[รีวิว]Divergent Insurgent Allegiant

อันนี้ไปเจอมานะ Cr.aomsita.blogspot.com
พร้อมนะ


(ขอแอบติงการแปลชื่อเรื่องเบาๆว่าไม่น่าแปลเป็น "มายาเร้นโลก" เลย เพราะหนังสือชุดนี้ไม่มีมายาอะไรทั้งสิ้น เป็นแนววิทยาศาสตร์ เครียดและไม่ชวนฝันเลยสักนิดเดียว --คือเรามองว่า การใช้คำว่า "มายา" ทำให้เรานึกถึงอะไรเร้นลับอย่าง Harry Potter, Twilight, Beautiful Creatures อะไรทำนองนี้มากกว่า ซึ่ง Divergent มันคนละโลกเลย ฮือๆ)

และจะมีภาพยนตร์เข้าฉายประมาณมีนาคมปีหน้า (2014) ด้วย ส่วนตัวเราแล้ว พอใจกับ การคัดเลือกนักแสดงมาก แม้จะทุกคนจะดูแก่กว่าในหนังสือก็ตาม (พระเอกแซ่บและบึ้กดี อาาาาาา~)

จริงๆแล้ว Divergent ดังอยู่นานพอสมควรแล้ว ตามติด Hunger Games เลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นหนังสือรุ่นน้อง ออกตามๆกันมาในยุคที่ Dystopian Books กลับมาตีตลาดต่างประเทศ (โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา)

ก่อนที่เราจะเข้าเรื่อง (อะไรนี่คือยังไม่เข้าอีกหรอ 555) เราบอกอะไรสักเล็กน้อยก่อน
เพราะเราตั้งใจเขียนให้ค่อนข้างละเอียด ในรีวิวจึงมีทั้งจุดที่สปอยล์และไม่สปอยล์ ตรงไหนสปอยล์เราจะเขียนตัวใหญ่ๆๆๆๆๆๆ เอาไว้ให้ จะได้ข้ามไปอ่านในส่วนอื่นนะ ยิ้ม
ถ้าพร้อมแล้วก็... ตีตั๋วไป Chicago กันเต๊อะ!!!


สังคมของไดเวอร์เจนท์
SPOILER FREE: ไม่มีสปอยล์
ประเด็นแรกขอพูดถึงเรื่องสังคมของไดเวอร์เจนท์ก่อนเลย การสร้างสังคมในหนังสือประเภท Dystopian นั้น เรามองว่าเป็นจุดสำคัญมาก เพราะจะเป็นตัวชี้วัดเลยว่า เรื่องจะออกไปในทิศทางไหน
แล้วนอกจากเรื่องการถูกควบคุมโดยรัฐบาลแล้ว สังคมนี้ต่างจากสังคมในเรื่องอื่นๆอย่างไร?
ตามในหนังสือเล่มหนึ่ง สังคมของไดเวอร์เจนท์เป็นสังคมในโลกอนาคต ยามที่สงครามสงบแล้ว ฉากของเรื่องคือเมืองชิคาโก้ ทุกคนใช้ชีวิตปกติเหมือนสังคมเรา เพียงแต่มีอุปกรณ์ที่ไฮเทคกว่า
สังคมของไดเวอร์เจนท์จะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มหรือ factions โดยแต่ละ faction นั้นจะยึดคุณธรรมที่ต่างกันไป มี manifestos เอาไว้ยึดถือ ทุกคนปฏิบัติตามคุณธรรมนั้นอย่างสุดโต่ง และรับผิดชอบหน้าที่ต่างๆตามที่ factions ของตัวเองได้กำหนดไว้ factions เหล่านั้นคือ
1. Abnegation: คนกลุ่มนี้ เน้นเรื่องการเสียสละ ไม่ยึดติดอยู่กับตัวเอง ทุกคนเงียบขรึม แต่งชุดสีเทา ไม่ชอบมองกระจก (การมองกระจกถือเป็นการหลงตัวเอง) ทำงานเพื่อช่วยเหลือสังคม  นึกถึงผู้อื่นและส่วนร่วมเป็นหลัก
2. Dauntless: คนกลุ่มนี้เป็นผู้กล้า แต่ไม่ใช่ผู้กล้าแบบกริฟฟินดอร์นะ เป็นผู้กล้าแบบออกแนวโหดๆ ทำหน้าที่คล้ายๆทหาร ชอบใช้กำลัง ทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะความกลัวทั้งทาง physical และ mental
3. Erudite: กลุ่มคนฉลาดและกระหายความรู้ คนส่วนใหญ่เป็นนักวิทยาศาสตร์คอยพัฒนาโน่นนี่นั่นเพื่อสังคมโดยรวม
4. Amity: กลุ่มคนรักสันติ ไม่ชอบการต่อสู้ ไม่ชอบต่อล้อต่อเถียง อยู่ได้ด้วยตัวเอง มีอาชีพเป็นเกษตรกร แต่บางครั้งกลุ่มนี้ก็ลุกขึ้นสู้ เพราะยึดแนวคิดที่ว่า บางทีการจะได้ความสงบสุขมาก็ต้องสู้ก่อน
5. Candor: กลุ่มคนยึดถือสัจจะ เป็นกลุ่มคนที่ไม่มีความลับ ซื่อตรง เชื่อถือได้ ยึดมั่นแต่ความจริง โปร่งใส

