วลีเด็ด จาก ไมเคิล เชาวนาศัย “ศิลปินกินข้าว และข้าวเน่าไม่กิน”

http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9570000029396

“ศิลปินกินข้าว และข้าวเน่าไม่กิน” Adler Subhashok Gallery ปั้นศิลปินไทยสู่ตลาดศิลปะโลก
ASTVผู้จัดการออนไลน์
14 มีนาคม 2557 16:43 น.    


       ART EYE VIEW---หลังจากที่ ศุภโชค อังคสุวรรณศิริ นักสะสมงานศิลปะและเจ้าของ ศุภโชค ดิ อาร์ต เซ็นเตอร์ (Subhashok The Arts Centre) ได้มีโอกาสกับร่วมงานของสถานทูตฝรั่งเศส และบอกเล่าว่าท่านทูตได้เห็นถึงความตั้งใจของเขาในการสนับสนุนวงการศิลปะไทย
       
       จึงได้แนะนำให้ได้รู้จักกับ โลรองต์ เดอ พาส Art Dealer ชาวฝรั่งเศสผู้คลุกคลีอยู่ในตลาดศิลปะระดับโลกมากกว่า 20 ปี และโลรองต์ ก็ได้แนะให้เขารู้จักกับ โจแอล และอาร์แมล โคเฮน เจ้าของ Adler Gallery Paris ประเทศฝรั่งเศส
       
       เมื่อติดต่อและพูดคุยกันอยู่หลายครั้ง จึงเป็นที่มาของการร่วมมือกันเพื่อเปิดตลาดซื้อขายงานศิลปะ และปั้นศิลปินไทยสู่ตลาดโลก
       
       โดยเร็วนี้ จะมีผลงานของศิลปินไทยกลุ่มแรก จำนวน 9 คน ถูกส่งไปชิมลาง ณ Paris Art Fair 2014 ประเทศฝรั่งเศส ในนาม แอดเลอร์ ศุภโชค แกลเลอรี่(Adler Subhashok Gallery)

“ศิลปินกินข้าว และข้าวเน่าไม่กิน” Adler Subhashok Gallery ปั้นศิลปินไทยสู่ตลาดศิลปะโลก

       Adler Subhashok Gallery ปั้นศิลปินไทยสู่ตลาดศิลปะโลก
       
       ในวันเซ็นสัญญาร่วมมือกัน และ Grand Opening ให้ทุกคนได้ทำความรู้จักกับบทบาทของ Adler Subhashok Gallery ที่จะส่งผลต่อวงการศิลปะของไทยในอนาคต
       
       ศุภโชค เปิดใจว่า ทั้งเขาและหุ้นส่วน 3 คนจากเมืองน้ำหอม (ซึ่งมีประสบการณ์ในสร้างตลาดศิลปะในประเทศจีนให้คึกคักขึ้นมาก่อนหน้านี้)
       
       เห็นพ้องต้องกันว่า มีผลงานของศิลปินไทยจำนวนมากที่มีคุณภาพและสามารถผลักดันให้ไปสู่ตลาดศิลปะในระดับโลกได้ และมั่นใจว่าอีก 5 ปีข้างหน้า ทุกคนจะได้เห็นการเติบโตของศิลปินไทยในตลาดศิลปะระดับโลก เพราะได้เข้าไปสู่ระบบการบริหารจัดการที่เป็นมาตรฐานสากล
       
       “แกลเลอรี่ก็เปรียบเหมือนคนที่ทำการตลาดให้กับศิลปิน ถ้าหากว่าศิลปินจะต้องเอาเวลาทั้งหมดมาทำการตลาดเอง สร้างระบบเอง สร้างความเชื่อมั่น และคิดงานศิลปะไปด้วย ผมคิดว่ามันไม่สามารถทำได้ในคนๆเดียว เราจะต้องมีระบบที่ถูกต้อง มีความเข้าใจในตลาด ว่าสิ่งที่ตลาดต้องการคืออะไร ศิลปินแต่ละคนมีความเด่น มีความถนัดอะไร ซึ่งระบบที่มีมาตรฐานของจะช่วยดึงศักยภาพตรงนั้นของศิลปินออกมานำเสนอ”
       
