พร้อมนัดไต่สวนคดีเพิกถอนถิ่นที่อยู่อาศัย วันที่ 26 พ.ค.
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 14 มีนาคม ที่ห้องพิจารณาคดี 808 ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก นายสาธิต เซกัล นักธุรกิจชาวอินเดีย มอบอำนาจให้ นายอาทิตย์ เซกาล น้องชาย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในฐานะผอ.ศรส. และคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานละเมิด โดยขอให้ศาลเพิกถอนมติหรือคำสั่งที่ศรส.เพิกถอนถิ่นที่อยู่อาศัยของโจทก์ และขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินคุ้มครองชั่วคราว ไม่ให้โจทก์ถูกจับกุมและถูกผลักดันส่งออกนอกราชอาณาจักรไทย จากกรณีที่ศรส.มีคำสั่งเพิกถอนถิ่นที่อยู่ของโจทก์
โดยศาลได้มีคำสั่งรับคำร้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ 984/2557 และมีคำสั่งไต่สวนฉุกเฉิน ซึ่งทนายโจทก์ได้นำพยานขึ้นเบิกความจำนวน 2 ปาก คือนายอาทิตย์ เซกาล และนายชุบ ชัยฤทธิ์ชัย ที่ปรึกษากฎหมายของนายสาธิต ขึ้นเบิกความต่อศาล
ต่อมาเวลา 17.00 น. ศาลแพ่งมีคำสั่ง โดยพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์แล้วเห็นว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่ากรณีมีเหตุอันควรที่จะนำวิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษากรณีฉุกเฉินมาใช้ตามคำร้องของโจทก์หรือไม่เห็นว่า โจทก์เป็นคนต่างด้าวสัญชาติอินเดีย เข้ามาในราชอาณาจักรตั้งแต่ขณะมีอายุ 5 ปี จนกระทั่งอายุ 21 ปี ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร โจทก์ประพฤติตนเป็นพลเมืองดีประกอบแต่คุณงามความดีและทำกิจกรรมอันเป็นประโยชน์แก่ประเทศไทยหลายด้าน เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 57 จำเลยที่ 3 และคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองได้มีมติให้เพิกถอนถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรของโจทก์ โดยอ้างว่าโจทก์เข้าร่วมเป็นแกนนำกับกปปส. และขึ้นเวทีปราศรัยให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายบ้านเมือง มีการนำมวลชนไปปิดล้อมกรมการบินพลเรือน จึงเป็นบุคคลที่กระทำการกระทบต่อความมั่นคง และจำเลยที่ 2 ได้ลงนามออกคำสั่งให้เพิกถอนถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรของโจทก์ อันเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง และจะต้องถูกเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมเพื่อส่งตัวออกนอกราชอาณาจักร
เห็นว่าตามทางไต่สวนได้ความว่าโจทก์เข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มกปปส.จึงได้รับคำคุ้มครองตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง อีกทั้งเมื่อวันที่ 10 ก.พ. คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองโดยมีรองปลัดกระทรวงมหาดไทย พิจารณากรณีของโจทก์แล้วเห็นว่า คำปราศรัยของโจทก์ยังไม่เป็นภัยต่อประเทศชาติ จึงยังไม่มีเหตุเนรเทศโจทก์ออกนอกราชอาณาจักร ฉะนั้นการที่ศรส.มีคำสั่งเพื่อเนรเทศโจทก์ออกนอกราชอาณาจักร โดยอาศัยประกาศตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา 11 (8) ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ก.พ. จำเลยที่ 3 ได้พิจารณากรณีดังกล่าวอีก
โดยลงมติลับให้เพิกถอนถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรของโจทก์และจำเลยที่ 2 ลงนามคำสั่งตามความเห็นของจำเลยที่ 3 ซึ่งข้อเท็จจริงรับฟังจากนายจรูญ มีสมบูรณ์ รองอธิบดีกรมการบินพลเรือน ว่าที่โจทก์พร้อมพวกเดินทางมาที่กรมการบินพลเรือนนั้นไม่มีการข่มขู่หรือทำร้ายเจ้าหน้าที่ และไม่มีการทำลายทรัพย์สินของกรมการบินพลเรือนแต่อย่างใด อีกทั้งปรากฏว่าเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พล.ต.ต.กฤษฎา สุรเชษฐ์พงษ์ ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบคำสั่งของจำเลยที่ 2 แล้ว ย่อมมีผลให้เจ้าหน้าที่นำตัวโจทก์ออกนอกราชอาณาจักรได้ พฤติการณ์ดังกล่าวมีเหตุผลเพียงพอที่จะนำวิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนคำพิพากษามาใช้ตามคำของของโจทก์ได้
จึงมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยทั้ง 3 ดำเนินการให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งตัวโจทก์ออกนอกราชอาณาจักรไว้ชั่วคราว จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ส่วนคดีขอเพิกถอนถิ่นที่อยู่อาศัย นัดไต่สวนในวันที่ 26 พ.ค. นี้ เวลา 09.00 น.
