คัดจาก เพจ "แม่นุ่น" ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย
www.facebook.com/noonsupermom
ตอนที่ 30 "ขอโทษที่ปิดบัง แต่ฉันเลือกแล้ว..”
เอาละ มันไม่ใช่เวลาที่ผมต้องสนใจว่าจะเป็นอาการปวดของมะเร็งหรือไม่ในตอนนี้
ผมตัดสินใจหยิบ ทามาดอล ยาแก้ปวดชนิดเม็ดสีเขียวเหลือง ที่มีฤทธิ์มอร์ฟีนอ่อนๆ ให้แม่นุ่นทานหนึ่งเม็ด
“ทานยาตัวนี่ละกัน” ผมหยิบยา พร้อมกับแก้วน้ำ วางไว้ข้างๆ แม่นุ่น
“ค่อยๆ ลุก..ฮึ๊บ" พูดจบผมก็โน้มตัวไปประคองแม่นุ่นให้ลุกกินยาอย่างช้าๆ
"อูย.." แม่นุ่นร้องเจ็บเบาๆ แต่ก็พยายามลุกขึ้นมากินยาที่ผมเตรียมไว้ให้
ผมยื่นยา กับแก้วน้ำให้ แม่นุ่นหยิบยาเข้าปากตามด้วยน้ำเรียบร้อย จากน้ันผมก็ประคองให้นอนลงเหมือนเดิม
ผมมองแม่นุ่นด้วยสายตาที่กังวล...พร้อมกับความรู้สึกที่ว่า
ถ้าคืนนี้ยังไม่ดีขึ้น คงต้องไป รพ อีกเป็นแน่
.................
รุ่งเช้า ดูเหมือนยาที่ให้ทานไปได้ผล อาการปวดแม่นุ่นลดลง และคงไม่ต้องไป รพ แล้ว
ในเมื่อไม่มีอะไรน่ากังวล ผมก็ต้องรีบใช้จังหวะนี้ จัดการธุระทุกอย่างที่เคยวางแผนไว้โดยเร็วเพราะไม่รู้เลยว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก โดยเฉพาะเรื่องการขายส่งเค้ก ที่ต้องกลายเป็นอาชีพหลักของผมแล้วในอนาคตอันใกล้
ผมนั่งคิดทบทวนแผนการที่วางไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทุนที่ต้องใช้แบบกระเหม็ดกระแหม่ เรื่องสถานที่ เรื่องคน วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ผมก็เดินไปบอกแม่นุ่นว่า
“อ้วน เราจะต้องรีบทำร้านให้เสร็จในเดือนนี้” ผมเดินไปบอกแม่นุ่นที่กำลังนอนพักผ่อนดูทีวีอยู่ชั้นล่าง
“ได้ที่แล้วเหรอ” แม่นุ่นหันหน้ามาฟังผมอย่างสนใจ
“ยัง ต้องให้น้องช่วยหาให้อย่างด่วน แถวบ้านเรานี่แหละ” ผมตอบกลับว่า จะให้น้องชายช่วยหาให้ เพราะในเวลากระชั้นชิดแบบนี้ ทำคนเดียวคงไม่ทันแน่
“อ้วน.. คือ.. ตัวเอง...คิดดีแล้วใช่มั้ย??" แม่นุ่นถามกลับ มองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยห่วงใย
ด้วยสายตาของแม่นุ่น ที่มองผมนั้น ทำให้ผมได้มีโอกาสที่จะนึกย้อนกลับไป...ถึงวันที่แม่นุ่นได้รู้ความจริงเรื่อง "ตกงาน" ของผม
# แม่นุ่นรู้ว่าผมตกงาน ก็เพราะอย่างนี้แหละ #
ในช่วงบ่ายของวันที่ 19 กค....
ประมาณบ่ายโมง ผมได้รับ LINE จาก พี่เหมียว
13:22 Meow มีข่าวดี
ข่าวดีอะไร?? ผมอ่านต่ออย่างตั้งใจ เพราะช่วงนี้มีแต่ข่าวร้ายตลอด เลยพิมพ์ตอบกลับไป
13:26 ตุลย์ ข่าวดีอะไรครับ?
