้ามารับพวงกุญแจและชายตามองมาที่ไวพจไม่กระพริบ ไวพจรู้สึกไม่ชอบหน้าของพนักงานยกกระเป๋าคนนี้เท่าไหร่นัก ด้วยร่างกายที่สูงและตัวค่อนข้างใหญ่ หวีผมเรียบแปล้และทาลิปสติกสีชมพูอ่อนบนริมฝีปาก นั่นทำให้ไวพจถึงกลับรีบหลบสายตาทันทีที่เขาถูกจ้อง
"เอ่อ... ช่วยเซ็นตรงนี้หน่อยค่ะ"
พนักงานชรายื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้ไวพจ ไวพจอ่านมันคร่าวๆ เมื่อเห็นว่ามันคือแค่เอกสารขอเข้าพัก เขารีบลงลายมือชื่ออย่างรวดเร็วลงบนเอกสารแผ่นนั้น
'นี่มันโรงแรมบ้าอะไรวะเนี่ย!' ไวพจคิดในใจพร้อมทำหน้าตาไม่ชอบใจและงุนงง แต่สิ่งที่ทำให้ไวพจประหลาดใจมากกว่าก็คือ เมื่อเขาหันหน้าไปทางลานล็อบบี้ที่มีชุดโต๊ะโซฟา เขาเห็นกลุ่มคนหลายคนนั่งนิ่งอยู่กับโต๊ะไม่ไหวติง มีบางคนเท่านั้นที่หันมาทางไวพจ บางคนมียิ้มที่มุมปากส่งกลับมา และทุกคนที่อยู่ในล็อบบี้ล้วนเป็นคนแก่ชราแทบทั้งสิ้น ไวพจคิดว่านี่มันโรงแรมหรือบ้านพักคนชรากันแน่นะ
"เชิญคุณไวพจครับ เดี๋ยวผมจะพาคุณไปที่ห้อง"
พนักงานยกกระเป๋าเดินมาหยิบกระเป๋าของไวพจ และนำทางขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบน ประตูห้องพักถูกเปิดออก ข้างในประดับไว้ด้วยของตกแต่งอย่างดี นั่นทำให้ไวพจอุ่นใจขึ้นมาหน่อยว่าที่นี่น่าจะเป็นโรงแรมจริงๆ ในห้องนี้มีทุกอย่างที่จะอำนวยความสะดวกให้ได้
"อา... ห้องช่างสะดวกสบายจริงๆ เอ้านี่ขอบคุณมาก น้ำใจเล็กๆน้อยๆจากฉัน"
ไวพจควักแบงก์ร้อยออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อยื่นให้คนยกกระเป๋า
"ขอบคุณมากครับ แต่ที่นี่เราไม่มีนโยบายรับทิปจากแขกผู้เข้ามาพัก ขอให้พักผ่อนให้สบายนะครับ"
พนักงานยกกระเป๋าค่อยๆบรรจงปิดประตูจนแทบจะไม่มีเสียง ไวพจรู้สึกปลอดภัยที่มาอยู่สถานที่แห่งนี้ เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวไปอาบน้ำ เมื่ออาบน้ำเสร็จไวพจก็มาเปิดทีวีดูและเผลอหลับไปโดยทีวียังถูกเปิดทิ้งไว้
วันถัดมา ไวพจตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น จากการที่เขาได้นอนหลับอย่างเต็มที่แล้ว ไวพจคิดขึ้นได้ว่าเมื่อคืนลืมปิดทีวี เขาควานหารีโมททีวีเพื่อจะปิดมัน แต่ยังไม่ทันที่จะหาเจอไวพจก็เห็นทีวีที่ถูกปิดเรียบร้อยแล้ว และรีโมทก็วางอยู่ข้างๆทีวี ไวพจคิดว่าเมื่อคืนเขาคงปิดมันแล้ว ไวพจลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนที่จะออกไปหาอะไรกิน เขาคิดว่าเดี๋ยวจะต้องโทรศัพท์ไปขอบคุณพี่ชายสักหน่อย แต่เมื่อไวพจค้นหาโทรศัพท์มือถือ เขากลับไม่เจอมัน ไม่ว่าจะหาจากกระเป๋าเสื้อหรือกางเกง หรือกระเป๋าเสื้อผ้าก็ไม่พบมัน ไวพจรีบสำรวจข้าวของๆเขาปรากฏว่าทุกอย่างอยู่ครบยกเว้นโทรศัพท์มือถือ ไม่รอช้า ไวพจรีบแต่งตัวและออกจากห้องเพื่อไปยังออฟฟิศข้างล่างเพื่อถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
