อาจเพราะโดยพื้นฐาน ผมเป็นคนหนึ่งซึ่งชื่นชอบการอ่านนวนิยายจีนกำลังภายในเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้น ตลอดระยะเวลาที่รับชมซีรีย์เรื่องดังอย่าง The Walking Dead จึงทำให้ผมรู้สึกนึกเทียบเคียงซีรีย์เรื่องนี้เข้ากับนวนิยายยุทธจักรอย่างยากจะหลีกเลี่ยงได้ โดยแก่นแท้เนื้อในอันเป็นขนบดั้งเดิมของนวนิยายจีนกำลังภายใน เนื้อหาของมันมักจะเกี่ยวพันอยู่กับเรื่องบุญคุณความแค้น การยึดถือในคุณธรรมน้ำมิตร การมองสุขทุกข์ของผู้อื่นเป็นเรื่องที่มาก่อนความผ่อนคลายสบายใจของตัวเอง นั่นยังไม่นับรวมความรู้สึกเชิงรับผิดชอบที่จะต้องผดุงรักษาความถูกต้องดีงามราวกับเป็นภาระแห่งชีวิต สิ่งเหล่านี้เป็นลักษณะเด่นที่พบเห็นได้ทั่วไปในนวนิยายเชิงยุทธจักร นวนิยายกำลังภายในจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของผู้มีวิทยายุทธล้ำเลิศกับการต่อสู้แย่งชิงเพื่อได้มาซึ่งสุดยอดคัมภีร์ หากแต่ยังยึดโยงอยู่กับสำนึกผิดชอบชั่วดี แม้แต่ตัวละครที่ถูกเรียกว่า “ตัวร้าย” ถ้าไม่ตกตายไปเสียก่อน ก็มักจะได้สำนึกกลับตัวกลับใจกลับกลายเป็นบุคคลที่รู้ว่าวิถีที่ถูกที่ควรเป็นเช่นไร
ไม่มากไม่มาย ผมคิดว่าหลากหลายตัวละครในหนังทีวีเรื่อง The Walking Dead ก็ดูจะเป็นเช่นนั้น… The Walking Dead เป็นซีรีย์ที่ทำมาจากหนังสือการ์ตูนของนักเขียนสามคน คือ “โรเบิร์ต เคิร์กแมน”, “โทนี่ มัวร์” และ “ชาร์ลี แอ็ดลาร์ด” ซึ่งนอกเหนือจากโรเบิร์ต เคิร์กแมน จะมาช่วยในการเขียนบท ภาพรวมทั้งหมดยังผ่านการดูแลสร้างสรรค์โดย “แฟรงค์ ดาราบอนท์” ผู้ที่หลายคนคงคุ้นชื่อเขาเป็นอย่างดีจากการกำกับภาพยนตร์ที่พูดถึงมิตรภาพและความหวังได้อย่างกินใจ เรื่อง The Shawshank Redemption เรื่องราวโดยย่อนั้นเล่าถึงรองนายอำเภอแห่งเมืองคิง คันทรี่ นามว่า “ริค ไกรมส์” พอเริ่มเรื่องมา เขาก็บาดเจ็บสาหัสจากการดวลปืนต่อสู้กันกับคนร้ายที่ท้องทุ่งแห่งหนึ่งและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เขาหลับใหลเป็นเจ้าชายนิทราไปหลายวัน ก่อนจะฟื้นขึ้นมาพบว่า เมืองทั้งเมืองดูแปลกหูแปลกตาไปอย่างสิ้นเชิง มันทั้งเงียบสงบและร้างไร้ผู้คน จะมีก็แต่ซากศพเกลื่อนกลาดกระจัดกระจาย ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ยังมีเหล่าผีซอมบี้เดินพล่านอยู่ทั่วทุกหัวถนน ท่ามกลางความฉงนสนเท่ห์ วูบหนึ่งของความคิด เขานึกถึงลูกและภรรยาที่ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดี แน่นอนครับว่า โดยวิธีการดำเนินเรื่องนั้น นี่คือซีรีย์ที่ตรึงความสนใจของคนดูผู้ชมได้อยู่หมัดตั้งแต่ต้นจบจบ