แล้วทำไมต้องเป็นห้ากลุ่มนี้?
ว่ากันว่า ทั้งห้ากลุ่มสร้างขึ้นมาจาก flaws ของมนุษย์ กล่าวคือ การรบราฆ่าฟันกันในอดีต เกิดขึ้นมาก็เพราะมนุษย์นั้นเห็นแก่ตัว, ขี้ขลาด, ไม่ประสีประสา, ก้าวร้าวรุนแรงและไม่ซื่อสัตย์ สังคมจึงแบ่งออกเป็นห้ากลุ่มเพื่อชดเชยข้อบกพร่องของมนุษย์ทั้งห้าอย่างนั้น

หลักการที่น่าสนใจ (สำหรับเรา) ซึ่งเกี่ยวข้องกับสังคมนี้ก็คือ
จริงๆแล้ว คนในสังคมนี้มีสิทธิ์เลือกกลุ่มของตัวเองเมื่อถึงเวลา ตรงนี้จะต่างกับ The Hunger Games หรือ Delirium หรือแม้แต่ The Giver ที่ทุกอย่างทางรัฐบาลจะจัดการ
สิ่งที่รัฐบาลในสังคมไดเวอร์เจนท์จะจัดการให้คุณก็คือ ช่วยจัดการทดสอบเพื่อดูว่าคุณมีแนวโน้มควรไปอยู่กลุ่มไหน และถึงแม้ผลของคุณจะบอกว่าอย่างไร คุณก็มีสิทธิ์เลือกว่าจะเชื่อผลการทดสอบหรือไม่ก็ได้ ในวัน Choosing Ceremony ทุกคนจะกรีดเลือดลงในอ่างที่มีสัญลักษณ์ของแต่ละ factions และจากนั้นเป็นต้นไป ทุกคนก็ต้องยึดถือคำกล่าวที่ว่า "Faction before blood" ถ้าคุณคิดจะออกจากครอบครัวและ faction เดิมของคุณก็ได้ แต่ there's no going back.
สังเกตได้ว่าสังคมนี้ ให้สิทธิ์คนในสังคมเลือก ได้ (แม้จะเป็นการเลือกจากช้อยส์ที่มีโคตรจำกัดก็ตาม)
แต่ถึงกระนั้น คุณก็ต้องไปผ่านกระบวนการคัดกรองก่อนอยู่ดี กลุ่มที่มีคนตกผลการทดสอบมากที่สุดก็คือ Dauntless เพราะการคัดคนของที่นั่นโหดมาก ตายเป็นตาย