พนักงานที่อยู่ประจำออฟฟิศยังเป็นหญิงชราใส่แว่นตาหนาเตอะคนเดิม เธอเหมือนไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเมื่อไวพจเข้าไปถาม
"คุณครับ เมื่อคืนมีคนเข้าไปในห้องผม และยังเอาโทรศัพท์มือถือผมไปด้วย ช่วยเช็คกล้องวงจรปิดให้หน่อยได้มั้ยว่าใคร"
ไวพจพูดด้วยกับพนักงานชรา เขาไม่แม้จะสบตากับเธอ ส่วนพนักงานชราก็ทำท่าเหมือนไม่โต้ตอบอะไร นั่นยิ่งทำให้ไวพจอารมณ์เสียมากขึ้นไปอีก
"นี่คุณ! นี่มันเรื่องใหญ่เลยนะ ที่นี่มีขโมยครับ ถ้าโรงแรมไม่สามารถตามหาคนร้ายให้ผมได้ ผมคงต้องแจ้งความกับตำรวจแล้วล่ะ"
พนักงานชรายังคงทำสีหน้าไม่รับรู้อะไร ไม่พูดโต้ตอบไม่แม้แต่จะมองหน้าไวพจ เธอยังคงง่วนอยู่กับกองเอกสารที่กำลังคัดแยก ไวพจเริ่มหมดความอดทน เขาตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่พักหนึ่ง พร้อมเรียกหาโทรศัพท์เพื่อจะโทรแจ้งตำรวจ ไวพจเห็นเครื่องโทรศัพท์ในห้องสำนักงานจึงเดินตรงเข้าไปยังโต๊ะที่วางเครื่องโทรศัพท์ และใช้มือซ้ายยกหูก่อนใช้มือขวากดเบอร์โทร
ทันใดนั้น! มือๆหนึ่งที่ทั้งนุ่มและนิ้วมือเรียวงาม เล็บที่ถูกตกแต่งพร้อมทาสีชมพูอ่อนก็มาประกบจับที่มือของไวพจที่กำลังกดปุ่มบนเครื่องโทรศัพท์ เจ้าของมือนุ่มนั่นคือชายที่ช่วยไวพจหิ้วกระเป๋าขึ้นห้องนั่นเอง เขาออกแรงบิดข้อมือของไวพจจนไวพจร้องตะโกนลั่น
"นี่เธอเป็นใครกัน มีสิทธ์อะไรมาห้ามฉันไม่ให้ใช้โทรศัพท์ และนี่ยังเข้าข่ายทำร้ายร่างกายกันอีกด้วยนะเนี่ย ปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ"
ชายหนุ่มยังคงล็อคข้อมือของไวพจไว้จนไวพจไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ สักพักชายหนุ่มใช้มืออีกข้างมาประคองไหล่ของไวพจ และพยายามบังคับให้เดินไปนั่งยังโต๊ะที่มีเก้าอี้สองตัว ไวพจถูกลากมานั่งเก้าอี้ตัวหนึ่ง เมื่อถูกปล่อยมือไวพจทำท่าทางเจ็บและโวยวาย ไม่ช้าพนักงานหญิงชราที่อยู่นอกห้องสำนักงานก็เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า มานั่งยังเก้าอี้อีกตัว
"คุณไม่ต้องห่วงเรื่องข้อมือนะคะ เพราะนอกจากเจ้าหน้าที่คนนี้ของเราจะมีหน้าที่คอยจัดการทุกอย่างในนี้ เขายังเป็นนักกายภาพบำบัดที่มีฝีมือของเราด้วย"
"เจ้าหน้าที่เรอะ? ที่นี่มันโรงแรมแบบไหนกันแน่ แล้วเรื่องโทรศัพท์ของผมจะว่ายังไงกัน"
ไวพจพูดพร้อมหันไปมองหน้าเจ้าหน้าที่หนุ่ม
"คือว่าที่นี่เราไม่มีนโยบายให้ผู้เข้าพักของเราใช้โทรศัพท์มือถือค่ะ เมื่อคืนขณะที่คุณไวพจหลับ พนักงานท่านนี้จึงไปเอาโทรศัพท์ของคุณไวพจมาเก็บไว้"