ด้านนายอาทิตย์ เซกาล น้องชายนายสาธิต เปิดเผยภายหลังฟังคำสั่งศาลว่า รู้สึกโล่งใจที่ครอบครัวตนได้รับความเมตตาจากศาล หลังจากทราบคำสั่งศาลแล้วก็ได้โทรศัพท์แจ้งมารดาและนายสาทิต ทันที ซึ่งทั้งสองก็รู้สึกดีใจที่ศาลอนุญาตให้คุ้มครองชั่วคราว โดยตอนนี้พี่ชายอยู่กับแม่ที่บ้านในกรุงเทพฯ ถ้าแม่ไม่เห็นหน้าพี่ชายก็คงกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะที่ผ่านมาพี่ชายดูแลแม่อย่างใกล้ชิดมาตลอด ส่วนพี่ชายจะขึ้นเวทีกปปส.อีกหรือไม่นั้นตนไม่แน่ใจ แต่อย่างน้อยก็คงสามารถเดินไปไหนมาไหนได้ตามปกติ
ด้านนายชุบ ชัยฤทธิ์ไชย ที่ปรึกษากฎหมายนายสาธิต กล่าวว่า วันนี้ศาลมีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราวห้ามจับกุมโจทก์และนำตัวออกนอกราชอาณาจักร โดยระหว่างนี้นายสาธิตก็สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ แต่หากเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการจับกุมจะถือว่าฝ่าฝืนคำสั่งศาล
ขณะที่นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความ เปิดเผยว่า นายสาทิต ขึ้นเวทีไม่ได้พูดจายุยง แต่พูดในทำนองจงรักภักดีต่อในหลวง ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาตรวจคนเข้าเมืองก็มีการประชุมครั้งแรกเห็นว่าไม่มีเหตุที่จะต้องเนรเทศนายสาธิตออกนอกราชอาณาจักร อีกทั้งคำสั่งศรส.อ้างตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา 11 (8) แต่เมื่อศาลแพ่งพิพากษาห้ามนำประกาศดังกล่าวมาใช้จึงทำให้คำสั่งของศรส.ไม่มีผลบังคับใช้ไปด้วย และทางศรส.จะนำกฎหมายอื่นมาอ้างในการเนรเทศนายสาธิตไม่ได้
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU5EYzVPRFV5Tnc9PQ==&subcatid=
ศาลแพ่ง สั่งคุ้มครองชั่วคราว "สาธิต เซกัล" ห้ามมิให้เนรเทศออกนอกราชอาณาจักร (เตรียมจับตาดูศาลแพ่งครับ)
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 14 มีนาคม ที่ห้องพิจารณาคดี 808 ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก นายสาธิต เซกัล นักธุรกิจชาวอินเดีย มอบอำนาจให้ นายอาทิตย์ เซกาล น้องชาย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในฐานะผอ.ศรส. และคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานละเมิด โดยขอให้ศาลเพิกถอนมติหรือคำสั่งที่ศรส.เพิกถอนถิ่นที่อยู่อาศัยของโจทก์ และขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินคุ้มครองชั่วคราว ไม่ให้โจทก์ถูกจับกุมและถูกผลักดันส่งออกนอกราชอาณาจักรไทย จากกรณีที่ศรส.มีคำสั่งเพิกถอนถิ่นที่อยู่ของโจทก์
โดยศาลได้มีคำสั่งรับคำร้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ 984/2557 และมีคำสั่งไต่สวนฉุกเฉิน ซึ่งทนายโจทก์ได้นำพยานขึ้นเบิกความจำนวน 2 ปาก คือนายอาทิตย์ เซกาล และนายชุบ ชัยฤทธิ์ชัย ที่ปรึกษากฎหมายของนายสาธิต ขึ้นเบิกความต่อศาล
ต่อมาเวลา 17.00 น. ศาลแพ่งมีคำสั่ง โดยพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์แล้วเห็นว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่ากรณีมีเหตุอันควรที่จะนำวิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษากรณีฉุกเฉินมาใช้ตามคำร้องของโจทก์หรือไม่เห็นว่า โจทก์เป็นคนต่างด้าวสัญชาติอินเดีย เข้ามาในราชอาณาจักรตั้งแต่ขณะมีอายุ 5 ปี จนกระทั่งอายุ 21 ปี ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร โจทก์ประพฤติตนเป็นพลเมืองดีประกอบแต่คุณงามความดีและทำกิจกรรมอันเป็นประโยชน์แก่ประเทศไทยหลายด้าน เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 57 จำเลยที่ 3 และคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองได้มีมติให้เพิกถอนถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรของโจทก์ โดยอ้างว่าโจทก์เข้าร่วมเป็นแกนนำกับกปปส. และขึ้นเวทีปราศรัยให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายบ้านเมือง มีการนำมวลชนไปปิดล้อมกรมการบินพลเรือน จึงเป็นบุคคลที่กระทำการกระทบต่อความมั่นคง และจำเลยที่ 2 ได้ลงนามออกคำสั่งให้เพิกถอนถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรของโจทก์ อันเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง และจะต้องถูกเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมเพื่อส่งตัวออกนอกราชอาณาจักร