       อย่างไรก็ตามก่อนที่ผลงานของศิลปินไทยจะเข้าไปสู่ระบบการจัดการที่มีมาตรฐานและไปยืนอยู่ในตลาดโลกได้อย่างสง่างามอย่างแท้จริง ศุภโชคยังเชื่อว่า สิ่งสำคัญในเบื้องต้นต้องมีการปรับปรุงคุณภาพของชิ้นงานให้มีมาตรฐาน และเป็นผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นจากแนวคิดและตัวตนของศิลปินอย่างแท้จริง ไม่ใช่ลอกเลียนมา
       
       “เราต้องมีการปรับปรุงคุณภาพของชิ้นงานให้ได้มาตรฐานของสากล ทั้งเรื่องของเฟรม ผ้าใบและ สี ที่ใช้เขียนภาพ และสิ่งสำคัญผมคิดว่า งานศิลปะต้องออกมาจากจิตใจ จากแนวคิดและจากตัวตน ของศิลปินจริงๆ ไม่ลอกเลียนจากใครมา แล้วเอามาเป็นตัวตนของเขาเอง ผมคิดว่าแบบนั้นมันเป็นการฆ่าตัวตาย และคิดว่าถ้าศิลปินมีความกล้าหาญเขาสามารถที่จะสร้างงานที่แสดงถึงตัวตนของเขาได้ และเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้”
       
       ด้านหุ้นส่วน 3 คน จากเมืองน้ำหอมบอกถึงสถานการณ์ของตลาดศิลปะทั่วโลกในขณะนี้ และเหตุผลที่สนใจร่วมมือกับ ศุภโชค ดิ อาร์ต เซ็นเตอร์ ผลักดันผลงานศิลปินไทยสู่ตลาดโลกว่า
       
       ขณะนี้ตลาดศิลปะกำลังเติบโตดีมากๆและในทุกๆที่ ยกตัวอย่างตลาดศิลปะของฮ่องกงที่เติบโตขึ้นถึง 38 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผลงานของศิลปินไทยก็มีคุณภาพไม่ได้แพ้ต่างชาติ ดังนั้นสามารถเติบโตได้อย่างแน่นอน ขอเพียงศิลปินให้ความสำคัญกับคุณภาพของงานดังที่คุณศุภโชคกล่าว และมีวิธีการนำเสนอผลงาน ที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงนักสะสมศิลปะได้ จนก่อให้เกิดความชื่นชอบและอยากครอบครองผลงานในที่สุด
       
       “การร่วมมือกับทางไทยครั้งนี้ เราไม่เริ่มจากการสร้างศิลปิน เพราะศิลปินมีอยู่แล้ว เพียงแต่เราเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยง ผลงานดีๆของศิลปินไทยไปสู่นักสะสม จะเห็นได้จากที่ผ่านมา แอดเลอร์ได้มีส่วนทำให้ผลงานของศิลปินหลากหลายคนไปเติบโตไปในประเทศต่างๆทั่วโลก และได้สร้างกำไรมหาศาลและความมีชื่อเสียงให้กับผลงานของพวกเขา
       
       ศิลปะไทยมีเอกลักษณ์ ได้รับอิทธิพลมาจากทั้งอินเดีย จีน และเขมร ถือเป็นความผสมผสานที่ลงตัว และด้วยความที่ไทยเป็นชาติที่มีอิสระก็ส่งผลไปถึงผลงานในเวลาที่ศิลปินนำเสนอออกมาด้วยเช่นกัน”

“ศิลปินกินข้าว และข้าวเน่าไม่กิน” Adler Subhashok Gallery ปั้นศิลปินไทยสู่ตลาดศิลปะโลก