15:37 Meow ทาง ผู้บริหาร เครือ รพ พญาไท1 ทราบเรื่องของ แม่นุ่น และต้องการช่วยเหลือ
ช่วย...????
เห็นแบบนั้น ใจผมเต้นตึกตัก ด้วยความอยากรู้
ผมรีบอ่านข้อความต่อไปทันที
15:37 Meow เลขา ผอ เรียกหมอไป พบ
15:37 Meow ยินดีช่วย ถ้ามารักษาที่นี่
15:37 Meow เช่นถ้าต้องนอน
15:38 Meow ค่าห้อง อาหารฟรี
15:38 Meow ค่ายาที่ไม่หนักมากฟรี
15:39 Meow แล้วเค้าบอกว่าถ้าเปนคนไข้ อาจารย์ชินวัตร เค้าเชื่อว่าคนไข้ต้องมีบุญวาสนาต่อกัน
15:40 Meow และอย่างน้อยก็เปนคนดีแหละ
15:40 Meow ตุลย์ กับนุ่น ควรไปพบแนะนำตัวและขอบคุณ ฝ่ายบริหารเค้านะ
เหมือนสวรรค์มาโปรด ผมยิ้มออกทันที
ไม่ได้ไชโยด้วยความดีใจหรอกครับ
แต่กำลังยกมือไหว้ท่วมหัว ขอบพระคุณ รพ .
ขอบพระคุณคุณหมอชิน ที่เอื้อมมือมาช่วย ลูกนกลูกกา อย่างผม
............
ไม่กี่วันจากนั้น ผม แม่นุ่น และพี่เหมียว ก็ไปพบกับทาง รพ ตามคำแนะนำของพี่เหมียว
จนท.นำเราไปพบ เลขา ผอ ที่มีชื่อว่า "พี่ปุ๊ย"
"สวัสดีครับ ผมตุลย์ครับ นี่แฟนผมครับ ชื่อนุ่น" ผมกับแม่นุ่น ยกมือไหว้พี่ปุ๊ย พร้อมแนะนำตัวให้รู้จัก
“ส่วนคนนี้ แฟนหมอชินครับ” ผมแนะนำพี่เหมียวด้วย ก่อนที่จะมา พี่เหมียวบอกว่าพี่ยังไม่เคยได้พบกับพี่ปุ๊ยจริงๆสักครั้ง
พี่ปุ๊ย ยืนยิ้ม รับไหว้พวกเราทั้งสามคน
"ผมทราบจากทางคุณหมอว่าทาง รพ ยินดีให้ความช่วยเหลือภรรยาผม เลยถือโอกาสนี้มาขอบพระคุณทาง รพ ครับ" ผมแจ้งพี่ปุ๊ย ถึงจุดประสงค์ของการมาพบในวันนี้
“เดี่ยวเชิญนั่งรอใน ห้องประชุมก่อนนะค่ะ” พี่ปุ๊ย เชิญเราไปนั่งคุยในห้องประชุม
“ได้ครับๆ ” ผมรีบเข็นแม่นุ่น และกวักมือ เรียกพี่เหมียว ที่ทำท่าเหมือนเกรงใจที่จะเข้าไปกับเรา ให้เข้าไปนั่งฟังด้วยกัน
ไม่กี่นาทีจากนั้น พี่ปุ๊ย กับ จนท 5-6คน ของ รพ ก็เข้ามาในห้อง และเริ่มพูดคุยกับเราทั้งสองคน
“รพ ดีใจมากที่ หมอชิน กลับมาทำงานกับเรา และคุณหมอได้เล่าเรื่องของคุณนุ่นให้ทาง รพ ฟังพอสมควรคะ” พี่ปุ๊ยบอกเราว่า หมอชิน เคยอยู่ที่นี่มาก่อน ก่อนที่ย้ายไปประจำที่ รพ อื่น