ฉากการต่อสู้ในเรื่องแม้จะไม่ใหญ่มาก แต่ก็ทำให้ลุ้นระทึกได้ทุกครั้ง อารมณ์โดยรวม เหมือนกับการดูหนังจำพวก Survival Movie หรือหนังที่เกี่ยวกับการเอาตัวรอดของตัวละครที่คนดูจะต้องลุ้นเอาใจช่วยด้วยความระทึกใจ จุดเด่นอันสุดยอดของงานชิ้นนี้อยู่ที่การเขียนบทซึ่งมีความฉลาดแหลมคม สะท้อนความเป็นคนได้อย่างลุ่มลึกและเข้าอกเข้าใจ ขณะเดียวกัน บทพูดของตัวละครในหลายๆ ครั้งก็มีความคมคายจนยากที่จะไม่เก็บเกี่ยวมาครุ่นคิดเพิ่มเติม The Walking Dead นั้นประกอบไปด้วยกลุ่มก้อนตัวละครที่แตกต่างหลากหลายตามวิสัยของซีรีย์ที่มีเวลาให้เล่นได้ไม่จำกัด กระนั้นก็ตาม ศูนย์กลางของเรื่องราวซึ่งถือว่าเป็นไฮไลต์ของซีรีย์ชุดนี้ โดยเฉพาะในซีซั่นแรก ก็คือตัวเอกของเรื่องอย่างรองนายอำเภอริค ไกรมส์ และก็เป็นรองนายอำเภอคนนี้นี่เองที่ผมรู้สึกว่าเขาเปรียบเสมือนตัวแทนแห่งบุคลิกที่พึงปรารถนาในทุกๆ สังคม ในความรู้สึกของผม แม้ “ริค ไกรมส์” จะห่างไกลจากคำว่าฮีโร่ผู้ไร้ข้อบกพร่อง แต่ภาพของเขาก็ชวนให้นึกถึงจอมยุทธสักคนในนิยายกำลังภายในสักเรื่อง …ว่ากันตามความจริง บ้านเมืองขณะนั้นถูกคุกคามด้วยอะไรไม่ทราบชัด ความเป็นรัฐก็ดูจะล่มสลายไปแล้วอย่างสิ้นเชิง การสื่อสารถูกตัดขาด สภาพสังคมไม่ต่างอะไรจากยุคอนาธิปไตยที่กฎหมายหมดสิ้นบทบาท แต่ข้าราชการอย่างเขา แม้ไม่ได้มียศสูงส่งอะไรนัก กลับพยายามปกปักรักษามันไว้อย่างถึงที่สุด
คนแบบนี้หายากนะครับ เพราะถึงแม้โอกาสจะเปิดช่องให้ทำเรื่องไม่ดีไม่งามได้อย่างสะดวกดาย แต่ความไม่ดีไม่งามทั้งหลายก็ดูจะมิอาจเล็ดรอดสอดแทรกเข้าไปในจิตใจของเขาได้ …ริค ไกรมส์ เคยได้รับการช่วยเหลือเมื่อครั้งโซซัดโซเซออกมาจากโรงพยาบาลโดยชายผิวสีคนหนึ่ง และเขาก็ไม่เคยลืมบุญคุณนั้น หลังจากแยกทางกัน เขาก็พยายามติดต่อสื่อสารทั้งโดยการโทรศัพท์หา (ผ่านวิทยุสื่อสารที่ใช้การได้แบบติดๆ ขัดๆ) และทิ้งสัญลักษณ์บางอย่างไว้เพื่อว่าถ้าชายผิวสีคนนั้นผ่านมาพบ จะได้รู้ว่าควรหลบหนีจากเหล่าซอมบี้ไปทิศทางใด …ขณะที่คนอื่นๆ พยายามออกปากห้ามไม่ให้เขากลับเข้าไปยังเมืองแห่งนั้นซึ่งแทบจะกลายเป็นเมืองแห่งซอมบี้ไปแล้วอย่างเบ็ดเสร็จ แต่ริค ไกรมส์ ก็แสดงความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวที่จะกลับเข้าไป เพราะเหตุผลว่า มีสมาชิกคนหนึ่ง ถูกทิ้งไว้ในเมืองแห่งนั้นภายหลังเหตุการณ์หลบหนีอันชุลมุน …ริค ไกรมส์ ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าคนคนนั้นจะน่าคบหาหรือไม่ก็ตาม เขาปฏิบัติต่อทุกๆ คนอย่างคำนึกถึงความรู้สึกของคนนั้นๆ ถ้าจะพูดว่าเขาเป็นพวกที่ไม่สิ้นหวังในความเป็นมนุษย์ก็น่าจะใช่ และว่ากันตามจริง ผู้ชายที่เขาจะต้องกลับเข้าไปในเมืองเพื่อช่วยเหลือนั้น มีนิสัยกักขฬะหยาบคายจนคนอื่นๆ เอือมระอา แต่สำหรับริค ไกรมส์ บางคนอาจจะมีจุดบอดข้อบกพร่องอยู่ที่พฤติกรรมอันยากจะทำใจยอมรับ แต่ใครล่ะจะกล้าปฏิเสธว่าเขาคนนั้นจะไม่รู้สึกทุกข์ร้อนเฉกเช่นคนอื่นๆ ยามเผชิญความทุกข์ยาก ดังนั้น แม้ว่าริค ไกรมส์ จะเคยถูกเย้ยหยันเหยียดหยามมาแล้วโดยชายผู้นั้น
แต่มโนธรรมในใจเขาก็เอาชนะการดูถูกหมิ่นหยามนั้นได้ เขาตัดสินใจเข้าเมือง ฝ่าฝูงซอมบี้เพื่อไปช่วยเหลือชายคนนั้น ภายหลังการหายตัวไปของเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งร่วมเดินทางด้วย ขณะที่หลายเสียงลงความเห็นว่ามันเสียเวลาเปล่ากับการออกเดินทางค้นหา แต่ทว่าริค ไกรมส์ น่าจะเป็นเพียงเสียงส่วนน้อยที่มั่นคงหนักแน่นต่อการที่จะต้องตามหาเด็กหญิงผู้นั้นให้พบ ไม่ว่าเธอจะยังมีชีวิตอยู่หรือเป็น “ศพเดินได้” ไปแล้วก็ตาม เห็นเรื่องราวของริค ไกรมส์ ในหลายฉากหลายตอนที่ต้องฝืนต้านกับเสียงค้านของสมาชิกในกลุ่มแล้วก็นึกถึงหลายๆ คนในโลกแห่งความเป็นจริง เพราะจะว่าไป เขาก็เหมือนใครหลายคนที่เรารู้จักซึ่งตั้งใจจะทำอะไรๆ ให้มันดีขึ้น แต่ผลที่ได้รับกลับเป็นอีกอย่าง ตอนที่เด็กผู้หญิงคนนั้นหายตัวไป ใครบางคนในกลุ่มพิพากษาว่าริคคือคนที่ต้องแบกรับบาปนี้ เพราะทั้งที่น่าจะช่วยได้ตั้งแต่แรก แต่เขาก็ละทิ้งเด็กหญิงคนนั้นไว้จนกระทั่งเธอหายตัวไป บ่อยครั้ง สิ่งที่น่าเศร้ามากที่สุดอย่างหนึ่งในโลก อาจไม่ได้หมายถึง “การมองดูแล้วก็เพิกเฉย” แต่มันเศร้าก็ตรงที่ว่าพอใครทำอะไรด้วยความตั้งใจดีแต่มันไม่สำเร็จสมบูรณ์แบบแล้วคนที่นั่งอยู่เฉยๆ ก็ตำหนิติเตียนราวกับเป็นบาปใหญ่หลวง
