ความรู้สึกนี้อาจจะเหมือนกับหลายๆคนนะครับ ว่าเชียงใหม่มีอะไรให้เที่ยวเยอะแยะเลย ยิ่งในเมืองด้วยแล้วแต่ละปีๆมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมาย
ทริปเชียงใหม่รอบนี้ของเราสืบเนื่องมาจากเป็นวันครบรอบแต่งงาน 5 ปีของเราสองคนครับ ผมเองก็เลยตัดสินใจพาแฟนพรอ้มกับลูกน้อยในท้องของเค้าซึ่งก็มีอายุครรภ์ครบ 5 เดือนพอดิบพอดี ไปเที่ยวพร้อมกันพ่อแม่ลูกเป็นครั้งแรก ^^
เราไปกับสายการบินนกแอร์ครับ เกือบตกเครื่องเพราะชะล่าใจเรื่องการเดินทางไปหน่อย ไปเจอรถติดเพราะอุบัติเหตุพอดี เรียกว่าเส้นยาแดงผ่าแปดเลยจริงๆ จะเช็คอินออนไลน์ก็ไม่ทันแล้ว ไปถึงเคาท์เตอร์ปิดเกือบหมด หลือเคาท์เตอร์สุดท้ายที่กำลังจะปิดเครื่องพอดี พอเจ้าหน้าที่ที่เคาท์เตอร์เห็นคุณแม่เดินจ้ำอ้าวพยุงพุงน้อยเดินตามผมมาก็เลยรีบบริการให้อย่างรวดเร็ว ก็ต้องขอบคุณน้องเจ้าหน้าที่คนนั้นไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ (ขออภัยที่ไม่ทันได้ดูชื่อนะครับ)

สุดท้ายก็มาถึงเกตได้ทันเวลา (แอบเห็นที่ตั๋วของแฟนด้วยว่าเจ้าหน้าที่เขียนว่ากำลังตั้งท้องได้ 19 สัปดาห์)
เนื่องจากเราซื่อตั๋วราคาโปรโมชั่นมาก็เลยได้เดินทางไฟลท์กลางคืน ถึงเชียงใหม่ก็ 4 ทุ่มพอดี มาคราวนี้ผมจองรถไว้ (ปกติจะนั่งรถแดงกัน) เพราะไม่อยากให้แฟนเค้าต้องเดินมาก คืนแรกเราพักกันที่ บ้าน เส-ลา guesthouse แถวถนนนิมมานฯ ซอย5 เป็น guesthouse ที่น่ารักดีครับ น่าจะเป็นตึกแถวที่ดัดแปลงมาเป็น guesthouse แนวไทยย้อนยุค เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญที่ตกแต่งก็เป็นไม้ ดูอบอุ่นดีครับ
ลืมบอกไปว่าเนื่องจากแฟนผมเค้าเป็นเด็กมอชอเก่า (เค้าก็เลยชวนผมมาเที่ยวเชียงใหม่กันเกือบทุกปี) แต่การเป็นเด็กมอชอของเค้าก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก ฮ่าๆ

เพราะมาทีไรก็ไม่ค่อยได้ไปที่ไหม่ๆหรือแบบ unseen มากนัก เช้าของวันที่สองเราก็เลยได้มากินโจ้กชื่อดังร้านเดิม ร้านโจ้กสมเพชร อยู่แถวคูเมือง หัวมุมถนนราชภาคินัย คนยังเยอะเหมือนเดิมครับ
พอดีไปแถวคูเมืองครับก็เลยถือโอกาสไปไหว้พระซะหน่อย กะจะไปให้ครบเก้าวัดเลย แต่เวลาไม่อำนวยเพราะต้องกลับไปเช็คเอาท์ (ที่นี่เราพักคืนเดียวครับ) ก็เลยได้มาแค่ 5 วัดก่อนครับ
หลังจากเช็คเอาท์ที่พักแล้วก็ไปหาที่นั่งเล่นครับ เพื่อรอเวลาอาหารกลางวันซึ่งแน่นอนแฟนผมเค้าแพลนมาจากกรุงเทพแล้วครับว่าต้องเป็นไหน และแน่นอนครับที่เดิมที่เคยมาแล้วอีกเช่นเคย