“พอได้ฟังเรื่องราวของคุณนุ่นและคุณตุลย์แล้ว... แม้เราจะเป็น รพ เอกชน แต่เราก็ไม่ได้มุ่งเน้นทำธุรกิจอย่างเดียว.. ทาง ผู้บริหาร เครือ รพ พญาไท1 นำโดยคุณอาร์ม มีความยินดีให้ความช่วยเหลือ ในกรณีจำเป็นที่อาจต้องรักษาอาการจากผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัดแบบครั้งที่ผ่านมา ให้แม่นุ่นสามารถมาพักรักษาที่นี่ได้” พี่ปุ๊ย ยังเล่าต่อถึงความอนุเคราะห์ที่ รพ จะให้แม่นุ่น และยังบอกว่าพอทางเราไปเรียนคุณ อาร์ม ท่านก็ยินดีช่วยเหลือเราในเบื้องต้นนี้ทันที ซึ่งก็เป็นอุปนิสัยของคุณอาร์ม ที่มีความเมตตาและใจดีอยู่แล้วด้วย พี่ปุ๊ยเล่าต่อ ( คุณ อาร์ม คือ คุณ อิทธิ ทองแตง เจ้าของ รพ.พญาไท1 ผมก็เพิ่งมาทราบภายหลังเช่นกัน )
ส่วนผมกับแม่นุ่น กำลังฟังอย่างตั้งใจ
“ทาง รพ จะช่วยค่าห้อง ค่าอาหาร ก่อนในเบื้องต้น และจะพิจารณาช่วยดูแลค่าใช้จ่ายอื่นๆ เป็นลำดับถัดไปเท่าที่เราสามารถจะช่วยได้" พี่ปุ๊ยอธิบายถึงความช่วยเหลือต่างๆ
ผมกับแม่นุ่น ยิ้มสบตากัน ด้วยความดีใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“ขอบคุณมากครับ ผมไม่รู้จะพูดคำไหนได้อีกนอกจากคำว่า ขอบคุณจริงๆ ครับ” ผมกับแม่นุ่น ยกมือไหว้พร้อมกล่าวขอบคุณกับความช่วยเหลือที่ รพ มอบให้
ความรู้สึกตอนนั้น เหมือนกับน้ำทิพย์ชะโลมใจ เพราะก็เคยนึกกังวลเหมือนกันว่า ถ้าแม่นุ่นต้องรักษาอาการข้างเคียงด้วยการแอดมิดอีกรอบ และหากต้องการให้หมอรักษาเป็น หมอชิน คนที่เคยพาเราฝ่าความตายมาแล้ว ไม่พ้นต้องเป็น รพ เอกชน ซึ่งระยะกลาง ผมจะตัองลำบากมากแน่ๆ
พี่ปุ๊ย อธิบายถึง การดูแลของ รพ ที่ได้จัดทีมเตรียมให้ แม่นุ่น เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็น
พยาบาลประจำตัวที่คอยอำนวยความสะดวกให้
ฝ่ายโภชนาการที่ดูแลอาหารการกิน
เภสัชกรที่จะช่วยประสานงานเรื่องยา
และการรักษามะเร็งแบบบูรณาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาวิชา ที่จะนำเคส แม่นุ่น ไปถกกันอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ตบท้าย ด้วยการแซวพี่เหมียวกับหมอชินว่า คนนี้ก็แม่พระ อีกคนก็พ่อพระ มีแต่ อาจารย์ชินวัตรนี่แหละที่เป็นแบบนี้ ถือว่าเป็นโชคดีของคนไข้
บรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ความเข้าอกเข้าใจ สลับกับการปลอบใจแม่นุ่นที่นั่งบนรถเข็นอยู่ตลอดเวลา
แต่แล้ว....ผมต้องสะดุด เมื่อเจอคำถามที่ไม่คิดว่าจะต้องตอบวันนี้
“พี่ทราบจากหมอว่า คุณตุลย์ตอนนี้ไม่มีงานทำแล้วใช่มั้ยคะ?”
ผมหน้าเสียทันที แม่นุ่น ยังไม่รู้ว่าผมตกงาน!