เหมือนอย่างที่ใครสักคนในเรื่องพูดว่า ขณะที่ริค ไกรมส์ วิ่งไปช่วยเหลือเด็กผู้หญิงทันทีที่เธอถูกพวกซอมบี้พบเห็น แต่คนอื่นๆ กลับได้แต่มองดูเขา แล้วสุดท้ายก็กล่าวโทษเขาที่เขาไม่เพอร์เฟคต์หรือทำอะไรไม่สำเร็จ ดูเหมือนคนประเภทนี้จะมีอยู่มากมายด้วยสิครับในโลกนี้ ในส่วนของริค ผมคิดว่าฉากที่สามารถสะท้อนตัวตนของคนแบบเขาได้ชัดเจนมากๆ มีอยู่สองฉาก หนึ่งคือตอนที่เขาเดินออกไปบนสนามหญ้าหน้าบ้านแล้วพบกับซอมบี้ตัวหนึ่งที่เหลือร่างเพียงครึ่งท่อนและต้องคลานไปเรื่อยเพราะไม่มีขาจะให้เดิน สายตาของเขามองไปที่ซอมบี้ตัวนั้นด้วยจิตเวทนา และก่อนจะลั่นกระสุนไปที่สมองของซอมบี้สาว เขารำพึงแผ่วเบาราวกับคนสำนึกบาปที่กำลังวิงวอนขออภัยโทษในเวรกรรมที่ตนก่อ และฉากที่สองคือตอนที่ริคพูดกับเพื่อนสมาชิกทำนองว่า ก่อนหน้านี้ ซอมบี้เหล่านั้นก็ไม่แตกต่างจากพวกเรา เพียงแต่พวกเขาโชคร้ายกว่าพวกเราเท่านั้นเอง ถ้าไม่เป็นการคิดแง่ดีเข้าขางเขาจนเกินไป (เพราะไม่น้อยครั้ง ริคก็ดูบุ่มบ่ามอ่อนแอเหมือนคนอื่นๆ) ผมคิดว่าเขามักจะมองปรากฏการณ์ทุกอย่างแบบ “เว้นที่ว่าง” เผื่อคนอื่นเสมอๆ และต่อให้เขาจะตรัสรู้ว่ามนุษย์นั้นมีมากกว่าหนึ่งด้านหรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าเราหยิบเอาตัวละครทุกๆ ตัวมาเอ็กซ์เรย์ดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน เราจะพบเห็นมิติที่น่าสนใจในตัวของพวกเขา ยกตัวอย่างเช่น แดริล คนหนุ่มที่มาพร้อมกับมาดมุทะลุดุดัน อวดดื้อถือดีไม่ค่อยฟังใคร ถ้าใช้กำลังตัดสินได้ก็จะทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทันทีที่รู้ข่าวร้ายเกี่ยวกับญาติผู้พี่ด้วยแล้ว ก็ดูจะทำให้แดริลกลายเป็นคนที่มองโลกมองทุกสิ่งแบบตาขวางมากยิ่งขึ้น แต่ก็อย่างที่เราจะได้เห็นครับว่า ระยะเวลาเพียงชั่วครู่ชั่วยามนั้นมิอาจตัดสินชี้วัดความเป็นคนของใครได้เลย พูดกันอย่างถึงที่สุด โดยรูปลักษณ์ภายนอกของซีรีย์ชุดนี้ อาจจะฉาบเคลือบไว้ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ของหนังบันเทิงร่วมสมัยที่มุ่งเน้นความสนุกระทึกใจจากการต่อสู้เอาตัวรอดของผู้คนในวิกฤติผีซอมบี้ แต่โดยเนื้อหาแก่นแท้ นี่คือผลงานที่สะท้อนความเป็นคนออกมาได้อย่างลุ่มลึก นั่นยังไม่ต้องพูดถึงว่า The Walking Dead นับเป็นชื่อที่มีความคมคายและซ้อนทับความหมายให้ขบคิดได้หลายชั้น ทั้งความหมายตรงและความหมายแฝง ในขั้นต้น
