แทนที่จะมานั่งจด note ทำ excel หรือใช้โปรแกรมต่างๆมาคอยนั่งบันทึกเป็นพักๆ การบริหารการใช้เงินโดยให้ระบบบัญชีของธนาคารลงบันทึกตรวจสอบให้เราแทนน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเพราะ
1. ยอดเงินทุกเม็ดได้รับการบันทึกหมดทันทีที่มีการฝากหรือถอนเงิน
2. ลงรายละเอียดและเวลาในการฝากถอนให้พร้อม
3. สรุปรายรับรายจ่ายแต่ละเดือนให้เรียบร้อยว่าจะติดตัวแดงไหม กดแล้วรู้เลยว่าเดือนนี้รับเท่าไหร่ จ่ายเท่าไหร่
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องปรับ lifestyle การใช้จ่ายให้เอื้อต่อการตรวจสอบด้วย เช่น
1. credit card ใช้เฉพาะผ่อนรายเดือนอย่างเดียวเท่านั้น ตอนสรุปยอด credit ก็ mark ไปเลยว่า "ผ่อน!" อย่าเอาไปใช้กับส่วนลด 5% 10% ที่ทำให้คุณตรวจสอบไม่ได้ว่าที่ได้ใช้จ่ายไปจริงๆมีอะไรบ้าง
2. เวลาซื้อของ shopping ให้ใช้ debit card แทน credit card เพื่อจะได้รู้ว่าหักยอดอะไรบ้างในแต่ละเดือน เปิดมา check monthly statement จะได้รู้ไปเลยว่าโดนหักค่ากระเป๋ารองเท้าเท่านี้เวลานี้นะ
3. เนื่องจาก check จากบัญชีธนาคารดังนั้นรายรับรายจ่ายที่ไม่ผ่านเข้าบัญชีจะไม่ถูกประเมิน คุณจะถือว่าเป็นเงินนอกระบบจนกว่าจะนำเงินนั้นมาเข้าบัญชี
ที่เหลือก็ไม่มีอะไรมากถ้าไม่ติดหนี้ credit card รุงรังไปซะก่อน มาดูกันครับว่าคุณจะเช็ครายรับร่ายจ่ายได้อย่างไร
1. ธนาคารส่วนใหญ่ทุกวันนี้มี e-banking ให้ใช้หมดแล้ว ถ้าเน้นสะดวกและดูแลเรื่องความปลอดภัยได้ก็ควรจะใช้ดูเพื่อความสะดวกนะครับ แต่ถ้าไม่สะดวกใจก็นำสมุดบัญชีไปอัพยอดมาแยกฝากถอนเองอีกที
2. ไม่ว่าคุณจะมีเงินในมือหรือติดหนี้ใครไว้ยังไงเท่าไหร่ ให้สรุปจากข้อมูลในบัญชีเป็นหลักนะครับ ถ้าถอนออกมามากกว่าฝากก็คือติดลบเดือนนั้นก็แดงไปเลย ไม่ต้องซึนหลอกตัวเองว่ามีเงินจาก sideline เข้ามาเยอะ เพราะถ้ามีเยอะมันก็คงไม่ขาดมือจนติดลบหรอก
3. ตัดยอดผ่อน credit card ออกก่อน แล้วดูว่าในแต่ละเดือนมียอดค่าใช้จ่ายยังไงบ้าง บางยอดที่คุณหลงลืมก็อาจทำให้คุณสะอึกได้ว่าพอดูทั้งเดือนออกมามันเยอะแบบนี้เลยเหรอ
4. สังเกตรายจ่ายทั่วที่คุณถอนมาใช้เติมเงินในกระเป๋าดูว่าคุณเติมเท่าไหร่ บ่อยแค่ไหน ตัวนี้จะสะท้อนถึง lifestyle การใช้จ่ายของคุณได้ในเดือนถัดๆไป
5. ยอดโอน ยอดตัด debit นั้น มียอดไหนที่คุณเสียดายบ้างไหม บางยอดที่ไม่เยอะ พอมารวมๆกันเข้ามันก็ไม่น้อยนะ เลิกได้เลิก ลดได้ลด
6. ต่อมาก็มาดูยอดผ่อน ดูว่ายอดเงินผ่อนเมื่อเทียบกับรายได้ รายจ่าย และเงินเก็บที่มีเป็นอย่างไร หากแบ่ง รายได้ออกมาเป็น รายจ่าย:เงินเก็บ:เงินผ่อนแล้ว อัตราส่วนที่พอจะดูมั่นคงเมื่อมีผ่อนบ้าน/รถก็ควรจะอยู่ราวๆ 3:1:6 ผมคงไม่โลกสวยบอกให้ออม 30% โดยที่ยังผ่อนบ้านหรือรถหรอก แต่ถ้าไม่มีผ่อนบ้านหรือรถก็ราวๆ 5:3:2 ก็น่าจะดี
7. หลังจากที่ประเมินตัวเองผ่านบัญชีธนาคารมาได้สัก 3 เดือนก็น่าจะพอเห็นภาพแล้วว่ารายจ่ายประจำอยู่ที่เท่าไหร่ รายจ่ายจรในแต่ละเดือนที่ไม่ได้จำพอมารวมกันแล้วเป็นอย่างไร สภาพคล่องที่แท้จริงผ่านสมุดบัญชีมีแค่ไหน หลังจากนั้นก็ควรวางแผนปรับปรุงการใช้จ่ายเพื่อรักษาสภาพคล่องของกระแสเงินและกระแสจิตตัวเองด้วยนะครับ
หมายเหตุ: model นี้เป็นรูปแบบที่ออกแบบมาสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ดำเนินชีวิตตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง หากคุณไม่ใช่มนุษย์เงินเดือนแล้วอาจจะนำมาใช้หมดไม่ได้แต่ก็หวังว่าจะพอได้แนวคิดอะไรบ้าง หรือถ้าคุณผูกยอดกับ credit card ไว้หมด ชอบไปเที่ยวกินทั้งในและนอกประเทศบ่อยๆก็สามารถปรับแผนจากยอดบัญชีธนาคารมาเป็นยอด credit card แทนค่าใช้จ่ายได้ แต่ผมเชื่อว่าการสะสมคะแนนแลกสินค้าและส่วนลดล่อซื้อน่าจะมีแรงดึงดูดมากเกินกว่าที่วิธีการตรวจสอบบัญชีนี้จะช่วยอะไรคุณได้
ปล. ผมกดเข้ามาดูเองทีไรก็สะดุ้งทุกที คิดว่าลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นไปได้เยอะแล้วนะ แต่พอมากดดูทีไรไม่รู้มีรายจ่ายจากไหนมากองเต็มไปหมดแบบนี้ รายจ่ายจรนี่น่ากลัวจริงๆ
วิธีการตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างง่ายจากบัญชีธนาคาร
1. ยอดเงินทุกเม็ดได้รับการบันทึกหมดทันทีที่มีการฝากหรือถอนเงิน
2. ลงรายละเอียดและเวลาในการฝากถอนให้พร้อม
3. สรุปรายรับรายจ่ายแต่ละเดือนให้เรียบร้อยว่าจะติดตัวแดงไหม กดแล้วรู้เลยว่าเดือนนี้รับเท่าไหร่ จ่ายเท่าไหร่
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องปรับ lifestyle การใช้จ่ายให้เอื้อต่อการตรวจสอบด้วย เช่น
1. credit card ใช้เฉพาะผ่อนรายเดือนอย่างเดียวเท่านั้น ตอนสรุปยอด credit ก็ mark ไปเลยว่า "ผ่อน!" อย่าเอาไปใช้กับส่วนลด 5% 10% ที่ทำให้คุณตรวจสอบไม่ได้ว่าที่ได้ใช้จ่ายไปจริงๆมีอะไรบ้าง
2. เวลาซื้อของ shopping ให้ใช้ debit card แทน credit card เพื่อจะได้รู้ว่าหักยอดอะไรบ้างในแต่ละเดือน เปิดมา check monthly statement จะได้รู้ไปเลยว่าโดนหักค่ากระเป๋ารองเท้าเท่านี้เวลานี้นะ
3. เนื่องจาก check จากบัญชีธนาคารดังนั้นรายรับรายจ่ายที่ไม่ผ่านเข้าบัญชีจะไม่ถูกประเมิน คุณจะถือว่าเป็นเงินนอกระบบจนกว่าจะนำเงินนั้นมาเข้าบัญชี
ที่เหลือก็ไม่มีอะไรมากถ้าไม่ติดหนี้ credit card รุงรังไปซะก่อน มาดูกันครับว่าคุณจะเช็ครายรับร่ายจ่ายได้อย่างไร