พี่ปุ๊ยทราบการตกงานของผม จากหมอชิน
ทุกคนรู้หมด เว้นอยู่คนเดียว ที่ปิดบังมาตลอด
"แม่นุ่น" พอได้ยิน ถึงกับนิ่ง น้ำตาไหลพราก
ผมหันไปสบตาแว่บหนึ่ง มันคงถึงเวลาที่ผมต้องพูดทุกอย่างในวันนี้
“ใช่ครับ...บริษัทมีปัญหาการเงินผมเลยถูก...จ้างออก” ผมตอบกลับพี่ปุ้ยไป พลางถอนหายใจเบาๆ
“คุณตุลย์จบมาทางด้านไหนค่ะ เคยทำงานอะไรมาบ้าง เผื่อทาง รพ มีงานที่เหมาะสม พี่จะได้ช่วยดูให้” พี่ปุ๊ยถามต่อ
“ผมจบทางด้านไอทีครับ ประสบการณ์ทำงาน12 ปี อยู่ไอทีมาตลอดไม่เคยเปลี่ยนสาย ตั้งแต่โปรแกรมเมอร์ จนตำแหน่งล่าสุดก่อนออกจากงานคือ Project Manager หรือ ผู้จัดการโครงการ ครับ ”
“เหรอค่ะ รพ เราก็ให้ความสำคัญทางด้านไอทีไม่น้อย แล้วพี่จะช่วยดูตำแหน่งที่เหมาะสมให้นะคะ” นอกจากเรื่องแม่นุ่นแล้ว พี่ปุ้ยยังเสนอความช่วยเรื่องงานให้ผมอีกด้วย
ผมดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น แต่วันนี้ ผมคิดต่างไป...
“ขอบคุณพี่ปุ๊ย และทาง รพ มากครับสำหรับความช่วยเหลือทุกๆด้านที่มอบให้เราทั้งคู่”
“แต่.....”
“ผมไม่แน่ใจว่าจะทำงานได้อย่างเต็มที่แค่ไหนในภาวะแบบนี้ เลยคิดว่า จะกลับมาโฟกัสเรื่องงานอีกครั้ง หลังจากผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปก่อนครับ” ผมตอบพี่ปุ้ยกลับไปด้วยข้อจำกัดเรื่องสถานการณ์ที่เป็นอยู่
ถ้าเป็นแต่ก่อน ผมคงรีบตระครุบโอกาสดีๆ แบบนี้ในทันที
แต่วันนี้มันต่างกัน
งาน กับ เงิน ไม่สำคัญเท่ากับ "แม่นุ่น" ที่ไม่รู้จะอยู่ด้วยกันได้อีกกี่วัน
งานที่เหมาะกับผมที่สุดในเวลานี้ คือ การขายส่งเค้ก ที่สามารถทำไปพร้อมกับดูแลแม่นุ่น ในเวลาเดียวกันได้ ซึ่งผมตั้งใจแน่วแน่และคงไม่เปลี่ยนใจในตอนนี้
พูดจบ ผมก็หันไปสบตาแม่นุ่นอึกครั้ง แม่นุ่นยังคงนั่งน้ำตาไหล คงเพราะคิดโทษตัวเองว่า เพราะเค้าป่วยผมถึงถูกให้ออกจากงาน
ผมอยากจะบอกเหลือเกินว่า
ขอโทษที่ปิดบัง.. แต่นี่คือสิ่งที่ดีที่สุด..
ฉันเลือกแล้วที่จะอยู่ตรงนี้..
ไม่ต้องห่วง..
ฉันต้องทำได้แน่..
แค่เธอต้องมั่นใจในตัวฉัน..
“ถ้างั้น... คุณตุลย์พร้อมทำงานเมื่อไหร่ก็บอกพี่ได้นะคะ”
พี่ปุ๊ยยิ้มพยักหน้า แสดงถึงความเข้าใจว่าผมคิดอย่างไร
ผมยิ้มตอบกลับ ด้วยความปลื้มปิติและดีใจที่อย่างน้อย ก็มีเรื่องดีๆ ให้พอได้หายเหนื่อยขึ้นมาบ้าง
เราคุยกันต่ออีกนิดหน่อย และขอตัวกลับบ้าน
แต่เรื่องมันยังไม่จบแค่นี้หรอก..
เพราะผมยังไม่ได้เคลียร์เรื่องโกหก กับ แม่นุ่น เลย….
…..จบตอน....
