ขอประเดิมกระทู้แรกด้วยประสบการณ์ขอวีซ่า J1 ที่พึ่งผ่านมาสดๆร้อนๆวันนี้
เกริ่นก่อน ว่าเราเป็นนักศึกษารามปี1 (เก็บได้40กว่าหน่วยกิต)
ก็มีความฝันเหมือนคนที่อยากจะไป WAT ทั่วไปว่าอยากจะไปต่างประเทศ อยู่ด้วยตัวเอง ไปเจอความซิวิไลซ์

ประกอบกับเพื่อนสนิทชวนไปโครงการนี้กัน เราก็เลยตัดสินใจด้วยความรวดเร็วว่าไป
จากนั้น เราจึงได้ดำเนินการหาเอเจนซี่หลากหลายที่มากกกก เป็นจำนวน2ที่ถ้วน
ที่แรกที่เข้าไปถามรายละเอียดเป็นเอเจนซี่ที่มีชื่อเสียงเพื่อนเป็นคนหามา
เข้าไปเราก็ขอรายละเอียดกับพี่เค้าด้วยความลั้นลา2คน
พอคุยรายละเอียดปุ๊ปเราก็บอกว่าเราอ่ะเรียนราม ส่วนเพื่อนเรียนมหาลัยรัฐ
พี่เค้าก็บอกมาตามตรงว่า "พี่ไม่แนะนำให้น้องสมัครเลยค่ะ"

อ้าวกรรมมมม พี่เค้าก็บอกเหตุผลว่าน้องเรียนรามโอกาศไม่ผ่าน
สูงงงงงมาก

เราก็แบบเห้ยยย ทำไมอ่ะถึงเราจะเรียนรามแต่โปรไฟล์เราก็ดีดี๊นะ (มโนไปเอง)
ครอบครัวมีธุรกิจ อากง อาม่า พ่อ แม่ ได้วีซ่าเมกา10ปีทุกคน
พี่เค้าก็บอกว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับครอบครัวค่ะคุณน้อง มันเกี่ยวกับว่าน้องอ่ะ
เรียนราม
เราก็เริ่มใจเสียแระ คิดในใจ ไม่น่าซิ่วเลยตู
เริ่มมองหน้าเพื่อนแระ เอาไงดีว่ะ
พี่เค้าก็บอกว่าน้องจะลองสมัครก็ได้นะค่ะ แต่ก็นั่นแหละพี่ไม่มั่นใจว่าน้องจะผ่าน
เราก็คุยรายละเอียดต่อนิดหน่อยแล้วก็ออกมา
ก็มาคุยกับเพื่อนด้วยหน้าเศร้าๆ หรือความฝันเรามันจะจบแล้ว โถ่ไม่น่าเล้ยอายุก็ยังน้อยแท้ๆ

(เริ่มนอกเรื่องแระ)
เราก็เลยมาตั้งหลักหาของใส่ท้องที่สยามพอยัดกันจนอิ่มหนำสำราญ ก็คุยกันว่าลองดูอีกที่ละกันว่าเค้าว่าไง
เราก็เลยโทรไปเอเจนซี่ที่2
จัดการโทรปุ๊บก็บอกพี่เค้าว่าเรียนรามนะไปได้ป่าว
พี่เค้าก็ถามเกรดว่าได้เท่าไหร่ ลงเรียนครบรึเปล่า
เราก็ตอบไปด้วยความมั่นใจว่า "
2กว่าๆค่ะพี่ ลงครบทุกเทอม"
พี่เค้าก็ตอบกลับมาว่า "ไม่มีปัญหาค่ะน้อง สมัครได้แน่นอน"
โหยยย พี่เค้าพูดทีนี่เหมือนเสียงสวรรค์ ความหวังเริ่มกลับมา
พวกเราสองคนจึงมุ่งหน้าไปออฟฟิศเอเจนซี่นี้ทันที
แต่อุปสรรคมันยังไม่จบเท่านั้นนนน ออฟิศนี้อยู่ที่ชั้น6 ตอนได้ยินก็ไม่ได้คิดอะไร
ก็ไปที่ตึก แล้วก็บพบกับความจริงที่ว่า
ตึกนี้ไม่มีลิฟท์
ยำ้อีกทีว่า6ชั้น!!!!
ก็ปีนขึ้นไปกันกับเพื่อนสองคน ตอนถึงนี่น้ำตาแทบไหล (มีแต่เหงื่อ