แต่ก่อนจะไปถึงอาหารกลางวันครับ เรามาแวะที่ร้านใกล้ที่บ้านเส-ลา อยู่ในนิมมานฯซอย 5 เหมือนกัน ชื่อว่าร้าน Librarista ชื่อร้านก็บอกแล้วครับว่าเป็นทั้งร้านกาแฟแล้วก็มีห้องสมุดให้ยืมหนังสืออ่านได้ด้วย โดยตัวห้องสมุดก็จะแยกออกมาจากร้านกาแฟนะครับ โดยลูกค้าสามารถนำบิลที่สั่งกาแฟไปยื่นให้พนักงานในห้องสมุดดูและขอเข้าไปใช้บริการได้ (มีทางเดินเชื่อมถึงกัน) โดยเค้าให้นั่งได้ 2 ชั่มโมงครับ สามารถนำเครื่องดื่มที่สั่งเข้าไปดื่มได้ด้วยครับ จริงๆผมเคยเห็นภาพร้านที่นี่จากนิตสารมาแล้วก่อนหน้านี้ พอเห็นเจ้าแมวหน้าร้านก็จำได้ทันทีครับ ถือว่าเป็นอีกร้านที่น่านั่งเลยครับ
จากร้าน Librarista เนื่องจากยังไม่หิวกันเท่าไหร่ ผมเลยขอเวะไปร้านโปรดของผมบ้าง ร้านนี้ถ้ามาเชียงใหม่ก็ต้องมาทุกครั้ง และมากี่ครั้งก็มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจทุกที นั่นคือร้านไอศกรีม iberry ของพี่โน้ส อุดม นั่นเองครับ ใจจริงที่อยากมาทุกครั้งเพราะอยากมาเสพความคิดสร้างสรรค์ของพี่เค้าครับ ผมชอบที่แกเป็นคนให้ความสำคัญกับเรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่คนทำงานออกแบบหรือ creative มักจะมองข้ามไป ซึ่งมาครั้งนี้ก็ไม่ผิดหวังอีกเช่นเคยครับ
เริ่มจากแปลนของร้านได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากครั้งก่อนที่ผมมาร้านขายของที่ระลึกจะอยู่ทางด้านขวาของร้าน แต่มาคราวนี้พื้นที่นั้นได้ถูกเปลี่ยนเป็นสำนักงานและห้องทำ bakery แทน ส่วนร้านขายของที่ระลึกก็ถูกย้ายมาด้านหลังร้านแทน บรรยากาศอื่นๆก็ค่อนข้างเหมือนเดิม จะต่างกันที่รูปปั้นประธานเหมาเจ๋อตุงหายไป แต่มีจ่าเฉยมาแทน ^^ แต่ที่ชอบสุดๆคราวนี้คงเป็นโคมไฟเก้าอี้ในร้านขายของที่ระลึก อาร์ทมวากกกๆ
แต่ที่น่าสนใจสำหรับผมไม่แพ้กันก็คือร้านใหม่ของแกที่ชื่อว่า drink เป็นร้านเครื่องดื่มที่ผมขอเรียกว่าเครื่องดื่มเกร็ดน้ำแข็ง ซึ่งสำหรับผมวิธีการที่เอาน้ำแต่ละประเภทไปแช่เย็นให้เป็นเกร็ดน้ำแข็งก่อนแล้วค่อยน้ำมาดื่มนั้นมันไม่ได้ใหม่อะไรนีก แต่พอใส่ความคิดสร้างสรรค์และเพิ่มดีเทลเข้าไปนิดหน่อยเท่านั้นกลายเป็นของใหม่เลย ทั้งตัวแก้วที่เหมือนโถแก้วโบราณแต่มีหูจับทำให้ดูมีเอกลักษณ์มากขึ้น แถมทรงยังไปเหมือนกับโลโก้ร้านด้วยความตั้งใจอีกต่างหาก อร่อยไม่อร่อยไม่รู้ (เพราะอร่อยของแต่ละคนไม่เหมือนกันเนอะ) แต่ผมชอบไอเดียไปแล้วอ่ะ ^^
หลังจากนั่งฟินกับร้านไอดอลของผมซักพัก ก็ได้เวลาไปทานอาหารกลางวันกัน ซึ่งอย่างที่เกริ่นไว้ครับ ร้านนี้แฟนผมเค้าแพลนมาตั้งแต่อยู่กรุงเทพฯแล้ว ซึ่งก็เหมือนกันว่ามาเชียงใหม่ทีไรก็ต้องมาทานเย็นตาโฟที่ร้านนี้ให้ได้สักมื้อ ร้านนั้นก็คือ "ร้านเย็นตาโฟร์ศรีพิงค์" ครับ ร้านตั้งอยู่ริมถนนสุเทพเลยครับ หาไม่ยากครับ แฟนผมบอกว่าร้านนี้แม่ค้าแต่งตัวสวยทุกวัน ถือเป็นเอกลักษณ์ของร้านไปแล้ว ส่วนเรื่องรสชาดอันนี้ผมต้องขอยอมรับว่าเป็นร้านเย็นตาโฟร์ที่อร่อยที่สุดร้านนึงที่ผมเคยทานมา ทั้งเกี้ยวกรอบแผ่นใหญ่เท่าบ้าน ^^ และสูตรน้ำเย็นตาโฟร์เฉพาะของที่ร้าน เรียกได้ว่าอร่อยขึ้นตาเลยครับ ใครยังไม่เคยแวะมาก็มาลองกันได้ครับ แนะนำ