แม่นุ่น ตอน 30 "ขอโทษที่ปิดบัง แต่ฉันเลือกแล้ว..”
ตอนที่ 30 "ขอโทษที่ปิดบัง แต่ฉันเลือกแล้ว..”
เอาละ มันไม่ใช่เวลาที่ผมต้องสนใจว่าจะเป็นอาการปวดของมะเร็งหรือไม่ในตอนนี้
ผมตัดสินใจหยิบ ทามาดอล ยาแก้ปวดชนิดเม็ดสีเขียวเหลือง ที่มีฤทธิ์มอร์ฟีนอ่อนๆ ให้แม่นุ่นทานหนึ่งเม็ด
“ทานยาตัวนี่ละกัน” ผมหยิบยา พร้อมกับแก้วน้ำ วางไว้ข้างๆ แม่นุ่น
“ค่อยๆ ลุก..ฮึ๊บ" พูดจบผมก็โน้มตัวไปประคองแม่นุ่นให้ลุกกินยาอย่างช้าๆ
"อูย.." แม่นุ่นร้องเจ็บเบาๆ แต่ก็พยายามลุกขึ้นมากินยาที่ผมเตรียมไว้ให้
ผมยื่นยา กับแก้วน้ำให้ แม่นุ่นหยิบยาเข้าปากตามด้วยน้ำเรียบร้อย จากน้ันผมก็ประคองให้นอนลงเหมือนเดิม
ผมมองแม่นุ่นด้วยสายตาที่กังวล...พร้อมกับความรู้สึกที่ว่า
ถ้าคืนนี้ยังไม่ดีขึ้น คงต้องไป รพ อีกเป็นแน่
.................
รุ่งเช้า ดูเหมือนยาที่ให้ทานไปได้ผล อาการปวดแม่นุ่นลดลง และคงไม่ต้องไป รพ แล้ว
ในเมื่อไม่มีอะไรน่ากังวล ผมก็ต้องรีบใช้จังหวะนี้ จัดการธุระทุกอย่างที่เคยวางแผนไว้โดยเร็วเพราะไม่รู้เลยว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก โดยเฉพาะเรื่องการขายส่งเค้ก ที่ต้องกลายเป็นอาชีพหลักของผมแล้วในอนาคตอันใกล้
ผมนั่งคิดทบทวนแผนการที่วางไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทุนที่ต้องใช้แบบกระเหม็ดกระแหม่ เรื่องสถานที่ เรื่องคน วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ผมก็เดินไปบอกแม่นุ่นว่า
“อ้วน เราจะต้องรีบทำร้านให้เสร็จในเดือนนี้” ผมเดินไปบอกแม่นุ่นที่กำลังนอนพักผ่อนดูทีวีอยู่ชั้นล่าง
“ได้ที่แล้วเหรอ” แม่นุ่นหันหน้ามาฟังผมอย่างสนใจ
“ยัง ต้องให้น้องช่วยหาให้อย่างด่วน แถวบ้านเรานี่แหละ” ผมตอบกลับว่า จะให้น้องชายช่วยหาให้ เพราะในเวลากระชั้นชิดแบบนี้ ทำคนเดียวคงไม่ทันแน่
“อ้วน.. คือ.. ตัวเอง...คิดดีแล้วใช่มั้ย??" แม่นุ่นถามกลับ มองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยห่วงใย
ด้วยสายตาของแม่นุ่น ที่มองผมนั้น ทำให้ผมได้มีโอกาสที่จะนึกย้อนกลับไป...ถึงวันที่แม่นุ่นได้รู้ความจริงเรื่อง "ตกงาน" ของผม
# แม่นุ่นรู้ว่าผมตกงาน ก็เพราะอย่างนี้แหละ #
ในช่วงบ่ายของวันที่ 19 กค....
ประมาณบ่ายโมง ผมได้รับ LINE จาก พี่เหมียว
13:22 Meow มีข่าวดี
ข่าวดีอะไร?? ผมอ่านต่ออย่างตั้งใจ เพราะช่วงนี้มีแต่ข่าวร้ายตลอด เลยพิมพ์ตอบกลับไป
13:26 ตุลย์ ข่าวดีอะไรครับ?