       35 ปีที่รอคอย ของ เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
       
       ในงานวัน Grand Opening ยังจัดให้มีเสวนาในหัวข้อ “แนวทางการพัฒนาผลงานของศิลปินไทยสู่การเป็นที่ยอมรับในตลาดโลกและการลงทุนในงานศิลปะรวยได้ยังไง?” จึงทำให้ได้ทราบถึงทัศนะของศิลปินหลายท่านที่มีต่อการเกิดขึ้นของ Adler Subhashok Gallery
       
       เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลปฺ(จิตรกรรม) ปี 2554 กล่าวว่า ตนเองรอคอยวันนี้มาถึง 35 ปี วันที่จะมีระบบที่มีมาตรฐานเข้ามาบริหารจัดการให้ศิลปินไทย
       
       ที่ผ่านมาเพื่อพาตัวเองไปสู่ตลาดโลก ศิลปินส่วนหนึ่งต้องฝ่าฝันเอง แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับการนำงานศิลปะไปเร่ขาย ขณะที่นักสะสมงานศิลปะในประเทศไทย แม้จะมีเยอะ แต่ก็ไม่ได้จริงจังกับการพัฒนาวงการศิลปะ
       
       “ซื้อรูปแล้วเอาไปติดบ้าน ติดบริษัท ติดแบงค์ ติดทุกที่ แต่ไม่คิดว่าเราจะทำยังไงให้งานศิลปะได้เข้าไปสู่ตลาดของวงการศิลปะที่มีมูลค่ามหาศาล
       
       ทำให้วงการศิลปะของเราอยู่กับที่ ค้าขายอยู่แค่ในวงเดียว ใครขายเก่งก็รวย พี่หวัน(ถวัลย์ ดัชนี) หรือ เฉลิมชัย ขายเก่งก็รวย หยุดนิ่งอยู่แค่นั้น ใครที่ขายไม่เก่งก็ไม่รวย เพราะไม่มีใครขายให้มัน
       
       ดังนั้นที่ผ่านมา การไปขายในตลาดโลกเราขายไม่ได้ และเราหาบเร่ขายเองตลอดมา จนศิลปินหลายรุ่นตายห่าไปหมดแล้วตั้งเยอะแยะ บ้างไปหาบเร่ขายอยู่ในยุโรป แม้แต่ผมก็เคยหาบเร่ ซึ่งการหาบเร่เช่นนั้นมันไม่ใช่การสร้างชาติ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว เช่น เดินทางไปแสดงส่วนตัว ขายรูปได้บ้าง 3-4 รูปแล้วกลับบ้าน แต่ไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ อย่างเก่งคนจัดให้เขาก็เชิญนายแบงค์มาชมงานที่เรานำไปแสดง ในสถานที่ของเขา เป็นแกลเลอรี่เล็กๆ เอาคนของสถานทูตมาเปิดให้เรา มันก็แค่นั้น เราไม่มีโอกาสที่จะมีแกลเลอรี่ใหญ่แบบแอดเลอร์มาขายงานให้เราอย่างกว้างขวาง และนำไปขายทั่วโลก”
       
       สิ่งที่เฉลิมสะท้อนเป็นปัญหาที่ชัดเจนมาก ณ ขณะนี้ของตลาดศิลปะไทย และถึงเวลาที่ต้องพาขึ้นจากหล่มที่ติดมานาน ในทัศนะของศิลปินภาพถ่าย มานิต ศรีวานิชภูมิ
       
       “วันก่อนผมแวะไปที่เดอะสีลม แกลเลอเลีย คุณกับน้องที่แกลเลอรี่ข้างบน ดูสภาพแล้ว ลุ่มๆดอนๆ เขาบอกว่าตลาดศิลปะไทย มันไม่โต นักสะสมก็ซ้ำหน้ากันอยู่อย่างนี้ ขณะที่นักสะสมของจีนเกิดใหม่ตลอดเวลา ศิลปินจีนก็เกิด เป็นการเติบโตที่คู่ขนานกันไป โตด้วยกันทั้งหมดทั้งวงการ ซึ่งอันนี้ผมอยากเห็น
       