)
ก็คุยรายละเอียดกับพี่เค้า เรากับเพื่อนก็ตกลงเลือกเอเจนซี่นี้
ก็นั่งเลือกงานจากแฟ้ม แล้วก็สัมภาษณ์ทดสอบภาษาอังกฤษกันเรียบร้อย
จากนั้นรายละเอียดอื่นๆขอข้ามละกันนะคะ
หลายเดือนผ่านไป เราก็รอๆๆๆ เทื่อไหร่จะได้ไปทำวีซ่าน้าาาา
เตรียมเอกสารส่งไปตั้งนานแล้ว ก็รอไปเรื่อยๆ
ระหว่างรอเราก็นั่งอ่านประสบการณ์คนนุ้นคนนี้ อ่านไปก็จิตตกบ้างอะไรบ้าง
แต่ด้วยความที่เป็นคนคิดมาก แต่ลืมเร็ว 55+ คือเป็นคนเครียดไม่นาน อ่านหนังสือก่อนสอบยังอ่านแค่วันเดียวเลย
จนกระทั่งวันนั

เป็นวันที่เราจะได้มาขอวีซ่าซักที(มิอยากจะบอกว่าจักกระเป๋าเตรียมตัวบินเรียบร้อยแระ

)
แต่เพื่อนเรามีสอบตอนเช้าและมหาลัยเพื่อนอยู่รังสิต พวกเราก็อ้าวว จะทำไงดีจะมาทันมั้ย เพื่อนก็เลยตกลงว่าสอบเสร็จจะรีบมา
คือบอกเลยว่าตื่นเต้นมากก นอนไม่หลับ เนื่องจากดูหนังจนตี2 (ดูเรื่องunited93ที่เกียวกับเครื่องบินตกอ่ะ คือแบบช่วงนี้อินกับMH370)
เราก็เตรียมเอกสาร เช็คให้เรียบร้อยอีกทีว่าไม่ขาดอะไร
ก็มาที่กงสุลตั้งแต่11โมง(ได้ข่าวว่านัดกับพี่เอเจนซี่ตอนเที่ยง) เราก็เดินเล่นรอเพื่อนมา ระหว่างนั้นก็เจอเพื่อนเอเจนซี่เดียวกัน
ก็คุยกันสัพเพเหระ นินทาเอเจนซี่ระหว่างรอ 55+ จนเที่ยงนิดๆพี่เค้าก็มา
พี่เค้าก็เอาเอกสารมาให้เซ็น แล้วเราก็ไปต่อแถวหน้ากงสุล ประมาณ15นาทีก็เข้าไป ฝากมือถือ ตรวจกระเป๋าอะไรเรียบร้อย
ก็มาถึงด่านคัดเอกสารออก

เอกสารต่างๆที่ได้มาด้วยความลำบากยากเย็นก็โดนคัดออกไป

จากนั่นก็ไปด่านต่อไป! เป็นด่านที่เหมือนเช็คเอกสารออกไปแล้วก็ให้แสกนนิ้วมืออ่ะ
แล้วก็มาถึงด่านสุดท้ายยย
เราก็ไปต่อแถวรอสัมภาษณ์ ก็เล็งไว้แระว่าจะเอาคนหล่อๆ เค้าว่ากันว่าคนหล่อๆใจดี กิกิ

แระแล้วก็ถึงคิวเรา และแล้วคนที่เราได้สัมภาษณ์ด้วยก็คืออืออืออ คนที่เล็งไว้นั่นแหละ

เขิลลล
ก็เข้าไป Say Hi ทักทาย (คือต้องบอกว่าเรามีพื้นฐาน Speaking ที่ดีพอสมควรเนื่องจากมีเพื่อนหลายชาติ เคยเป็นล่ามอาสาเป็นครั้งคราว
เพื่อคุณแม่ก็เป็นฝรั่งไปมาหาสู่กัน ก็เลยมีพื้นฐานการฟังตั้งแต่เด็ก ต้องขอบคุณแม่จริงๆ