15:37 Meow ทาง ผู้บริหาร เครือ รพ พญาไท1 ทราบเรื่องของ แม่นุ่น และต้องการช่วยเหลือ
ช่วย...????
เห็นแบบนั้น ใจผมเต้นตึกตัก ด้วยความอยากรู้
ผมรีบอ่านข้อความต่อไปทันที
15:37 Meow เลขา ผอ เรียกหมอไป พบ
15:37 Meow ยินดีช่วย ถ้ามารักษาที่นี่
15:37 Meow เช่นถ้าต้องนอน
15:38 Meow ค่าห้อง อาหารฟรี
15:38 Meow ค่ายาที่ไม่หนักมากฟรี
15:39 Meow แล้วเค้าบอกว่าถ้าเปนคนไข้ อาจารย์ชินวัตร เค้าเชื่อว่าคนไข้ต้องมีบุญวาสนาต่อกัน
15:40 Meow และอย่างน้อยก็เปนคนดีแหละ
15:40 Meow ตุลย์ กับนุ่น ควรไปพบแนะนำตัวและขอบคุณ ฝ่ายบริหารเค้านะ
เหมือนสวรรค์มาโปรด ผมยิ้มออกทันที
ไม่ได้ไชโยด้วยความดีใจหรอกครับ
แต่กำลังยกมือไหว้ท่วมหัว ขอบพระคุณ รพ .
ขอบพระคุณคุณหมอชิน ที่เอื้อมมือมาช่วย ลูกนกลูกกา อย่างผม
............
ไม่กี่วันจากนั้น ผม แม่นุ่น และพี่เหมียว ก็ไปพบกับทาง รพ ตามคำแนะนำของพี่เหมียว
จนท.นำเราไปพบ เลขา ผอ ที่มีชื่อว่า "พี่ปุ๊ย"
"สวัสดีครับ ผมตุลย์ครับ นี่แฟนผมครับ ชื่อนุ่น" ผมกับแม่นุ่น ยกมือไหว้พี่ปุ๊ย พร้อมแนะนำตัวให้รู้จัก
“ส่วนคนนี้ แฟนหมอชินครับ” ผมแนะนำพี่เหมียวด้วย ก่อนที่จะมา พี่เหมียวบอกว่าพี่ยังไม่เคยได้พบกับพี่ปุ๊ยจริงๆสักครั้ง
พี่ปุ๊ย ยืนยิ้ม รับไหว้พวกเราทั้งสามคน
"ผมทราบจากทางคุณหมอว่าทาง รพ ยินดีให้ความช่วยเหลือภรรยาผม เลยถือโอกาสนี้มาขอบพระคุณทาง รพ ครับ" ผมแจ้งพี่ปุ๊ย ถึงจุดประสงค์ของการมาพบในวันนี้
“เดี่ยวเชิญนั่งรอใน ห้องประชุมก่อนนะค่ะ” พี่ปุ๊ย เชิญเราไปนั่งคุยในห้องประชุม
“ได้ครับๆ ” ผมรีบเข็นแม่นุ่น และกวักมือ เรียกพี่เหมียว ที่ทำท่าเหมือนเกรงใจที่จะเข้าไปกับเรา ให้เข้าไปนั่งฟังด้วยกัน
ไม่กี่นาทีจากนั้น พี่ปุ๊ย กับ จนท 5-6คน ของ รพ ก็เข้ามาในห้อง และเริ่มพูดคุยกับเราทั้งสองคน
“รพ ดีใจมากที่ หมอชิน กลับมาทำงานกับเรา และคุณหมอได้เล่าเรื่องของคุณนุ่นให้ทาง รพ ฟังพอสมควรคะ” พี่ปุ๊ยบอกเราว่า หมอชิน เคยอยู่ที่นี่มาก่อน ก่อนที่ย้ายไปประจำที่ รพ อื่น