หลังจากอิ่มแล้ว คุณภรรยาก็ใจดีบอกว่าจะพาผมไปดูเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่หมู่บ้านถวาย อำเภอหางดง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี คนในชุมชนส่วนใหญ่ทำงานด้านหัตถกรรมแกะสลักไม้ แล้วก็เปิดหมู่บ้านให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขายสินค้างานไม้ ผมเองไม่เคยมาที่นี่เลยรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะส่วนตัวชอบเฟอร์นิเจอร์งานไม้อยู่แล้ว พอไปถึงที่หมู่บ้านถวายก็รู้สึกแปลกๆว่าทำไม่คนเงียบผิดปกติ มีร้านเปิดอยู่ค่อนข้างบางตา พอถามได้ความจากร้านที่เปิดอยู่ก็เลยทราบว่าร้านที่นี่ส่วนใหญ่จะปิดวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันที่เราไปพอดี (แจ๊คพอต!) เลยถ่ายรูปบรรยากาศวันร้านปิดมาฝากนะครับ ^^
หลังจากอยู่ที่บ้านถวายไม่นาน เราก็เดินทางย้อนกลับมาที่สันทรายครับ (ใช้รถให้คุ้ม) จุดหมายต่อไปคือร้านเพื่อนของผมเองครับ จาหหนุ่มกรุงที่ย้ายรกรากทั้งครอบครัวไปอยู่ที่เชียงใหม่ ก็รวมหุ้นกับเพื่อนเปิดร้าน Shabu & Grill แบบอินดี้ๆที่มีชื่อเก๋ๆว่า Nimmohouse (นิมโม่เฮ้าส์) ที่ว่าอินดี้เพราะที่ตั้งของร้านอยู่ค่อนข้างห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ออกไป อยู่เลยมหาวิทยาลัยแม่โจ้ออกไปอีกนิดหน่อย ที่ตั้งไกลแบบนี้เนื่องจากเค้าใช้พื้นที่บางส่วนในบริเวณบ้านซึ่งกว้างกว่า 20 ไร่ เนรมิตรเป็นร้านอาหารสุดแนว พร้อม landscape สุดเท่ห์ไม่เหมือนใคร (มีเรือแคนูให้พายด้วย) ทำให้ลืมความไกลและบรรยากาศภายนอกไปเลย ผมเองติดตามข่าวจากเฟสบุคของเค้าตั้งแต่วันแรกที่เปิดจนถึงก่อนขึ้นมานี่ เห็นว่าร้านเต็มทุกวัน มีคนจองคิวเข้ามาล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ ทั้งๆที่เพิ่งเปิดได้ยังไม่ถึง 4 เดือนเลย เรียกว่าดังจนเจ้าของร้านอาหารดังๆในเชียงใหม่หลายเจ้าต้องมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง ซึ่งผมว่านอกจากเรื่องบรรยากาศแล้ว รสชาดของอาหาร ทั้งน้ำจิ้มสูตรพิเศษของทางร้าน และวัตถุดิบที่เลือกสรรมาอย่างดี ก็โดเด่นไม่แพ้กัน และที่สำคัญคอเบียร์ไม่น่าพลาดโดยเฉพาะเบียร์นอกที่มีให้เลือกมากกว่า 60 ชนิดให้ได้ลิ้มลองกัน เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะหาว่าอวยเพื่อนนะครับ ใครมีโอกาสก็ไปลองกันได้เลยครับ "Nimmohouse"