เราอาจตีความได้ตามตัวอักษรว่ามันหมายถึงพวกคนตายที่ฟื้นขึ้นมาเป็นซอมบี้ผีดิบเที่ยวกัดกินร่างกายของมนุษย์และสัตว์ โดยปราศจากชีวิตจิตวิญญาณและสำนึกผิดชอบชั่วดี แต่ในความหมายที่ลึกไปกว่านั้น ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่ชื่อของซีรีย์ชุดนี้มุ่งหมายจะสื่ออีกอย่าง อาจพุ่งเป้าไปที่มนุษย์โดยตรง เพราะในยามสังคมและบ้านเมืองเกิดวิกฤติ สภาวะที่ผู้คนต่างกระ

กระสนเพื่อดิ้นรนเอาตัวรอดโดยไม่นำพาต่อสิ่งใดนั้น บางทีก็น่าประหวั่นพรั่นพรึงไม่น้อยไปกว่าฝูงผีซอมบี้ที่ขวักไขว่อยู่เต็มเมืองเหล่านั้นเลย เพราะว่าสุดท้ายแล้ว สภาวะดังกล่าวนี้อาจนำพามนุษย์ไปถึงจุดที่น่าเศร้าสลดใจอย่างถึงที่สุด เนื่องจากเมื่อใดก็ตามที่หลงลืมมนุษยธรรมหรือละเลยความเป็นคน มนุษย์ก็คงไม่ต่างอะไรกันกับ The Walking Dead หรือ “คนตายที่เดินได้” ดีๆ นี่เอง
ประสบณ์การและความรู้สึกที่มีต่อ the walking dead ในแบบฉบับของผมมันไม่ใช่แค่ซีรี่ย์หรือ comic แต่มันเป็นมากกว่านั้น
ไม่มากไม่มาย ผมคิดว่าหลากหลายตัวละครในหนังทีวีเรื่อง The Walking Dead ก็ดูจะเป็นเช่นนั้น… The Walking Dead เป็นซีรีย์ที่ทำมาจากหนังสือการ์ตูนของนักเขียนสามคน คือ “โรเบิร์ต เคิร์กแมน”, “โทนี่ มัวร์” และ “ชาร์ลี แอ็ดลาร์ด” ซึ่งนอกเหนือจากโรเบิร์ต เคิร์กแมน จะมาช่วยในการเขียนบท ภาพรวมทั้งหมดยังผ่านการดูแลสร้างสรรค์โดย “แฟรงค์ ดาราบอนท์” ผู้ที่หลายคนคงคุ้นชื่อเขาเป็นอย่างดีจากการกำกับภาพยนตร์ที่พูดถึงมิตรภาพและความหวังได้อย่างกินใจ เรื่อง The Shawshank Redemption เรื่องราวโดยย่อนั้นเล่าถึงรองนายอำเภอแห่งเมืองคิง คันทรี่ นามว่า “ริค ไกรมส์” พอเริ่มเรื่องมา เขาก็บาดเจ็บสาหัสจากการดวลปืนต่อสู้กันกับคนร้ายที่ท้องทุ่งแห่งหนึ่งและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เขาหลับใหลเป็นเจ้าชายนิทราไปหลายวัน ก่อนจะฟื้นขึ้นมาพบว่า เมืองทั้งเมืองดูแปลกหูแปลกตาไปอย่างสิ้นเชิง มันทั้งเงียบสงบและร้างไร้ผู้คน จะมีก็แต่ซากศพเกลื่อนกลาดกระจัดกระจาย ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ยังมีเหล่าผีซอมบี้เดินพล่านอยู่ทั่วทุกหัวถนน ท่ามกลางความฉงนสนเท่ห์ วูบหนึ่งของความคิด เขานึกถึงลูกและภรรยาที่ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดี แน่นอนครับว่า โดยวิธีการดำเนินเรื่องนั้น นี่คือซีรีย์ที่ตรึงความสนใจของคนดูผู้ชมได้อยู่หมัดตั้งแต่ต้นจบจบ