"นี่มันโรงแรมบ้าประเภทไหนกัน! ต่อสายโทรศัพท์ถึงเจ้าของโรงแรมให้ผมที ผมอยากจะคุยกับเขาหน่อย"
ไวพจพูดเสียงดังจนเป็นที่สนใจของคนอื่นที่อยู่ในล็อบบี้ ผู้คนมากมายต่างมายืนล้อมรอบห้องสำนักงานเพื่อเฝ้ามองดูเหตุการณ์ พนักงานหญิงชราสบตาพร้อมพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่หนุ่ม เจ้าหน้าที่หนุ่มเดินไปหยิบเครื่องโทรศัพท์มาวางไว้บนโต๊ะที่ไวพจนั่ง ไม่รอช้าไวพจรีบขยับเครื่องโทรศัพท์มาวางไว้ตรงหน้า พร้อมยกหูโทรศัพท์และกดหมายเลขที่คุ้นเคยลงไป
"พี่! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน มันเกิดอะไรขึ้นที่โรงแรมบ้าๆนี่รู้มั้ย"
ไวพจตะโกนเสียงใส่โทรศัพท์
"นี่ๆเจ้าไวพจ แกไม่ต้องขอบอกขอบใจฉันมากขนาดนี้ก็ได้ เป็นยังไงบ้างคืนแรกกับที่นั่นดีใช่มั้ย"
"ดีกะผีอะไรเล่า มีคนขโมยโทรศัพท์ฉัน และเช้านี้ยังมีเด็กยกของมาบิดข้อมือฉันอีก ที่นี่มันที่ไหนกันแน่เนี่ย?"
"ใจเย็นๆ อย่าไปทำให้เขาโกรธ ถ้าแกไปทำให้เขาโกรธจัดจะโดนหนักกว่านี้อีกนะฉันขอเตือนไว้ก่อน เอาล่ะ... แกโทรมาก็ดีแล้วฉันจะได้บอกความจริงแก ความจริงที่เป็นสถานที่ๆพวกลูกหลานคนมีเงิน มักจะเอาพ่อแม่ของเขามาฝากไว้ แกเชื่อมั้ยว่าธุรกิจนี้ทำเงินเป็นบ้าเลยว่ะ ลูกๆยอมจ่ายเงินแพงๆเพื่อให้พ่อแม่ของเขามาอยู่ที่นี่"
เสียงพี่ชายของไวพจตอบกลับมา ตามด้วยเสียงหัวเราะลั่น
"แกอยู่ที่นั่นน่ะดีแล้ว จะได้ไม่ต้องสร้างความเดือดร้อนให้ฉันอีก รู้มั้ยว่าค่าใช่จ่ายต่อคนที่ไปอยู่ที่นั่นต้องจ่ายปีละ 1 ล้านบาท"
"แต่นี่คือการลักพาตัว กักขังหน่วงเหยี่ยว"
"เอกสารที่แกเซ็นเมื่อวานคือหนังสือยินยอมให้อยู่ในการควบคุมของสถานที่แห่งนี้ แกไม่ได้อ่านเลยเหรอ เอาล่ะ... แกอยู่ในนั้นก็ทำตัวดีๆนะจะได้ไม่เจ็บตัวอีก ไว้ค่อยคุยกันโอกาสหน้า"
"ดะๆ เดี๋ยวๆ"
เสียงปลายสายวางไปแล้ว แต่ไวพจยังไม่หายคับข้องใจ เขาพยายามหาวิธีต่อรองกับคนทั้งสองตรงหน้า
"นี่รู้มั้ยว่าฉันคือน้องชายแท้ๆของเจ้าของที่นี่"
หญิงชราและชายหนุ่มหันมามองหน้ากัน และก็ปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา
"นี่คุณ แขกของเราหลายคนก็ชอบอ้างว่าเคยเป็นคนนู้นเป็นคนนี้อยู่บ่อยๆ เป็นพ่อแม่ของนักการเมืองบ้าง ผู้มีอิทธิพลบ้าง แต่ใครจะสนล่ะ ในเมื่อลูกๆของพวกเขายอมจ่ายเงินเพื่อส่งพ่อแม่มาอยู่ที่นี่แล้ว เราคงไม่ยอมทุบหม้อข้าวตัวเองแน่ และที่สำคัญพวกเราไม่เจอกับคนที่เป็นเจ้าของที่นี่สักครั้งเลย เราไม่สนใจหรอกครับว่าแขกของเราจะพูดอะไร หน้าที่ของเราคือดูแลพวกเขาให้ดีที่สุด"
เจ้าหน้าที่หนุ่มหันมาพูดกับไวพจ
"นี่พวกคุณจะบอกว่าไม่เคยเห็นหน้าเจ้าของที่นี่จริงๆเหรอ?"