“พอได้ฟังเรื่องราวของคุณนุ่นและคุณตุลย์แล้ว... แม้เราจะเป็น รพ เอกชน แต่เราก็ไม่ได้มุ่งเน้นทำธุรกิจอย่างเดียว.. ทาง ผู้บริหาร เครือ รพ พญาไท1 นำโดยคุณอาร์ม มีความยินดีให้ความช่วยเหลือ ในกรณีจำเป็นที่อาจต้องรักษาอาการจากผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัดแบบครั้งที่ผ่านมา ให้แม่นุ่นสามารถมาพักรักษาที่นี่ได้” พี่ปุ๊ย ยังเล่าต่อถึงความอนุเคราะห์ที่ รพ จะให้แม่นุ่น และยังบอกว่าพอทางเราไปเรียนคุณ อาร์ม ท่านก็ยินดีช่วยเหลือเราในเบื้องต้นนี้ทันที ซึ่งก็เป็นอุปนิสัยของคุณอาร์ม ที่มีความเมตตาและใจดีอยู่แล้วด้วย พี่ปุ๊ยเล่าต่อ ( คุณ อาร์ม คือ คุณ อิทธิ ทองแตง เจ้าของ รพ.พญาไท1 ผมก็เพิ่งมาทราบภายหลังเช่นกัน )
ส่วนผมกับแม่นุ่น กำลังฟังอย่างตั้งใจ
“ทาง รพ จะช่วยค่าห้อง ค่าอาหาร ก่อนในเบื้องต้น และจะพิจารณาช่วยดูแลค่าใช้จ่ายอื่นๆ เป็นลำดับถัดไปเท่าที่เราสามารถจะช่วยได้" พี่ปุ๊ยอธิบายถึงความช่วยเหลือต่างๆ
ผมกับแม่นุ่น ยิ้มสบตากัน ด้วยความดีใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“ขอบคุณมากครับ ผมไม่รู้จะพูดคำไหนได้อีกนอกจากคำว่า ขอบคุณจริงๆ ครับ” ผมกับแม่นุ่น ยกมือไหว้พร้อมกล่าวขอบคุณกับความช่วยเหลือที่ รพ มอบให้
ความรู้สึกตอนนั้น เหมือนกับน้ำทิพย์ชะโลมใจ เพราะก็เคยนึกกังวลเหมือนกันว่า ถ้าแม่นุ่นต้องรักษาอาการข้างเคียงด้วยการแอดมิดอีกรอบ และหากต้องการให้หมอรักษาเป็น หมอชิน คนที่เคยพาเราฝ่าความตายมาแล้ว ไม่พ้นต้องเป็น รพ เอกชน ซึ่งระยะกลาง ผมจะตัองลำบากมากแน่ๆ
พี่ปุ๊ย อธิบายถึง การดูแลของ รพ ที่ได้จัดทีมเตรียมให้ แม่นุ่น เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็น
พยาบาลประจำตัวที่คอยอำนวยความสะดวกให้
ฝ่ายโภชนาการที่ดูแลอาหารการกิน
เภสัชกรที่จะช่วยประสานงานเรื่องยา
และการรักษามะเร็งแบบบูรณาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาวิชา ที่จะนำเคส แม่นุ่น ไปถกกันอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ตบท้าย ด้วยการแซวพี่เหมียวกับหมอชินว่า คนนี้ก็แม่พระ อีกคนก็พ่อพระ มีแต่ อาจารย์ชินวัตรนี่แหละที่เป็นแบบนี้ ถือว่าเป็นโชคดีของคนไข้
บรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ความเข้าอกเข้าใจ สลับกับการปลอบใจแม่นุ่นที่นั่งบนรถเข็นอยู่ตลอดเวลา
แต่แล้ว....ผมต้องสะดุด เมื่อเจอคำถามที่ไม่คิดว่าจะต้องตอบวันนี้
“พี่ทราบจากหมอว่า คุณตุลย์ตอนนี้ไม่มีงานทำแล้วใช่มั้ยคะ?”
ผมหน้าเสียทันที แม่นุ่น ยังไม่รู้ว่าผมตกงาน!