เออ แล้ว Divergent ชื่อเรื่องมันมาจากไหนคืออะไร?
คนที่เป็น Divergent ถือเป็นบุคคลอันตราย "เพราะ" เอาจริงๆแล้ว การจัดคนให้เป็นกลุ่มแบบนี้ สั่งสอนให้เค้าเชื่อตามกันแบบนี้ ทำให้คนถูกควบคุมได้ง่ายมาก ทุกคนกลายเป็นคนที่อ่านง่าย เช่น เจอคนจาก Dauntless ก็จะรู้ว่าเขาเชื่อหรือให้ความสำคัญกับ virtue ข้อไหนมากที่สุด แต่คนที่เป็น Divergent คือ คนที่ไปทดสอบแล้ว ผลการทดสอบไม่สามารถสรุปได้ คือ เป็นคนที่มีคุณสมบัติหลายอย่างอยู่ในตัว และคนเหล่านั้น ในเล่มแรก ก็จะถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ เพราะไม่สามารถถูกบังคับได้ (ทั้งร่างกายและจิตใจต่อต้าน)

แนวคิดที่ได้จากการอ่านทั้งสามเล่ม
SPOILER RATE: MEDIUM มีการสปอยล์ปานกลาง
ในส่วนนี้เราจะสรุปไอเดียที่เราได้จากการอ่านทั้งสามเล่ม
โดยจะเขียนเป็นเล่มๆไป ใครไม่อยากให้ไอเดียเราทำลายจินตนาการ สามารถข้ามตรงนี้ไปได้เลย ขณะเดียวกัน ถ้าอยากอ่านไอเดียของเราแค่บางเล่มก็ย่อมทำได้ ยิ้ม เราเชื่อว่ามีไอเดียอีกล้านแปดพันอย่าง ที่สามารถดึงออกมาได้จากหนังสือทั้งสามเล่มนี้ เรายินดีจะอ่านความเห็นของคนอื่น เช่นเดียวกับที่เราชอบอ่านเปเปอร์คนอื่นและฟังการตีความจากมุมมองอื่นๆในวิชาวรรณคดีที่เราเคยเรียนมา
ปล. เราไม่ได้วิจารณ์ในเชิงวิชาการ ฉะนั้นจะไม่มีการอ้างอิงหลักการหรือทฤษฎีใดๆอย่างจริงจังทั้งสิ้น

ก่อนจะเจาะเข้าไปพูดเป็นเล่ม ขอบอกก่อนเลยว่าไอเดียหลักที่เราได้จากการอ่านซีรี่ส์นี้คือเรื่อง Identity โดยเน้น การค้นหาตัวตน, การพยายามเปลี่ยนแปลงตัวตน, การถูกนิยามความเป็นตัวตนโดยผู้อื่น และการนิยามตนเอง ซึ่งเราว่าเมื่อเอามารวมกับวิธีการนำเสนอ ถือเป็นไอเดียที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับผู้อ่านระดับ Young Adults (แม้ในเรื่องจะโหดเลือดสาดมาก 555) เรื่องจากไดเวอร์เจนท์, อินเซอร์เจนท์ และอลีเจนท์ จะพัฒนาสเกลความใหญ่ไปเรื่อยๆ จากเรื่องเล็กๆ ไปเรื่องใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น เหมือนศึกษาเรื่องโลกมนุษย์, ระบบสุริยะ แล้วค่อยศึกษาจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาล
ดังนั้นในการพูดถึงแต่ละเล่มเราก็จะเจาะสองประเด็นนี้ควบคู่กันไป คือ เรื่อง Identity และการพัฒนาสเกลของปมปัญหาหลักในเรื่อง




DIVERGENT:
finding your identities
เล่มแรก เรามองว่า เรื่องจะมุ่งเน้นให้เราเห็นถึงการนิยามตนเอง การพยายามตามหา faction ที่เรา belong to ส่วนคนที่เป็นไดเวอร์เจนท์ ถ้าไม่อยากถูกเก็บ ก็ต้องเลือกสัก faction แล้วทำตัวกลมกลืน เราจะได้เห็นว่านางเอกเลือกอะไรและจะผ่านการคัดเลือกเพื่ออยู่ใน faction นั้นๆได้อย่างไร

ต่อจากนี้มีสปอยล์สำหรับคนยังไม่ได้อ่านเล่มแรก
..........................
..............
.....
.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่