1. ธนาคารส่วนใหญ่ทุกวันนี้มี e-banking ให้ใช้หมดแล้ว ถ้าเน้นสะดวกและดูแลเรื่องความปลอดภัยได้ก็ควรจะใช้ดูเพื่อความสะดวกนะครับ แต่ถ้าไม่สะดวกใจก็นำสมุดบัญชีไปอัพยอดมาแยกฝากถอนเองอีกที
2. ไม่ว่าคุณจะมีเงินในมือหรือติดหนี้ใครไว้ยังไงเท่าไหร่ ให้สรุปจากข้อมูลในบัญชีเป็นหลักนะครับ ถ้าถอนออกมามากกว่าฝากก็คือติดลบเดือนนั้นก็แดงไปเลย ไม่ต้องซึนหลอกตัวเองว่ามีเงินจาก sideline เข้ามาเยอะ เพราะถ้ามีเยอะมันก็คงไม่ขาดมือจนติดลบหรอก
3. ตัดยอดผ่อน credit card ออกก่อน แล้วดูว่าในแต่ละเดือนมียอดค่าใช้จ่ายยังไงบ้าง บางยอดที่คุณหลงลืมก็อาจทำให้คุณสะอึกได้ว่าพอดูทั้งเดือนออกมามันเยอะแบบนี้เลยเหรอ
4. สังเกตรายจ่ายทั่วที่คุณถอนมาใช้เติมเงินในกระเป๋าดูว่าคุณเติมเท่าไหร่ บ่อยแค่ไหน ตัวนี้จะสะท้อนถึง lifestyle การใช้จ่ายของคุณได้ในเดือนถัดๆไป
5. ยอดโอน ยอดตัด debit นั้น มียอดไหนที่คุณเสียดายบ้างไหม บางยอดที่ไม่เยอะ พอมารวมๆกันเข้ามันก็ไม่น้อยนะ เลิกได้เลิก ลดได้ลด
6. ต่อมาก็มาดูยอดผ่อน ดูว่ายอดเงินผ่อนเมื่อเทียบกับรายได้ รายจ่าย และเงินเก็บที่มีเป็นอย่างไร หากแบ่ง รายได้ออกมาเป็น รายจ่าย:เงินเก็บ:เงินผ่อนแล้ว อัตราส่วนที่พอจะดูมั่นคงเมื่อมีผ่อนบ้าน/รถก็ควรจะอยู่ราวๆ 3:1:6 ผมคงไม่โลกสวยบอกให้ออม 30% โดยที่ยังผ่อนบ้านหรือรถหรอก แต่ถ้าไม่มีผ่อนบ้านหรือรถก็ราวๆ 5:3:2 ก็น่าจะดี
7. หลังจากที่ประเมินตัวเองผ่านบัญชีธนาคารมาได้สัก 3 เดือนก็น่าจะพอเห็นภาพแล้วว่ารายจ่ายประจำอยู่ที่เท่าไหร่ รายจ่ายจรในแต่ละเดือนที่ไม่ได้จำพอมารวมกันแล้วเป็นอย่างไร สภาพคล่องที่แท้จริงผ่านสมุดบัญชีมีแค่ไหน หลังจากนั้นก็ควรวางแผนปรับปรุงการใช้จ่ายเพื่อรักษาสภาพคล่องของกระแสเงินและกระแสจิตตัวเองด้วยนะครับ
หมายเหตุ: model นี้เป็นรูปแบบที่ออกแบบมาสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ดำเนินชีวิตตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง หากคุณไม่ใช่มนุษย์เงินเดือนแล้วอาจจะนำมาใช้หมดไม่ได้แต่ก็หวังว่าจะพอได้แนวคิดอะไรบ้าง หรือถ้าคุณผูกยอดกับ credit card ไว้หมด ชอบไปเที่ยวกินทั้งในและนอกประเทศบ่อยๆก็สามารถปรับแผนจากยอดบัญชีธนาคารมาเป็นยอด credit card แทนค่าใช้จ่ายได้ แต่ผมเชื่อว่าการสะสมคะแนนแลกสินค้าและส่วนลดล่อซื้อน่าจะมีแรงดึงดูดมากเกินกว่าที่วิธีการตรวจสอบบัญชีนี้จะช่วยอะไรคุณได้
ปล. ผมกดเข้ามาดูเองทีไรก็สะดุ้งทุกที คิดว่าลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นไปได้เยอะแล้วนะ แต่พอมากดดูทีไรไม่รู้มีรายจ่ายจากไหนมากองเต็มไปหมดแบบนี้ รายจ่ายจรนี่น่ากลัวจริงๆ