พี่ปุ๊ยทราบการตกงานของผม จากหมอชิน
ทุกคนรู้หมด เว้นอยู่คนเดียว ที่ปิดบังมาตลอด
"แม่นุ่น" พอได้ยิน ถึงกับนิ่ง น้ำตาไหลพราก
ผมหันไปสบตาแว่บหนึ่ง มันคงถึงเวลาที่ผมต้องพูดทุกอย่างในวันนี้
“ใช่ครับ...บริษัทมีปัญหาการเงินผมเลยถูก...จ้างออก” ผมตอบกลับพี่ปุ้ยไป พลางถอนหายใจเบาๆ
“คุณตุลย์จบมาทางด้านไหนค่ะ เคยทำงานอะไรมาบ้าง เผื่อทาง รพ มีงานที่เหมาะสม พี่จะได้ช่วยดูให้” พี่ปุ๊ยถามต่อ
“ผมจบทางด้านไอทีครับ ประสบการณ์ทำงาน12 ปี อยู่ไอทีมาตลอดไม่เคยเปลี่ยนสาย ตั้งแต่โปรแกรมเมอร์ จนตำแหน่งล่าสุดก่อนออกจากงานคือ Project Manager หรือ ผู้จัดการโครงการ ครับ ”
“เหรอค่ะ รพ เราก็ให้ความสำคัญทางด้านไอทีไม่น้อย แล้วพี่จะช่วยดูตำแหน่งที่เหมาะสมให้นะคะ” นอกจากเรื่องแม่นุ่นแล้ว พี่ปุ้ยยังเสนอความช่วยเรื่องงานให้ผมอีกด้วย
ผมดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น แต่วันนี้ ผมคิดต่างไป...
“ขอบคุณพี่ปุ๊ย และทาง รพ มากครับสำหรับความช่วยเหลือทุกๆด้านที่มอบให้เราทั้งคู่”
“แต่.....”
“ผมไม่แน่ใจว่าจะทำงานได้อย่างเต็มที่แค่ไหนในภาวะแบบนี้ เลยคิดว่า จะกลับมาโฟกัสเรื่องงานอีกครั้ง หลังจากผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปก่อนครับ” ผมตอบพี่ปุ้ยกลับไปด้วยข้อจำกัดเรื่องสถานการณ์ที่เป็นอยู่
ถ้าเป็นแต่ก่อน ผมคงรีบตระครุบโอกาสดีๆ แบบนี้ในทันที
แต่วันนี้มันต่างกัน
งาน กับ เงิน ไม่สำคัญเท่ากับ "แม่นุ่น" ที่ไม่รู้จะอยู่ด้วยกันได้อีกกี่วัน
งานที่เหมาะกับผมที่สุดในเวลานี้ คือ การขายส่งเค้ก ที่สามารถทำไปพร้อมกับดูแลแม่นุ่น ในเวลาเดียวกันได้ ซึ่งผมตั้งใจแน่วแน่และคงไม่เปลี่ยนใจในตอนนี้
พูดจบ ผมก็หันไปสบตาแม่นุ่นอึกครั้ง แม่นุ่นยังคงนั่งน้ำตาไหล คงเพราะคิดโทษตัวเองว่า เพราะเค้าป่วยผมถึงถูกให้ออกจากงาน
ผมอยากจะบอกเหลือเกินว่า
ขอโทษที่ปิดบัง.. แต่นี่คือสิ่งที่ดีที่สุด..
ฉันเลือกแล้วที่จะอยู่ตรงนี้..
ไม่ต้องห่วง..
ฉันต้องทำได้แน่..
แค่เธอต้องมั่นใจในตัวฉัน..
“ถ้างั้น... คุณตุลย์พร้อมทำงานเมื่อไหร่ก็บอกพี่ได้นะคะ”
พี่ปุ๊ยยิ้มพยักหน้า แสดงถึงความเข้าใจว่าผมคิดอย่างไร
ผมยิ้มตอบกลับ ด้วยความปลื้มปิติและดีใจที่อย่างน้อย ก็มีเรื่องดีๆ ให้พอได้หายเหนื่อยขึ้นมาบ้าง
เราคุยกันต่ออีกนิดหน่อย และขอตัวกลับบ้าน
แต่เรื่องมันยังไม่จบแค่นี้หรอก..
เพราะผมยังไม่ได้เคลียร์เรื่องโกหก กับ แม่นุ่น เลย….
…..จบตอน....