แต่แกรมม่านี่ไม่ได้เรื่องตกตลอดด)
กลับมาที่กงศุลสุดหล่อต่อ เราก็ทักทาย ยื่นเอกสารให้
เค้าก็ถามว่าชื่ออะไร (เขิลอ่ะคนหล่อถามชื่อ

)
จะไปทำงานอะไร เราก็ตอบด้วยความมั่นใจ ฉะฉาน และยิ้มมมม

แล้วเค้าก็หันไปดูเอกสารนิดนึง แล้วก็บอกให้เราเอามือซ้ายวางสแกน
เสร็จเรียบร้อย เค้าก็ถามว่าอ่านเอกสารที่ได้ไปยัง (เอกสารสิทธิ) เราก็บอกว่าอ่านเรียบร้อยแล้ว เค้าก็บอกว่าโอ้วดีมาก ขอให้สนุกกับทริปนะ
เราก็แบบ ห่ะ เสร็จแล้วหรอ ถามเค้าไปด้วยว่า เสร็จแล้วหรอ เค้าก็บอกว่าเสร็จแล้วไปได้เลย เราก็ขอบคุณเค้าแล้วออกมายืนรอเพื่อน
มาทบทวนอีกที
ไม่ถามถึงมหาลัย
ไม่ถามถึงเกรด
ไม่ถามหาเสตทเม้น
ไม่ถึง5นาที
ไอที่อุสาห์เตรียมมาไม่ได้ใช้เลย อยากให้เค้าถามนานกว่านี้ด้วยซ้ำ