ฉากการต่อสู้ในเรื่องแม้จะไม่ใหญ่มาก แต่ก็ทำให้ลุ้นระทึกได้ทุกครั้ง อารมณ์โดยรวม เหมือนกับการดูหนังจำพวก Survival Movie หรือหนังที่เกี่ยวกับการเอาตัวรอดของตัวละครที่คนดูจะต้องลุ้นเอาใจช่วยด้วยความระทึกใจ จุดเด่นอันสุดยอดของงานชิ้นนี้อยู่ที่การเขียนบทซึ่งมีความฉลาดแหลมคม สะท้อนความเป็นคนได้อย่างลุ่มลึกและเข้าอกเข้าใจ ขณะเดียวกัน บทพูดของตัวละครในหลายๆ ครั้งก็มีความคมคายจนยากที่จะไม่เก็บเกี่ยวมาครุ่นคิดเพิ่มเติม The Walking Dead นั้นประกอบไปด้วยกลุ่มก้อนตัวละครที่แตกต่างหลากหลายตามวิสัยของซีรีย์ที่มีเวลาให้เล่นได้ไม่จำกัด กระนั้นก็ตาม ศูนย์กลางของเรื่องราวซึ่งถือว่าเป็นไฮไลต์ของซีรีย์ชุดนี้ โดยเฉพาะในซีซั่นแรก ก็คือตัวเอกของเรื่องอย่างรองนายอำเภอริค ไกรมส์ และก็เป็นรองนายอำเภอคนนี้นี่เองที่ผมรู้สึกว่าเขาเปรียบเสมือนตัวแทนแห่งบุคลิกที่พึงปรารถนาในทุกๆ สังคม ในความรู้สึกของผม แม้ “ริค ไกรมส์” จะห่างไกลจากคำว่าฮีโร่ผู้ไร้ข้อบกพร่อง แต่ภาพของเขาก็ชวนให้นึกถึงจอมยุทธสักคนในนิยายกำลังภายในสักเรื่อง …ว่ากันตามความจริง บ้านเมืองขณะนั้นถูกคุกคามด้วยอะไรไม่ทราบชัด ความเป็นรัฐก็ดูจะล่มสลายไปแล้วอย่างสิ้นเชิง การสื่อสารถูกตัดขาด สภาพสังคมไม่ต่างอะไรจากยุคอนาธิปไตยที่กฎหมายหมดสิ้นบทบาท แต่ข้าราชการอย่างเขา แม้ไม่ได้มียศสูงส่งอะไรนัก กลับพยายามปกปักรักษามันไว้อย่างถึงที่สุด
คนแบบนี้หายากนะครับ เพราะถึงแม้โอกาสจะเปิดช่องให้ทำเรื่องไม่ดีไม่งามได้อย่างสะดวกดาย แต่ความไม่ดีไม่งามทั้งหลายก็ดูจะมิอาจเล็ดรอดสอดแทรกเข้าไปในจิตใจของเขาได้ …ริค ไกรมส์ เคยได้รับการช่วยเหลือเมื่อครั้งโซซัดโซเซออกมาจากโรงพยาบาลโดยชายผิวสีคนหนึ่ง และเขาก็ไม่เคยลืมบุญคุณนั้น หลังจากแยกทางกัน เขาก็พยายามติดต่อสื่อสารทั้งโดยการโทรศัพท์หา (ผ่านวิทยุสื่อสารที่ใช้การได้แบบติดๆ ขัดๆ) และทิ้งสัญลักษณ์บางอย่างไว้เพื่อว่าถ้าชายผิวสีคนนั้นผ่านมาพบ จะได้รู้ว่าควรหลบหนีจากเหล่าซอมบี้ไปทิศทางใด …ขณะที่คนอื่นๆ พยายามออกปากห้ามไม่ให้เขากลับเข้าไปยังเมืองแห่งนั้นซึ่งแทบจะกลายเป็นเมืองแห่งซอมบี้ไปแล้วอย่างเบ็ดเสร็จ แต่ริค ไกรมส์ ก็แสดงความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวที่จะกลับเข้าไป เพราะเหตุผลว่า มีสมาชิกคนหนึ่ง ถูกทิ้งไว้ในเมืองแห่งนั้นภายหลังเหตุการณ์หลบหนีอันชุลมุน …ริค ไกรมส์ ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าคนคนนั้นจะน่าคบหาหรือไม่ก็ตาม