https://www.facebook.com/nimmohouse
ดินเนอร์กันเสร็จ เราก็กลับเข้ามาพักในเมืองอีกครั้งครับ คืนที่สองนี้เราพักกันที่โรงแรม B2 Green ครับ ที่พักใหม่ ดูดี สะอาด ไม่แพง แต่เข้าไปในซอยลึกหน่อย ที่เชียงใหม่นี้มีโรงแรมในเครือ B2 เยอะมาก แต่ละที่ก็ห้องเยอะครับ ถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาลก็น่าจะ walk in เข้ามาได้เลยครับ
เช้าวันสุดท้ายเราไปทานอาหารเช้ากันที่ "ร้านไข่กระทะเลิศรส" อยู่แถวประตูเมืองเลยครับ เห็นหลายคนรีวิวไว้เลยมาลองบ้างก็ไม่ผิดหวังครับ โดยเฉพาะเมนูขนมปังที่มีให้เลือกหลากหลายมาก ลูกค้าก็มีทั้งคนเชียงใหม่เอง นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติแวะเวียนกันมาตลอดเลยครับ
วันนี้คิวแน่นครับ หลังจากทานข้าวเสร็จก็แวะไปสักการะครูบาที่ตีนดอยสุเทพเพื่อเป็นศิริมงคล ต่อด้วยพาภรรยาไปเยือนถิ่นเก่าที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ครับ ที่นี่ยังคงพบนักท่องเที่ยวจีนอยู่อย่างอุ่นหนาฝาคั่งจากเทรนตามรอยภาพยนตร์เรื่อง Lost In Thailand โดยทางมหาลัยฯถึงกับต้องจัดรถคอยบริการนักท่องเที่ยวกันเลยทีเดียว ^^
มื้อกลางวันวันนี้กลับไปแถวนิมมานฯอีกครั้งครับ เนื่องจากเมื่อวานตอนที่แวะไปร้าน iberry แอบเล็งร้านก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่อยู่ร้านนึงครับ คนแน่นร้านเลย จำได้ว่ามาคราวก่อนยังไม่แน่นขนาดนี้เลย วันนี้ก็เลยจะขอไปลองดูหน่อย ร้านนี้มีชื่อว่า "คั่วไก่นิมมาน" ครับ หลายคนคงเคยไปทานกันบ้างแล้ว โชคดีตอนเราไปรอไม่นานครับ เมนูที่สั่งก็ไม่พ้นเมนูแนะนำของที่นี่ "ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่" และที่เก๋ไก๋อีกอย่างก็คือแก้วใส่เครื่องดื่มของที่นี่ครับ มาเป็นขันน้อยน่ารักอย่างในรูปเลยครับ
และเนื่องไฟลท์ของเราออกค่ำ ก็เลยยังพอมีเวลาไปเที่ยวได้อีกสักที่สองที่ เป้าหมายต่อไปก็คือวัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) ที่นี่ร่มรื่นมากครับ ต้นไม้เยอะ เงียบสงบ ภายในมีที่ปฏิบัติธรรมด้วยทั้งของผู้ใหญ่และของเด็ก มีที่ให้อาหารปลาและอาหารนก ที่สำคัญประวัติศาสตร์ของวัดอุโมงค์นี่ก็น่าสนใจไม่น้อยครับ ขออนุญาติไม่เล่าแต่ให้ไปดูในภาพที่ผมถ่ายมาแล้วกันนะครับ สำหรับผมที่นี่เป้็นอีกหนึ่งของอะเมซิ่งเชียงใหม่เลยครับ
เราทำเวลากันได้ดีครับ ก็เลยได้พาคุณภรรยามาช้อปปิ้งก่อนกลับอีกทีที่ กาดหน้ามอ มาคราวนี้ก็เปลี่ยนไปเยอะครับ ทั้งร้านรวง และพื้นที่รอบข้าง มีตลาดเปิดใหม่ใกล้ๆกันผุดขึ้นมาอีก แต่ก็ขอบายเพราะเดี๋ยวจะเกือบตกเครื่องเหมือนขามาอีก แหะๆ