ทั้งสองพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ
โรงแรมอลวน
'ปัง!'
เสียงประตูถูกถีบแรงจนกลอนประตูแตกกระจาย ไวพจตกใจแต่ทำอะไรไม่ได้ เขาทำได้แค่เพียงใช้หนังสือพิมพ์ปิดส่วนล่างของเขาไว้ ชายหนุ่มในชุดหนังสีดำจำนวน 5 คนเข้ามายืนพร้อมกันในห้องน้ำแคบๆ
"เรามาตามนัดที่เราสัญญากันไว้ครับ คุณไวพจ"
ชายหนุ่มคนกลางพูดถึงเหตุผลที่พวกเขามาในครั้งนี้
"เอ่อ! ขอฉันทำธุระในนี้เสร็จก่อนไม่ได้เหรอ พวกเธอออกไปรอในออฟฟิศชั้นข้างนอกก่อนดีกว่ามั้ย"
'จ๋อม!'
เสียงก้อนของเสียของไวพจหล่มลงน้ำในโถชักโครก ชายหนุ่มในชุดหนังคนหนึ่ง ใช้เท้าเหยียบลงบนคันโยกของชักโครก เสียงน้ำไหลดัง
"พอดีเราต้องรีบไป คุยกันให้เสร็จในนี้เลย"
ชายหนุ่มคนกลางพูดต่อ
"ก่อๆ ก็ได้ พวกเธอมีธุระอะไร"
"วันนี้เรามาเก็บเงินที่คุณยืมจากเราไป ตอนนี้รวมดอกแล้วก็ 3 แสนบาท"
"จะบ้าเรอะ! ชั้นเอาเงินมาแค่ 7 หมื่นเอง"
ไวพจตะโกนเสียงดังลั่น กลุ่มชายหนุ่มทั้ง 5 หันหน้ามองกันไปมา
"ที่เหลือมันค่าทวงหนี้ ไม่เห็นเหรอพวกเรามากันตั้ง 5 คน ค่าทวงหนี้ต้องใช้คนถึง 5 คน"
ไวพจกลืนน้ำลาย ชายหนุ่มคนหนึ่งหยิบมีดออกมาจากกระเป๋า
"อย่าให้มันมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกเลย ค่าใช้อุปกรณ์เท่ากับคนทวงหนี้ 10 คน"
ไวพจกลืนน้ำลายอีกครั้ง เพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของแก๊งทวงหนี้พวกนี้มาแล้ว หากใครเบี้ยวครั้งที่ 3 ก็ตายแน่นอน
"งั้นเอาอย่างนี้แล้วกันพ่อหนุ่ม ชั้นจะเอาเงินจำนวน 3 แสนมาให้ภายในอีก 3 วันข้างหน้า"
"อีก 3 วัน ตกลงตามนี้"
ชายหนุ่มในชุดหนัง 5 คนค่อยๆเดินออกไปจากห้องน้ำและสำนักงานของไวพจอย่างง่ายดาย ไวพจทำท่าเป่าปากก่อนจะรีบทำธุระให้เสร็จ เขาออกมาจากห้องน้ำ ไวพจรีบตรงไปที่โทรศัพท์มือถือ เพื่อต่อสายไปถึงใครบางคน
.......