เห็นว่าตามทางไต่สวนได้ความว่าโจทก์เข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มกปปส.จึงได้รับคำคุ้มครองตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง อีกทั้งเมื่อวันที่ 10 ก.พ. คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองโดยมีรองปลัดกระทรวงมหาดไทย พิจารณากรณีของโจทก์แล้วเห็นว่า คำปราศรัยของโจทก์ยังไม่เป็นภัยต่อประเทศชาติ จึงยังไม่มีเหตุเนรเทศโจทก์ออกนอกราชอาณาจักร ฉะนั้นการที่ศรส.มีคำสั่งเพื่อเนรเทศโจทก์ออกนอกราชอาณาจักร โดยอาศัยประกาศตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา 11 (8) ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ก.พ. จำเลยที่ 3 ได้พิจารณากรณีดังกล่าวอีก
โดยลงมติลับให้เพิกถอนถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรของโจทก์และจำเลยที่ 2 ลงนามคำสั่งตามความเห็นของจำเลยที่ 3 ซึ่งข้อเท็จจริงรับฟังจากนายจรูญ มีสมบูรณ์ รองอธิบดีกรมการบินพลเรือน ว่าที่โจทก์พร้อมพวกเดินทางมาที่กรมการบินพลเรือนนั้นไม่มีการข่มขู่หรือทำร้ายเจ้าหน้าที่ และไม่มีการทำลายทรัพย์สินของกรมการบินพลเรือนแต่อย่างใด อีกทั้งปรากฏว่าเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พล.ต.ต.กฤษฎา สุรเชษฐ์พงษ์ ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบคำสั่งของจำเลยที่ 2 แล้ว ย่อมมีผลให้เจ้าหน้าที่นำตัวโจทก์ออกนอกราชอาณาจักรได้ พฤติการณ์ดังกล่าวมีเหตุผลเพียงพอที่จะนำวิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนคำพิพากษามาใช้ตามคำของของโจทก์ได้ จึงมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยทั้ง 3 ดำเนินการให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งตัวโจทก์ออกนอกราชอาณาจักรไว้ชั่วคราว จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ส่วนคดีขอเพิกถอนถิ่นที่อยู่อาศัย นัดไต่สวนในวันที่ 26 พ.ค. นี้ เวลา 09.00 น.
ด้านนายอาทิตย์ เซกาล น้องชายนายสาธิต เปิดเผยภายหลังฟังคำสั่งศาลว่า รู้สึกโล่งใจที่ครอบครัวตนได้รับความเมตตาจากศาล หลังจากทราบคำสั่งศาลแล้วก็ได้โทรศัพท์แจ้งมารดาและนายสาทิต ทันที ซึ่งทั้งสองก็รู้สึกดีใจที่ศาลอนุญาตให้คุ้มครองชั่วคราว โดยตอนนี้พี่ชายอยู่กับแม่ที่บ้านในกรุงเทพฯ ถ้าแม่ไม่เห็นหน้าพี่ชายก็คงกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะที่ผ่านมาพี่ชายดูแลแม่อย่างใกล้ชิดมาตลอด ส่วนพี่ชายจะขึ้นเวทีกปปส.อีกหรือไม่นั้นตนไม่แน่ใจ แต่อย่างน้อยก็คงสามารถเดินไปไหนมาไหนได้ตามปกติ
ด้านนายชุบ ชัยฤทธิ์ไชย ที่ปรึกษากฎหมายนายสาธิต กล่าวว่า วันนี้ศาลมีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราวห้ามจับกุมโจทก์และนำตัวออกนอกราชอาณาจักร โดยระหว่างนี้นายสาธิตก็สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ แต่หากเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการจับกุมจะถือว่าฝ่าฝืนคำสั่งศาล
ขณะที่นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความ เปิดเผยว่า นายสาทิต ขึ้นเวทีไม่ได้พูดจายุยง แต่พูดในทำนองจงรักภักดีต่อในหลวง ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาตรวจคนเข้าเมืองก็มีการประชุมครั้งแรกเห็นว่าไม่มีเหตุที่จะต้องเนรเทศนายสาธิตออกนอกราชอาณาจักร อีกทั้งคำสั่งศรส.อ้างตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา 11 (8) แต่เมื่อศาลแพ่งพิพากษาห้ามนำประกาศดังกล่าวมาใช้จึงทำให้คำสั่งของศรส.ไม่มีผลบังคับใช้ไปด้วย และทางศรส.จะนำกฎหมายอื่นมาอ้างในการเนรเทศนายสาธิตไม่ได้
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU5EYzVPRFV5Tnc9PQ==&subcatid=