.....อย่างที่บอกครับ มาเชียงใหม่ทีไรก็ไม่เคยเบื่อ มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปตลอด แต่ก็ไม่รู้เพราะว่านานาเรามาทีรึเปล่านะครับ ถ้าถามคนในพื้นที่เค้าอาจจะไม่คิดแบบก้ได้นะครับ ^^
ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนจบทริปนะครับ มีอะไรก็แนะนำมือใหม่หัดรีวิวอย่างผมได้นะครับ ขอบคุณมากคร้าาบ ^^
เชียงใหม่...ไปกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ
ทริปเชียงใหม่รอบนี้ของเราสืบเนื่องมาจากเป็นวันครบรอบแต่งงาน 5 ปีของเราสองคนครับ ผมเองก็เลยตัดสินใจพาแฟนพรอ้มกับลูกน้อยในท้องของเค้าซึ่งก็มีอายุครรภ์ครบ 5 เดือนพอดิบพอดี ไปเที่ยวพร้อมกันพ่อแม่ลูกเป็นครั้งแรก ^^
เราไปกับสายการบินนกแอร์ครับ เกือบตกเครื่องเพราะชะล่าใจเรื่องการเดินทางไปหน่อย ไปเจอรถติดเพราะอุบัติเหตุพอดี เรียกว่าเส้นยาแดงผ่าแปดเลยจริงๆ จะเช็คอินออนไลน์ก็ไม่ทันแล้ว ไปถึงเคาท์เตอร์ปิดเกือบหมด หลือเคาท์เตอร์สุดท้ายที่กำลังจะปิดเครื่องพอดี พอเจ้าหน้าที่ที่เคาท์เตอร์เห็นคุณแม่เดินจ้ำอ้าวพยุงพุงน้อยเดินตามผมมาก็เลยรีบบริการให้อย่างรวดเร็ว ก็ต้องขอบคุณน้องเจ้าหน้าที่คนนั้นไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ (ขออภัยที่ไม่ทันได้ดูชื่อนะครับ)
สุดท้ายก็มาถึงเกตได้ทันเวลา (แอบเห็นที่ตั๋วของแฟนด้วยว่าเจ้าหน้าที่เขียนว่ากำลังตั้งท้องได้ 19 สัปดาห์)
เนื่องจากเราซื่อตั๋วราคาโปรโมชั่นมาก็เลยได้เดินทางไฟลท์กลางคืน ถึงเชียงใหม่ก็ 4 ทุ่มพอดี มาคราวนี้ผมจองรถไว้ (ปกติจะนั่งรถแดงกัน) เพราะไม่อยากให้แฟนเค้าต้องเดินมาก คืนแรกเราพักกันที่ บ้าน เส-ลา guesthouse แถวถนนนิมมานฯ ซอย5 เป็น guesthouse ที่น่ารักดีครับ น่าจะเป็นตึกแถวที่ดัดแปลงมาเป็น guesthouse แนวไทยย้อนยุค เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญที่ตกแต่งก็เป็นไม้ ดูอบอุ่นดีครับ
ลืมบอกไปว่าเนื่องจากแฟนผมเค้าเป็นเด็กมอชอเก่า (เค้าก็เลยชวนผมมาเที่ยวเชียงใหม่กันเกือบทุกปี) แต่การเป็นเด็กมอชอของเค้าก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก ฮ่าๆ
พอดีไปแถวคูเมืองครับก็เลยถือโอกาสไปไหว้พระซะหน่อย กะจะไปให้ครบเก้าวัดเลย แต่เวลาไม่อำนวยเพราะต้องกลับไปเช็คเอาท์ (ที่นี่เราพักคืนเดียวครับ) ก็เลยได้มาแค่ 5 วัดก่อนครับ
หลังจากเช็คเอาท์ที่พักแล้วก็ไปหาที่นั่งเล่นครับ เพื่อรอเวลาอาหารกลางวันซึ่งแน่นอนแฟนผมเค้าแพลนมาจากกรุงเทพแล้วครับว่าต้องเป็นไหน และแน่นอนครับที่เดิมที่เคยมาแล้วอีกเช่นเคย