เขาปฏิบัติต่อทุกๆ คนอย่างคำนึกถึงความรู้สึกของคนนั้นๆ ถ้าจะพูดว่าเขาเป็นพวกที่ไม่สิ้นหวังในความเป็นมนุษย์ก็น่าจะใช่ และว่ากันตามจริง ผู้ชายที่เขาจะต้องกลับเข้าไปในเมืองเพื่อช่วยเหลือนั้น มีนิสัยกักขฬะหยาบคายจนคนอื่นๆ เอือมระอา แต่สำหรับริค ไกรมส์ บางคนอาจจะมีจุดบอดข้อบกพร่องอยู่ที่พฤติกรรมอันยากจะทำใจยอมรับ แต่ใครล่ะจะกล้าปฏิเสธว่าเขาคนนั้นจะไม่รู้สึกทุกข์ร้อนเฉกเช่นคนอื่นๆ ยามเผชิญความทุกข์ยาก ดังนั้น แม้ว่าริค ไกรมส์ จะเคยถูกเย้ยหยันเหยียดหยามมาแล้วโดยชายผู้นั้น
แต่มโนธรรมในใจเขาก็เอาชนะการดูถูกหมิ่นหยามนั้นได้ เขาตัดสินใจเข้าเมือง ฝ่าฝูงซอมบี้เพื่อไปช่วยเหลือชายคนนั้น ภายหลังการหายตัวไปของเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งร่วมเดินทางด้วย ขณะที่หลายเสียงลงความเห็นว่ามันเสียเวลาเปล่ากับการออกเดินทางค้นหา แต่ทว่าริค ไกรมส์ น่าจะเป็นเพียงเสียงส่วนน้อยที่มั่นคงหนักแน่นต่อการที่จะต้องตามหาเด็กหญิงผู้นั้นให้พบ ไม่ว่าเธอจะยังมีชีวิตอยู่หรือเป็น “ศพเดินได้” ไปแล้วก็ตาม เห็นเรื่องราวของริค ไกรมส์ ในหลายฉากหลายตอนที่ต้องฝืนต้านกับเสียงค้านของสมาชิกในกลุ่มแล้วก็นึกถึงหลายๆ คนในโลกแห่งความเป็นจริง เพราะจะว่าไป เขาก็เหมือนใครหลายคนที่เรารู้จักซึ่งตั้งใจจะทำอะไรๆ ให้มันดีขึ้น แต่ผลที่ได้รับกลับเป็นอีกอย่าง ตอนที่เด็กผู้หญิงคนนั้นหายตัวไป ใครบางคนในกลุ่มพิพากษาว่าริคคือคนที่ต้องแบกรับบาปนี้ เพราะทั้งที่น่าจะช่วยได้ตั้งแต่แรก แต่เขาก็ละทิ้งเด็กหญิงคนนั้นไว้จนกระทั่งเธอหายตัวไป บ่อยครั้ง สิ่งที่น่าเศร้ามากที่สุดอย่างหนึ่งในโลก อาจไม่ได้หมายถึง “การมองดูแล้วก็เพิกเฉย” แต่มันเศร้าก็ตรงที่ว่าพอใครทำอะไรด้วยความตั้งใจดีแต่มันไม่สำเร็จสมบูรณ์แบบแล้วคนที่นั่งอยู่เฉยๆ ก็ตำหนิติเตียนราวกับเป็นบาปใหญ่หลวง
เหมือนอย่างที่ใครสักคนในเรื่องพูดว่า ขณะที่ริค ไกรมส์ วิ่งไปช่วยเหลือเด็กผู้หญิงทันทีที่เธอถูกพวกซอมบี้พบเห็น แต่คนอื่นๆ กลับได้แต่มองดูเขา แล้วสุดท้ายก็กล่าวโทษเขาที่เขาไม่เพอร์เฟคต์หรือทำอะไรไม่สำเร็จ ดูเหมือนคนประเภทนี้จะมีอยู่มากมายด้วยสิครับในโลกนี้ ในส่วนของริค ผมคิดว่าฉากที่สามารถสะท้อนตัวตนของคนแบบเขาได้ชัดเจนมากๆ มีอยู่สองฉาก