สักพักเพื่อนก็ออกมาบอกว่าผ่าน ก็เดินออกมาลั้นลา เอามือถือกัน
คือไอที่เขียนมายาวๆทั้งหมดเนี่ยก็แค่อยากจะเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่มีความฝันที่จะไป WAT ว่าถ้าเรามั่นใจว่ามีดีก็ไปเหอะ แบบมันไม่ได้ยากเลย
ใครที่เรียนรามก็ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ มหาลัยไม่ใช่ประเด็น ประเด็นมันอยู่ที่ตัวเรามากกว่า ถ้าเรามีความสามารถ มีความมั่นใจเกินร้อย มันก็ต้องผ่านแน่ๆ
สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ
ประสบการณ์นักศึกษารามขอวีซ่า J1 (WAT)
เกริ่นก่อน ว่าเราเป็นนักศึกษารามปี1 (เก็บได้40กว่าหน่วยกิต)
ก็มีความฝันเหมือนคนที่อยากจะไป WAT ทั่วไปว่าอยากจะไปต่างประเทศ อยู่ด้วยตัวเอง ไปเจอความซิวิไลซ์
ประกอบกับเพื่อนสนิทชวนไปโครงการนี้กัน เราก็เลยตัดสินใจด้วยความรวดเร็วว่าไป
จากนั้น เราจึงได้ดำเนินการหาเอเจนซี่หลากหลายที่มากกกก เป็นจำนวน2ที่ถ้วน
ที่แรกที่เข้าไปถามรายละเอียดเป็นเอเจนซี่ที่มีชื่อเสียงเพื่อนเป็นคนหามา
เข้าไปเราก็ขอรายละเอียดกับพี่เค้าด้วยความลั้นลา2คน
พอคุยรายละเอียดปุ๊ปเราก็บอกว่าเราอ่ะเรียนราม ส่วนเพื่อนเรียนมหาลัยรัฐ
พี่เค้าก็บอกมาตามตรงว่า "พี่ไม่แนะนำให้น้องสมัครเลยค่ะ"
อ้าวกรรมมมม พี่เค้าก็บอกเหตุผลว่าน้องเรียนรามโอกาศไม่ผ่านสูงงงงงมาก
เราก็แบบเห้ยยย ทำไมอ่ะถึงเราจะเรียนรามแต่โปรไฟล์เราก็ดีดี๊นะ (มโนไปเอง)
ครอบครัวมีธุรกิจ อากง อาม่า พ่อ แม่ ได้วีซ่าเมกา10ปีทุกคน
พี่เค้าก็บอกว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับครอบครัวค่ะคุณน้อง มันเกี่ยวกับว่าน้องอ่ะ เรียนราม
เราก็เริ่มใจเสียแระ คิดในใจ ไม่น่าซิ่วเลยตู
เริ่มมองหน้าเพื่อนแระ เอาไงดีว่ะ
พี่เค้าก็บอกว่าน้องจะลองสมัครก็ได้นะค่ะ แต่ก็นั่นแหละพี่ไม่มั่นใจว่าน้องจะผ่าน
เราก็คุยรายละเอียดต่อนิดหน่อยแล้วก็ออกมา
ก็มาคุยกับเพื่อนด้วยหน้าเศร้าๆ หรือความฝันเรามันจะจบแล้ว โถ่ไม่น่าเล้ยอายุก็ยังน้อยแท้ๆ
เราก็เลยมาตั้งหลักหาของใส่ท้องที่สยามพอยัดกันจนอิ่มหนำสำราญ ก็คุยกันว่าลองดูอีกที่ละกันว่าเค้าว่าไง
เราก็เลยโทรไปเอเจนซี่ที่2
จัดการโทรปุ๊บก็บอกพี่เค้าว่าเรียนรามนะไปได้ป่าว
พี่เค้าก็ถามเกรดว่าได้เท่าไหร่ ลงเรียนครบรึเปล่า
เราก็ตอบไปด้วยความมั่นใจว่า "2กว่าๆค่ะพี่ ลงครบทุกเทอม"
พี่เค้าก็ตอบกลับมาว่า "ไม่มีปัญหาค่ะน้อง สมัครได้แน่นอน"
โหยยย พี่เค้าพูดทีนี่เหมือนเสียงสวรรค์ ความหวังเริ่มกลับมา
พวกเราสองคนจึงมุ่งหน้าไปออฟฟิศเอเจนซี่นี้ทันที
แต่อุปสรรคมันยังไม่จบเท่านั้นนนน ออฟิศนี้อยู่ที่ชั้น6 ตอนได้ยินก็ไม่ได้คิดอะไร
ก็ไปที่ตึก แล้วก็บพบกับความจริงที่ว่า ตึกนี้ไม่มีลิฟท์
ก็ปีนขึ้นไปกันกับเพื่อนสองคน ตอนถึงนี่น้ำตาแทบไหล (มีแต่เหงื่อ
ก็คุยรายละเอียดกับพี่เค้า เรากับเพื่อนก็ตกลงเลือกเอเจนซี่นี้
ก็นั่งเลือกงานจากแฟ้ม แล้วก็สัมภาษณ์ทดสอบภาษาอังกฤษกันเรียบร้อย
จากนั้นรายละเอียดอื่นๆขอข้ามละกันนะคะ
หลายเดือนผ่านไป เราก็รอๆๆๆ เทื่อไหร่จะได้ไปทำวีซ่าน้าาาา