จากร้าน Librarista เนื่องจากยังไม่หิวกันเท่าไหร่ ผมเลยขอเวะไปร้านโปรดของผมบ้าง ร้านนี้ถ้ามาเชียงใหม่ก็ต้องมาทุกครั้ง และมากี่ครั้งก็มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจทุกที นั่นคือร้านไอศกรีม iberry ของพี่โน้ส อุดม นั่นเองครับ ใจจริงที่อยากมาทุกครั้งเพราะอยากมาเสพความคิดสร้างสรรค์ของพี่เค้าครับ ผมชอบที่แกเป็นคนให้ความสำคัญกับเรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่คนทำงานออกแบบหรือ creative มักจะมองข้ามไป ซึ่งมาครั้งนี้ก็ไม่ผิดหวังอีกเช่นเคยครับ
เริ่มจากแปลนของร้านได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากครั้งก่อนที่ผมมาร้านขายของที่ระลึกจะอยู่ทางด้านขวาของร้าน แต่มาคราวนี้พื้นที่นั้นได้ถูกเปลี่ยนเป็นสำนักงานและห้องทำ bakery แทน ส่วนร้านขายของที่ระลึกก็ถูกย้ายมาด้านหลังร้านแทน บรรยากาศอื่นๆก็ค่อนข้างเหมือนเดิม จะต่างกันที่รูปปั้นประธานเหมาเจ๋อตุงหายไป แต่มีจ่าเฉยมาแทน ^^ แต่ที่ชอบสุดๆคราวนี้คงเป็นโคมไฟเก้าอี้ในร้านขายของที่ระลึก อาร์ทมวากกกๆ
แต่ที่น่าสนใจสำหรับผมไม่แพ้กันก็คือร้านใหม่ของแกที่ชื่อว่า drink เป็นร้านเครื่องดื่มที่ผมขอเรียกว่าเครื่องดื่มเกร็ดน้ำแข็ง ซึ่งสำหรับผมวิธีการที่เอาน้ำแต่ละประเภทไปแช่เย็นให้เป็นเกร็ดน้ำแข็งก่อนแล้วค่อยน้ำมาดื่มนั้นมันไม่ได้ใหม่อะไรนีก แต่พอใส่ความคิดสร้างสรรค์และเพิ่มดีเทลเข้าไปนิดหน่อยเท่านั้นกลายเป็นของใหม่เลย ทั้งตัวแก้วที่เหมือนโถแก้วโบราณแต่มีหูจับทำให้ดูมีเอกลักษณ์มากขึ้น แถมทรงยังไปเหมือนกับโลโก้ร้านด้วยความตั้งใจอีกต่างหาก อร่อยไม่อร่อยไม่รู้ (เพราะอร่อยของแต่ละคนไม่เหมือนกันเนอะ) แต่ผมชอบไอเดียไปแล้วอ่ะ ^^
หลังจากนั่งฟินกับร้านไอดอลของผมซักพัก ก็ได้เวลาไปทานอาหารกลางวันกัน ซึ่งอย่างที่เกริ่นไว้ครับ ร้านนี้แฟนผมเค้าแพลนมาตั้งแต่อยู่กรุงเทพฯแล้ว ซึ่งก็เหมือนกันว่ามาเชียงใหม่ทีไรก็ต้องมาทานเย็นตาโฟที่ร้านนี้ให้ได้สักมื้อ ร้านนั้นก็คือ "ร้านเย็นตาโฟร์ศรีพิงค์" ครับ ร้านตั้งอยู่ริมถนนสุเทพเลยครับ หาไม่ยากครับ แฟนผมบอกว่าร้านนี้แม่ค้าแต่งตัวสวยทุกวัน ถือเป็นเอกลักษณ์ของร้านไปแล้ว ส่วนเรื่องรสชาดอันนี้ผมต้องขอยอมรับว่าเป็นร้านเย็นตาโฟร์ที่อร่อยที่สุดร้านนึงที่ผมเคยทานมา ทั้งเกี้ยวกรอบแผ่นใหญ่เท่าบ้าน ^^ และสูตรน้ำเย็นตาโฟร์เฉพาะของที่ร้าน เรียกได้ว่าอร่อยขึ้นตาเลยครับ ใครยังไม่เคยแวะมาก็มาลองกันได้ครับ แนะนำ