หนึ่งคือตอนที่เขาเดินออกไปบนสนามหญ้าหน้าบ้านแล้วพบกับซอมบี้ตัวหนึ่งที่เหลือร่างเพียงครึ่งท่อนและต้องคลานไปเรื่อยเพราะไม่มีขาจะให้เดิน สายตาของเขามองไปที่ซอมบี้ตัวนั้นด้วยจิตเวทนา และก่อนจะลั่นกระสุนไปที่สมองของซอมบี้สาว เขารำพึงแผ่วเบาราวกับคนสำนึกบาปที่กำลังวิงวอนขออภัยโทษในเวรกรรมที่ตนก่อ และฉากที่สองคือตอนที่ริคพูดกับเพื่อนสมาชิกทำนองว่า ก่อนหน้านี้ ซอมบี้เหล่านั้นก็ไม่แตกต่างจากพวกเรา เพียงแต่พวกเขาโชคร้ายกว่าพวกเราเท่านั้นเอง ถ้าไม่เป็นการคิดแง่ดีเข้าขางเขาจนเกินไป (เพราะไม่น้อยครั้ง ริคก็ดูบุ่มบ่ามอ่อนแอเหมือนคนอื่นๆ) ผมคิดว่าเขามักจะมองปรากฏการณ์ทุกอย่างแบบ “เว้นที่ว่าง” เผื่อคนอื่นเสมอๆ และต่อให้เขาจะตรัสรู้ว่ามนุษย์นั้นมีมากกว่าหนึ่งด้านหรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าเราหยิบเอาตัวละครทุกๆ ตัวมาเอ็กซ์เรย์ดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน เราจะพบเห็นมิติที่น่าสนใจในตัวของพวกเขา ยกตัวอย่างเช่น แดริล คนหนุ่มที่มาพร้อมกับมาดมุทะลุดุดัน อวดดื้อถือดีไม่ค่อยฟังใคร ถ้าใช้กำลังตัดสินได้ก็จะทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทันทีที่รู้ข่าวร้ายเกี่ยวกับญาติผู้พี่ด้วยแล้ว ก็ดูจะทำให้แดริลกลายเป็นคนที่มองโลกมองทุกสิ่งแบบตาขวางมากยิ่งขึ้น แต่ก็อย่างที่เราจะได้เห็นครับว่า ระยะเวลาเพียงชั่วครู่ชั่วยามนั้นมิอาจตัดสินชี้วัดความเป็นคนของใครได้เลย พูดกันอย่างถึงที่สุด โดยรูปลักษณ์ภายนอกของซีรีย์ชุดนี้ อาจจะฉาบเคลือบไว้ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ของหนังบันเทิงร่วมสมัยที่มุ่งเน้นความสนุกระทึกใจจากการต่อสู้เอาตัวรอดของผู้คนในวิกฤติผีซอมบี้ แต่โดยเนื้อหาแก่นแท้ นี่คือผลงานที่สะท้อนความเป็นคนออกมาได้อย่างลุ่มลึก นั่นยังไม่ต้องพูดถึงว่า The Walking Dead นับเป็นชื่อที่มีความคมคายและซ้อนทับความหมายให้ขบคิดได้หลายชั้น ทั้งความหมายตรงและความหมายแฝง ในขั้นต้น
เราอาจตีความได้ตามตัวอักษรว่ามันหมายถึงพวกคนตายที่ฟื้นขึ้นมาเป็นซอมบี้ผีดิบเที่ยวกัดกินร่างกายของมนุษย์และสัตว์ โดยปราศจากชีวิตจิตวิญญาณและสำนึกผิดชอบชั่วดี แต่ในความหมายที่ลึกไปกว่านั้น ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่ชื่อของซีรีย์ชุดนี้มุ่งหมายจะสื่ออีกอย่าง อาจพุ่งเป้าไปที่มนุษย์โดยตรง เพราะในยามสังคมและบ้านเมืองเกิดวิกฤติ สภาวะที่ผู้คนต่างกระ