เตรียมเอกสารส่งไปตั้งนานแล้ว ก็รอไปเรื่อยๆ
ระหว่างรอเราก็นั่งอ่านประสบการณ์คนนุ้นคนนี้ อ่านไปก็จิตตกบ้างอะไรบ้าง
แต่ด้วยความที่เป็นคนคิดมาก แต่ลืมเร็ว 55+ คือเป็นคนเครียดไม่นาน อ่านหนังสือก่อนสอบยังอ่านแค่วันเดียวเลย
จนกระทั่งวันนั
เป็นวันที่เราจะได้มาขอวีซ่าซักที(มิอยากจะบอกว่าจักกระเป๋าเตรียมตัวบินเรียบร้อยแระ
แต่เพื่อนเรามีสอบตอนเช้าและมหาลัยเพื่อนอยู่รังสิต พวกเราก็อ้าวว จะทำไงดีจะมาทันมั้ย เพื่อนก็เลยตกลงว่าสอบเสร็จจะรีบมา
คือบอกเลยว่าตื่นเต้นมากก นอนไม่หลับ เนื่องจากดูหนังจนตี2 (ดูเรื่องunited93ที่เกียวกับเครื่องบินตกอ่ะ คือแบบช่วงนี้อินกับMH370)
เราก็เตรียมเอกสาร เช็คให้เรียบร้อยอีกทีว่าไม่ขาดอะไร
ก็มาที่กงสุลตั้งแต่11โมง(ได้ข่าวว่านัดกับพี่เอเจนซี่ตอนเที่ยง) เราก็เดินเล่นรอเพื่อนมา ระหว่างนั้นก็เจอเพื่อนเอเจนซี่เดียวกัน
ก็คุยกันสัพเพเหระ นินทาเอเจนซี่ระหว่างรอ 55+ จนเที่ยงนิดๆพี่เค้าก็มา
พี่เค้าก็เอาเอกสารมาให้เซ็น แล้วเราก็ไปต่อแถวหน้ากงสุล ประมาณ15นาทีก็เข้าไป ฝากมือถือ ตรวจกระเป๋าอะไรเรียบร้อย
ก็มาถึงด่านคัดเอกสารออก
จากนั่นก็ไปด่านต่อไป! เป็นด่านที่เหมือนเช็คเอกสารออกไปแล้วก็ให้แสกนนิ้วมืออ่ะ
แล้วก็มาถึงด่านสุดท้ายยย
เราก็ไปต่อแถวรอสัมภาษณ์ ก็เล็งไว้แระว่าจะเอาคนหล่อๆ เค้าว่ากันว่าคนหล่อๆใจดี กิกิ
แระแล้วก็ถึงคิวเรา และแล้วคนที่เราได้สัมภาษณ์ด้วยก็คืออืออืออ คนที่เล็งไว้นั่นแหละ
ก็เข้าไป Say Hi ทักทาย (คือต้องบอกว่าเรามีพื้นฐาน Speaking ที่ดีพอสมควรเนื่องจากมีเพื่อนหลายชาติ เคยเป็นล่ามอาสาเป็นครั้งคราว
เพื่อคุณแม่ก็เป็นฝรั่งไปมาหาสู่กัน ก็เลยมีพื้นฐานการฟังตั้งแต่เด็ก ต้องขอบคุณแม่จริงๆ
กลับมาที่กงศุลสุดหล่อต่อ เราก็ทักทาย ยื่นเอกสารให้
เค้าก็ถามว่าชื่ออะไร (เขิลอ่ะคนหล่อถามชื่อ
จะไปทำงานอะไร เราก็ตอบด้วยความมั่นใจ ฉะฉาน และยิ้มมมม
แล้วเค้าก็หันไปดูเอกสารนิดนึง แล้วก็บอกให้เราเอามือซ้ายวางสแกน
เสร็จเรียบร้อย เค้าก็ถามว่าอ่านเอกสารที่ได้ไปยัง (เอกสารสิทธิ) เราก็บอกว่าอ่านเรียบร้อยแล้ว เค้าก็บอกว่าโอ้วดีมาก ขอให้สนุกกับทริปนะ
เราก็แบบ ห่ะ เสร็จแล้วหรอ ถามเค้าไปด้วยว่า เสร็จแล้วหรอ เค้าก็บอกว่าเสร็จแล้วไปได้เลย เราก็ขอบคุณเค้าแล้วออกมายืนรอเพื่อน
มาทบทวนอีกที
ไม่ถามถึงมหาลัย
ไม่ถามถึงเกรด
ไม่ถามหาเสตทเม้น
ไม่ถึง5นาที
ไอที่อุสาห์เตรียมมาไม่ได้ใช้เลย อยากให้เค้าถามนานกว่านี้ด้วยซ้ำ
สักพักเพื่อนก็ออกมาบอกว่าผ่าน ก็เดินออกมาลั้นลา เอามือถือกัน
คือไอที่เขียนมายาวๆทั้งหมดเนี่ยก็แค่อยากจะเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่มีความฝันที่จะไป WAT ว่าถ้าเรามั่นใจว่ามีดีก็ไปเหอะ แบบมันไม่ได้ยากเลย
ใครที่เรียนรามก็ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ มหาลัยไม่ใช่ประเด็น ประเด็นมันอยู่ที่ตัวเรามากกว่า ถ้าเรามีความสามารถ มีความมั่นใจเกินร้อย มันก็ต้องผ่านแน่ๆ
สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