"โธ่พี่ชาย รับรองว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย"
"แกพูดแบบนี้มา 3 ครั้งแล้ว ชั้นควรจะเชื่อแกดีมั้ย ของเดิมแกก็ยังไม่ใช้ให้ชั้นเลย"
เสียงตะโกนดังลั่นออกมาจากสายปลายทางดังลั่น จนไวพจตกใจ
"เอาอย่างนี้ละกัน เงิน 3 แสนมันต้องใช้เวลา ถ้าภายใน 3 วันไม่มีทางแน่ แกมาพบชั้นที่โรงแรมของชั้น แล้วแกก็ซ่อนตัวอยู่ในนั้นจนกว่าชั้นจะเตรียมเงินให้แกได้"
สีหน้าไวพจเริ่มมีรอยยิ้ม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไวพจตั้งใจจะไปขอยืมเงินพี่ชาย เขาเอาเงินก้อนโตจากพี่ชายมาแล้ว 3 ครั้ง 3 ครั้งรวมกันแล้วยังไม่เท่าครั้งนี้ที่มากถึง 3 แสน และทุกครั้งที่ไวพจเอาเงินมา เขาก็ชักดาบทุกครั้ง
"ขอบคุณมากครับพี่ชาย ทั้งชีวิตนี้ผมก็มีพี่เพียงคนเดียวที่เป็นที่พึ่งได้"
"เอ่อๆ ไม่ต้องพูดมากแล้ว ยังไงก็รีบมาแล้วกัน เจอกันเย็นนี้"
"ครับพี่ชาย เจอกันที่โรงแรมเอ็มลอร์ดใช่มั้ย?"
"ไม่ใช่! ครั้งนี้แกมาเจอชั้นที่โรงแรมเล็กๆของชั้นที่นอกเมือง เดี๋ยวจะส่งที่อยู่ไปให้"
"ได้ครับ"
ไวพจรับคำเสร็จก็รีบวางสายโทรศัพท์ เขารีบจัดแจงเก็บเสื้อผ้าอย่างเร่งรีบ และจากนั้นก็รีบโบกแท็กซี่ไปยังที่อยู่ที่ได้รับทางโทรศัพท์ และในที่สุดแท็กซี่ก็มาส่งไวพจยังสถานที่เป้าหมายสำเร็จ
สิ่งปลูกสร้างที่อยู่ตรงหน้า จากคำบอกเล่าของพี่ชายนั้นคือโรงแรมเล็กๆที่อยู่ชานเมืองออกไปไกล และยังอยู่ในซอกซอยลึกลับ ยากที่จะมีนักท่องเที่ยวที่ไหนจะหาเจอหรือเดินผ่าน เขามองครั้งแรกด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อว่าที่นี่คือโรงแรม เพราะลักษณะภายในที่เงียบเชียบและรั้วรอบขอบชิดเกินกว่าที่มีใครจะอยากเข้าไปพัก แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ที่ไม่สามารถเดินกลับหลังได้แล้ว ไวพจจึงได้แต่หยิบกระเป๋าและค่อยๆเดินเข้าไปยังประตูทางเข้าแคบๆ เพื่อเข้าไปยังล็อบบี้
"สวัสดีครับ เอ่อ... พอดีมีคนจองห้องพักไว้ให้ผม นี่ครับบัตร"
สีหน้าของพนักงานหลังเคาน์เตอร์ที่แก่ชรา เธอทำท่างุ่มง่ามรับบัตรประชาชนจากไวพจ จากนั้นจึงกดโทรศัพท์ไปหาใครคนหนึ่ง หลังจากพนักงานชราสนทนาผ่านโทรศัพท์เสร็จ เธอหันหน้ามามองไวพจอีกครั้ง พร้อมใช้มือมาขยับแว่นตาหนาเตอะที่เธอสวม เพื่อให้มองเห็นใบหน้าของไวพจอย่างชัดเจน จากนั้นพนักงานชราบรรจงหยิบพวงกุญแจพวงใหญ่และเรียกชายที่เหมือนกับทำหน้าที่ยกกระเป๋าให้มารับกุญแจ พนักงานยกกระเป๋าเดินตรงเข้ามารับพวงกุญแจและชายตามองมาที่ไวพจไม่กระพริบ ไวพจรู้สึกไม่ชอบหน้าของพนักงานยกกระเป๋าคนนี้เท่าไหร่นัก ด้วยร่างกายที่สูงและตัวค่อนข้างใหญ่ หวีผมเรียบแปล้และทาลิปสติกสีชมพูอ่อนบนริมฝีปาก นั่นทำให้ไวพจถึงกลับรีบหลบสายตาทันทีที่เขาถูกจ้อง
"เอ่อ... ช่วยเซ็นตรงนี้หน่อยค่ะ"
พนักงานชรายื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้ไวพจ ไวพจอ่านมันคร่าวๆ เมื่อเห็นว่ามันคือแค่เอกสารขอเข้าพัก เขารีบลงลายมือชื่ออย่างรวดเร็วลงบนเอกสารแผ่นนั้น