       สังคมไทยเหมือนติดหล่มอะไรสักอย่างและวันนี้เป็นอีกก้าวที่เราจะออกจากหล่ม และอยากให้กำลังใจคุณศุภโชคที่จะเดินออกจากหล่มนี้แล้วผลักดันให้นักสะสมคนอื่นๆเข้ามามีส่วนร่วมในการที่จะสนับสนุนวงการศิลปะไทย ผมอยากเห็นสิ่งที่จะเติบโตขึ้น ที่พูดนี้ก็ไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะร่ำรวยจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ มันไม่ใช่ประเด็น แต่เป็นเรื่องที่เราต้องมองสังคมทั้งหมดเป็นวงกว้าง
       
       สิ่งที่ศิลปินทำมันมีคุณค่าในตัวมันเองอยู่แล้ว แต่มันไม่ปรากฏเป็นจริงในทางโลก เราจะทำยังไงให้มันปรากฏเป็นจริงในทางโลก ซึ่งมันต้องอาศัยระบบอย่างที่คุณศุภโชคกับแอดเลอร์พยายามทำ เพื่อทำให้เกิดเป็นมูลค่าที่แท้จริงและเป็นสิ่งที่ผมหวังว่ามันจะเกิดขึ้น
       
       และเท่าที่มานิตได้ไปสัมผัสตลาดศิลปะทั้ง Art Fair และเบียนนาเล่  ในหลายประเทศ ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ยกตัวอย่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์ ที่เรามองว่ายากจนกว่า แต่ Art Fair ที่ผ่านการจัดมาเพียง 2 ครั้ง ผลงานศิลปะขายหมดเกลี้ยงและผู้ซื้อก็เป็นคนในประเทศอีกด้วย ขณะที่ตลาดศิลปะของอินโดนีเซียเติบโตเป็นอันดับหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนสิงคโปร์แม้จะไม่ค่อยมีอะไรที่แสดงถึงรากเหง้าของตนเอง แต่รัฐบาลก็ให้ความสำคัญกับการลงทุนทางด้านศิลปวัฒนธรรม
       
       “มี Museum หลายแห่งที่จะเกิดขึ้น และระดับใหญ่มาก ใช้สถาปนิกที่ออกแบบเป็นชาวฝรั่งเศส และเขาก็ต้องการงานศิลปะเข้าไปเก็บ อันนี้คือโอกาสของศิลปินไทยเหมือนกัน แต่แน่นอนคือ เขาเก็บในฐานะที่เขามองว่าเขาคือเซ็นเตอร์ ผู้นำของเขามีวิสัยทัศน์ต่อประเทศของเขาเอง
       
       อันนี้คือสิ่งที่น่าเศร้าว่าประเทศเรามีผู้นำที่เป็นมหาเศรษฐีด้วย แต่ไม่มีวิสัยทัศน์ว่าเราจะทำให้ประเทศไทยของเราร่ำรวยไปได้อย่างไร นอกจากไปเที่ยวโกงกินภาษีของประชาชน คือมันเป็นเรื่องที่ห่วยแตกมาก ผู้นำประเทศยิ้มคิดได้อย่างเดียวว่าจะทำยังไง ถึงจะดูดเงินภาษีของประชาชนผ่านระบบผันเงิน ผ่านโครงการโกงกินต่างๆ ผมคิดว่ามันน่าละอาย เราไม่คิดว่าจะทำยังไงให้ประเทศนี้มันร่ำรวยขึ้นมา มีเงินเป็นหมื่นล้านแต่ไม่ซื้องานศิลปะ อันนี้คือสิ่งที่เป็นเรื่องน่าเศร้ามาก”