หลังจากอิ่มแล้ว คุณภรรยาก็ใจดีบอกว่าจะพาผมไปดูเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่หมู่บ้านถวาย อำเภอหางดง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี คนในชุมชนส่วนใหญ่ทำงานด้านหัตถกรรมแกะสลักไม้ แล้วก็เปิดหมู่บ้านให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขายสินค้างานไม้ ผมเองไม่เคยมาที่นี่เลยรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะส่วนตัวชอบเฟอร์นิเจอร์งานไม้อยู่แล้ว พอไปถึงที่หมู่บ้านถวายก็รู้สึกแปลกๆว่าทำไม่คนเงียบผิดปกติ มีร้านเปิดอยู่ค่อนข้างบางตา พอถามได้ความจากร้านที่เปิดอยู่ก็เลยทราบว่าร้านที่นี่ส่วนใหญ่จะปิดวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันที่เราไปพอดี (แจ๊คพอต!) เลยถ่ายรูปบรรยากาศวันร้านปิดมาฝากนะครับ ^^
หลังจากอยู่ที่บ้านถวายไม่นาน เราก็เดินทางย้อนกลับมาที่สันทรายครับ (ใช้รถให้คุ้ม) จุดหมายต่อไปคือร้านเพื่อนของผมเองครับ จาหหนุ่มกรุงที่ย้ายรกรากทั้งครอบครัวไปอยู่ที่เชียงใหม่ ก็รวมหุ้นกับเพื่อนเปิดร้าน Shabu & Grill แบบอินดี้ๆที่มีชื่อเก๋ๆว่า Nimmohouse (นิมโม่เฮ้าส์) ที่ว่าอินดี้เพราะที่ตั้งของร้านอยู่ค่อนข้างห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ออกไป อยู่เลยมหาวิทยาลัยแม่โจ้ออกไปอีกนิดหน่อย ที่ตั้งไกลแบบนี้เนื่องจากเค้าใช้พื้นที่บางส่วนในบริเวณบ้านซึ่งกว้างกว่า 20 ไร่ เนรมิตรเป็นร้านอาหารสุดแนว พร้อม landscape สุดเท่ห์ไม่เหมือนใคร (มีเรือแคนูให้พายด้วย) ทำให้ลืมความไกลและบรรยากาศภายนอกไปเลย ผมเองติดตามข่าวจากเฟสบุคของเค้าตั้งแต่วันแรกที่เปิดจนถึงก่อนขึ้นมานี่ เห็นว่าร้านเต็มทุกวัน มีคนจองคิวเข้ามาล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ ทั้งๆที่เพิ่งเปิดได้ยังไม่ถึง 4 เดือนเลย เรียกว่าดังจนเจ้าของร้านอาหารดังๆในเชียงใหม่หลายเจ้าต้องมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง ซึ่งผมว่านอกจากเรื่องบรรยากาศแล้ว รสชาดของอาหาร ทั้งน้ำจิ้มสูตรพิเศษของทางร้าน และวัตถุดิบที่เลือกสรรมาอย่างดี ก็โดเด่นไม่แพ้กัน และที่สำคัญคอเบียร์ไม่น่าพลาดโดยเฉพาะเบียร์นอกที่มีให้เลือกมากกว่า 60 ชนิดให้ได้ลิ้มลองกัน เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะหาว่าอวยเพื่อนนะครับ ใครมีโอกาสก็ไปลองกันได้เลยครับ "Nimmohouse" https://www.facebook.com/nimmohouse
ดินเนอร์กันเสร็จ เราก็กลับเข้ามาพักในเมืองอีกครั้งครับ คืนที่สองนี้เราพักกันที่โรงแรม B2 Green ครับ ที่พักใหม่ ดูดี สะอาด ไม่แพง แต่เข้าไปในซอยลึกหน่อย ที่เชียงใหม่นี้มีโรงแรมในเครือ B2 เยอะมาก แต่ละที่ก็ห้องเยอะครับ ถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาลก็น่าจะ walk in เข้ามาได้เลยครับ