'นี่มันโรงแรมบ้าอะไรวะเนี่ย!' ไวพจคิดในใจพร้อมทำหน้าตาไม่ชอบใจและงุนงง แต่สิ่งที่ทำให้ไวพจประหลาดใจมากกว่าก็คือ เมื่อเขาหันหน้าไปทางลานล็อบบี้ที่มีชุดโต๊ะโซฟา เขาเห็นกลุ่มคนหลายคนนั่งนิ่งอยู่กับโต๊ะไม่ไหวติง มีบางคนเท่านั้นที่หันมาทางไวพจ บางคนมียิ้มที่มุมปากส่งกลับมา และทุกคนที่อยู่ในล็อบบี้ล้วนเป็นคนแก่ชราแทบทั้งสิ้น ไวพจคิดว่านี่มันโรงแรมหรือบ้านพักคนชรากันแน่นะ
"เชิญคุณไวพจครับ เดี๋ยวผมจะพาคุณไปที่ห้อง"
พนักงานยกกระเป๋าเดินมาหยิบกระเป๋าของไวพจ และนำทางขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบน ประตูห้องพักถูกเปิดออก ข้างในประดับไว้ด้วยของตกแต่งอย่างดี นั่นทำให้ไวพจอุ่นใจขึ้นมาหน่อยว่าที่นี่น่าจะเป็นโรงแรมจริงๆ ในห้องนี้มีทุกอย่างที่จะอำนวยความสะดวกให้ได้
"อา... ห้องช่างสะดวกสบายจริงๆ เอ้านี่ขอบคุณมาก น้ำใจเล็กๆน้อยๆจากฉัน"
ไวพจควักแบงก์ร้อยออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อยื่นให้คนยกกระเป๋า
"ขอบคุณมากครับ แต่ที่นี่เราไม่มีนโยบายรับทิปจากแขกผู้เข้ามาพัก ขอให้พักผ่อนให้สบายนะครับ"
พนักงานยกกระเป๋าค่อยๆบรรจงปิดประตูจนแทบจะไม่มีเสียง ไวพจรู้สึกปลอดภัยที่มาอยู่สถานที่แห่งนี้ เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวไปอาบน้ำ เมื่ออาบน้ำเสร็จไวพจก็มาเปิดทีวีดูและเผลอหลับไปโดยทีวียังถูกเปิดทิ้งไว้
วันถัดมา ไวพจตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น จากการที่เขาได้นอนหลับอย่างเต็มที่แล้ว ไวพจคิดขึ้นได้ว่าเมื่อคืนลืมปิดทีวี เขาควานหารีโมททีวีเพื่อจะปิดมัน แต่ยังไม่ทันที่จะหาเจอไวพจก็เห็นทีวีที่ถูกปิดเรียบร้อยแล้ว และรีโมทก็วางอยู่ข้างๆทีวี ไวพจคิดว่าเมื่อคืนเขาคงปิดมันแล้ว ไวพจลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนที่จะออกไปหาอะไรกิน เขาคิดว่าเดี๋ยวจะต้องโทรศัพท์ไปขอบคุณพี่ชายสักหน่อย แต่เมื่อไวพจค้นหาโทรศัพท์มือถือ เขากลับไม่เจอมัน ไม่ว่าจะหาจากกระเป๋าเสื้อหรือกางเกง หรือกระเป๋าเสื้อผ้าก็ไม่พบมัน ไวพจรีบสำรวจข้าวของๆเขาปรากฏว่าทุกอย่างอยู่ครบยกเว้นโทรศัพท์มือถือ ไม่รอช้า ไวพจรีบแต่งตัวและออกจากห้องเพื่อไปยังออฟฟิศข้างล่างเพื่อถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
พนักงานที่อยู่ประจำออฟฟิศยังเป็นหญิงชราใส่แว่นตาหนาเตอะคนเดิม เธอเหมือนไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเมื่อไวพจเข้าไปถาม
"คุณครับ เมื่อคืนมีคนเข้าไปในห้องผม และยังเอาโทรศัพท์มือถือผมไปด้วย ช่วยเช็คกล้องวงจรปิดให้หน่อยได้มั้ยว่าใคร"
ไวพจพูดด้วยกับพนักงานชรา เขาไม่แม้จะสบตากับเธอ ส่วนพนักงานชราก็ทำท่าเหมือนไม่โต้ตอบอะไร นั่นยิ่งทำให้ไวพจอารมณ์เสียมากขึ้นไปอีก
"นี่คุณ! นี่มันเรื่องใหญ่เลยนะ ที่นี่มีขโมยครับ ถ้าโรงแรมไม่สามารถตามหาคนร้ายให้ผมได้ ผมคงต้องแจ้งความกับตำรวจแล้วล่ะ"