“ศิลปินกินข้าว และข้าวเน่าไม่กิน” Adler Subhashok Gallery ปั้นศิลปินไทยสู่ตลาดศิลปะโลก
[img]http://f.ptcdn.in
       ศิลปินกินข้าว และข้าวเน่าไม่กิน
       
       ไมเคิล เชาวนาศัย ศิลปินอิสระ/ผู้กำกับ/นักแสดง ระยะเวลา 15 ปีที่อยู่ในวงการศิลปะเขามองว่า ศักยภาพของศิลปินไทยสูงขึ้น แต่ยังไม่รู้ช่องทางในการประชาสัมพันธ์ผลงานของตัวเองให้เป็นที่รู้จัก
       
       “การโปรโมทตัวเองไม่ใช่สิ่งที่ผิดนะครับ เพราะว่าทุกคนต้องกินข้าวกันทุกคน และที่คุณมานิตพูดว่า ผมไม่สนใจว่าผมจะรวยหรือเปล่านั้น แต่ผมสนใจนะครับว่าผมจะรวยหรือเปล่า เพราะผมหิวข้าวมากเลย ศิลปินไม่ได้กินสี กินชอล์คนะครับ แต่กินข้าว และข้าวเน่าก็ไม่กินนะครับ”
       
       ดังนั้นการเข้ามาบริหารจัดการของระบบที่มีมาตรฐานครั้งนี้ ก็เหมือนกับการปลูกข้าววันนี้ เพื่อจะได้กินอิ่มในวันหน้า
       
       “ต้องเริ่มปลูกวันนี้ แม้เราจะกินวันนี้ไม่ได้ แต่ปลูกวันนี้ เราจะกินพรุ่งนี้
       
       ศิลปินที่เก่งๆ ทั่วโลก ทุกวันนี้ไม่ได้อยู่บ้านตัวเองหรอก โดนคนอื่นเอาไปเลี้ยง ศิลปินไทยหลายท่านอยู่ที่เบอร์ลิน อยู่ที่นิวยอร์ก ดังนั้นขอบคุณศุภโชคมากเลยที่เห็นความสำคัญของศิลปินไทยหลายๆท่าน ในอนาคตจะเป็นอย่างไรเราคาดเดาไม่ได้ แต่ว่าเราก็ต้องเดินหน้ากันต่อไป”

[img]http://f.ptcdn.info/813/016/000/1395068042      
       ปี๊บ - รวิชญ์ เทิดวงศ์ แม้เราจะรู้จักเขาเป็นอย่างดีในบทบาทของนักแสดง แต่ด้านหนึ่งก็เป็นคนทำงานศิลปะและเป็นอาจารย์สอนทางด้านนี้ กล่าวว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ผลงานศิลปะของศิลปินไทยจะเข้าไปสู่ระบบที่เป็นมาตรฐานสากล และเห็นว่ากรณีของศิลปินที่ในระยะเริ่มแรกพึ่งพาระบบ ผ่านไปวันหนึ่งศืลปืนมีชื่อเสียงแล้วคิดขายงานเอง เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะจะทำให้ไม่เติบโตในระยะยาว ไม่แตกต่างจากดารานักแสดง
       
       “เมื่อก่อนเป็นนายแบบ เป็นดารา มีเอเจนซี่ สักพักดังก็รับงานเอง เรื่องอะไรจะให้เอเจนซี่รับให้ เหมือนกับศิลปินไทยในตอนนี้เลย
       
       ผมว่า โลกมันแคบลงจากแต่ก่อนที่ไม่มีอินเตอร์เนท ไม่มีเฟสบุ๊ค คุณจะไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว บินไปแป๊ปเดียวก็ถึงประเทศโน้นประเทศนี้กันหมดแล้ว เพราะฉะนั้นทำตามมาตรฐานผมว่าดีแล้ว เราจะได้ออกสู่สากลในทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของศิลปะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่