เช้าวันสุดท้ายเราไปทานอาหารเช้ากันที่ "ร้านไข่กระทะเลิศรส" อยู่แถวประตูเมืองเลยครับ เห็นหลายคนรีวิวไว้เลยมาลองบ้างก็ไม่ผิดหวังครับ โดยเฉพาะเมนูขนมปังที่มีให้เลือกหลากหลายมาก ลูกค้าก็มีทั้งคนเชียงใหม่เอง นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติแวะเวียนกันมาตลอดเลยครับ
วันนี้คิวแน่นครับ หลังจากทานข้าวเสร็จก็แวะไปสักการะครูบาที่ตีนดอยสุเทพเพื่อเป็นศิริมงคล ต่อด้วยพาภรรยาไปเยือนถิ่นเก่าที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ครับ ที่นี่ยังคงพบนักท่องเที่ยวจีนอยู่อย่างอุ่นหนาฝาคั่งจากเทรนตามรอยภาพยนตร์เรื่อง Lost In Thailand โดยทางมหาลัยฯถึงกับต้องจัดรถคอยบริการนักท่องเที่ยวกันเลยทีเดียว ^^
มื้อกลางวันวันนี้กลับไปแถวนิมมานฯอีกครั้งครับ เนื่องจากเมื่อวานตอนที่แวะไปร้าน iberry แอบเล็งร้านก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่อยู่ร้านนึงครับ คนแน่นร้านเลย จำได้ว่ามาคราวก่อนยังไม่แน่นขนาดนี้เลย วันนี้ก็เลยจะขอไปลองดูหน่อย ร้านนี้มีชื่อว่า "คั่วไก่นิมมาน" ครับ หลายคนคงเคยไปทานกันบ้างแล้ว โชคดีตอนเราไปรอไม่นานครับ เมนูที่สั่งก็ไม่พ้นเมนูแนะนำของที่นี่ "ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่" และที่เก๋ไก๋อีกอย่างก็คือแก้วใส่เครื่องดื่มของที่นี่ครับ มาเป็นขันน้อยน่ารักอย่างในรูปเลยครับ
และเนื่องไฟลท์ของเราออกค่ำ ก็เลยยังพอมีเวลาไปเที่ยวได้อีกสักที่สองที่ เป้าหมายต่อไปก็คือวัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) ที่นี่ร่มรื่นมากครับ ต้นไม้เยอะ เงียบสงบ ภายในมีที่ปฏิบัติธรรมด้วยทั้งของผู้ใหญ่และของเด็ก มีที่ให้อาหารปลาและอาหารนก ที่สำคัญประวัติศาสตร์ของวัดอุโมงค์นี่ก็น่าสนใจไม่น้อยครับ ขออนุญาติไม่เล่าแต่ให้ไปดูในภาพที่ผมถ่ายมาแล้วกันนะครับ สำหรับผมที่นี่เป้็นอีกหนึ่งของอะเมซิ่งเชียงใหม่เลยครับ
เราทำเวลากันได้ดีครับ ก็เลยได้พาคุณภรรยามาช้อปปิ้งก่อนกลับอีกทีที่ กาดหน้ามอ มาคราวนี้ก็เปลี่ยนไปเยอะครับ ทั้งร้านรวง และพื้นที่รอบข้าง มีตลาดเปิดใหม่ใกล้ๆกันผุดขึ้นมาอีก แต่ก็ขอบายเพราะเดี๋ยวจะเกือบตกเครื่องเหมือนขามาอีก แหะๆ
.....อย่างที่บอกครับ มาเชียงใหม่ทีไรก็ไม่เคยเบื่อ มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปตลอด แต่ก็ไม่รู้เพราะว่านานาเรามาทีรึเปล่านะครับ ถ้าถามคนในพื้นที่เค้าอาจจะไม่คิดแบบก้ได้นะครับ ^^
ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนจบทริปนะครับ มีอะไรก็แนะนำมือใหม่หัดรีวิวอย่างผมได้นะครับ ขอบคุณมากคร้าาบ ^^