พนักงานชรายังคงทำสีหน้าไม่รับรู้อะไร ไม่พูดโต้ตอบไม่แม้แต่จะมองหน้าไวพจ เธอยังคงง่วนอยู่กับกองเอกสารที่กำลังคัดแยก ไวพจเริ่มหมดความอดทน เขาตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่พักหนึ่ง พร้อมเรียกหาโทรศัพท์เพื่อจะโทรแจ้งตำรวจ ไวพจเห็นเครื่องโทรศัพท์ในห้องสำนักงานจึงเดินตรงเข้าไปยังโต๊ะที่วางเครื่องโทรศัพท์ และใช้มือซ้ายยกหูก่อนใช้มือขวากดเบอร์โทร
ทันใดนั้น! มือๆหนึ่งที่ทั้งนุ่มและนิ้วมือเรียวงาม เล็บที่ถูกตกแต่งพร้อมทาสีชมพูอ่อนก็มาประกบจับที่มือของไวพจที่กำลังกดปุ่มบนเครื่องโทรศัพท์ เจ้าของมือนุ่มนั่นคือชายที่ช่วยไวพจหิ้วกระเป๋าขึ้นห้องนั่นเอง เขาออกแรงบิดข้อมือของไวพจจนไวพจร้องตะโกนลั่น
"นี่เธอเป็นใครกัน มีสิทธ์อะไรมาห้ามฉันไม่ให้ใช้โทรศัพท์ และนี่ยังเข้าข่ายทำร้ายร่างกายกันอีกด้วยนะเนี่ย ปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ"
ชายหนุ่มยังคงล็อคข้อมือของไวพจไว้จนไวพจไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ สักพักชายหนุ่มใช้มืออีกข้างมาประคองไหล่ของไวพจ และพยายามบังคับให้เดินไปนั่งยังโต๊ะที่มีเก้าอี้สองตัว ไวพจถูกลากมานั่งเก้าอี้ตัวหนึ่ง เมื่อถูกปล่อยมือไวพจทำท่าทางเจ็บและโวยวาย ไม่ช้าพนักงานหญิงชราที่อยู่นอกห้องสำนักงานก็เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า มานั่งยังเก้าอี้อีกตัว
"คุณไม่ต้องห่วงเรื่องข้อมือนะคะ เพราะนอกจากเจ้าหน้าที่คนนี้ของเราจะมีหน้าที่คอยจัดการทุกอย่างในนี้ เขายังเป็นนักกายภาพบำบัดที่มีฝีมือของเราด้วย"
"เจ้าหน้าที่เรอะ? ที่นี่มันโรงแรมแบบไหนกันแน่ แล้วเรื่องโทรศัพท์ของผมจะว่ายังไงกัน"
ไวพจพูดพร้อมหันไปมองหน้าเจ้าหน้าที่หนุ่ม
"คือว่าที่นี่เราไม่มีนโยบายให้ผู้เข้าพักของเราใช้โทรศัพท์มือถือค่ะ เมื่อคืนขณะที่คุณไวพจหลับ พนักงานท่านนี้จึงไปเอาโทรศัพท์ของคุณไวพจมาเก็บไว้"
"นี่มันโรงแรมบ้าประเภทไหนกัน! ต่อสายโทรศัพท์ถึงเจ้าของโรงแรมให้ผมที ผมอยากจะคุยกับเขาหน่อย"
ไวพจพูดเสียงดังจนเป็นที่สนใจของคนอื่นที่อยู่ในล็อบบี้ ผู้คนมากมายต่างมายืนล้อมรอบห้องสำนักงานเพื่อเฝ้ามองดูเหตุการณ์ พนักงานหญิงชราสบตาพร้อมพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่หนุ่ม เจ้าหน้าที่หนุ่มเดินไปหยิบเครื่องโทรศัพท์มาวางไว้บนโต๊ะที่ไวพจนั่ง ไม่รอช้าไวพจรีบขยับเครื่องโทรศัพท์มาวางไว้ตรงหน้า พร้อมยกหูโทรศัพท์และกดหมายเลขที่คุ้นเคยลงไป
"พี่! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน มันเกิดอะไรขึ้นที่โรงแรมบ้าๆนี่รู้มั้ย"
ไวพจตะโกนเสียงใส่โทรศัพท์
"นี่ๆเจ้าไวพจ แกไม่ต้องขอบอกขอบใจฉันมากขนาดนี้ก็ได้ เป็นยังไงบ้างคืนแรกกับที่นั่นดีใช่มั้ย"
"ดีกะผีอะไรเล่า มีคนขโมยโทรศัพท์ฉัน และเช้านี้ยังมีเด็กยกของมาบิดข้อมือฉันอีก ที่นี่มันที่ไหนกันแน่เนี่ย?"
"ใจเย็นๆ อย่าไปทำให้เขาโกรธ ถ้าแกไปทำให้เขาโกรธจัดจะโดนหนักกว่านี้อีกนะฉันขอเตือนไว้ก่อน เอาล่ะ... แกโทรมาก็ดีแล้วฉันจะได้บอกความจริงแก ความจริงที่เป็นสถานที่ๆพวกลูกหลานคนมีเงิน มักจะเอาพ่อแม่ของเขามาฝากไว้ แกเชื่อมั้ยว่าธุรกิจนี้ทำเงินเป็นบ้าเลยว่ะ ลูกๆยอมจ่ายเงินแพงๆเพื่อให้พ่อแม่ของเขามาอยู่ที่นี่"
เสียงพี่ชายของไวพจตอบกลับมา ตามด้วยเสียงหัวเราะลั่น
"แกอยู่ที่นั่นน่ะดีแล้ว จะได้ไม่ต้องสร้างความเดือดร้อนให้ฉันอีก รู้มั้ยว่าค่าใช่จ่ายต่อคนที่ไปอยู่ที่นั่นต้องจ่ายปีละ 1 ล้านบาท"
"แต่นี่คือการลักพาตัว กักขังหน่วงเหยี่ยว"
"เอกสารที่แกเซ็นเมื่อวานคือหนังสือยินยอมให้อยู่ในการควบคุมของสถานที่แห่งนี้ แกไม่ได้อ่านเลยเหรอ เอาล่ะ... แกอยู่ในนั้นก็ทำตัวดีๆนะจะได้ไม่เจ็บตัวอีก ไว้ค่อยคุยกันโอกาสหน้า"
"ดะๆ เดี๋ยวๆ"
เสียงปลายสายวางไปแล้ว แต่ไวพจยังไม่หายคับข้องใจ เขาพยายามหาวิธีต่อรองกับคนทั้งสองตรงหน้า
"นี่รู้มั้ยว่าฉันคือน้องชายแท้ๆของเจ้าของที่นี่"
หญิงชราและชายหนุ่มหันมามองหน้ากัน และก็ปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา
"นี่คุณ แขกของเราหลายคนก็ชอบอ้างว่าเคยเป็นคนนู้นเป็นคนนี้อยู่บ่อยๆ เป็นพ่อแม่ของนักการเมืองบ้าง ผู้มีอิทธิพลบ้าง แต่ใครจะสนล่ะ ในเมื่อลูกๆของพวกเขายอมจ่ายเงินเพื่อส่งพ่อแม่มาอยู่ที่นี่แล้ว เราคงไม่ยอมทุบหม้อข้าวตัวเองแน่ และที่สำคัญพวกเราไม่เจอกับคนที่เป็นเจ้าของที่นี่สักครั้งเลย เราไม่สนใจหรอกครับว่าแขกของเราจะพูดอะไร หน้าที่ของเราคือดูแลพวกเขาให้ดีที่สุด"
เจ้าหน้าที่หนุ่มหันมาพูดกับไวพจ
"นี่พวกคุณจะบอกว่าไม่เคยเห็นหน้าเจ้าของที่นี่จริงๆเหรอ?"
ทั้งสองพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