คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ครั้งที่ ๔๐
มรณัสสติ (๘) โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
... โดยได้ยกเอาเรื่องของธิดาช่างผูกลูกสาวคนทอผ้า ที่ได้ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์เรื่องมรณะสติ
และเธอก็เป็นผู้ไม่ประมาทคิดถึงความตายอยู่เป็นประจำทั้งวันทั้งคืน
จนกระทั้งเวลาผ่านไปสามปีจากอายุ ๑๖ จนกระทั่ง ๑๙ปี
พระพุทธเจ้าทรงพบว่าในวันนี้นางจะถึงแก่กรรมก็เลยเสด็จไป
เรื่องของความตายก็พูดยากว่าจะหมดอายุหรือไม่หมดอายุ
ขนาดในยุคนั้นพระพุทธเจ้าอยู่พระองค์ก็ยังไม่สามารถห้ามความตายได้เลย
แล้วพวกเราเป็นใครจะมาเก่งกว่าพระพุทธเจ้า พระเองก็จะไปสงเคราะห์เปสการีธิดา
จึงได้เสด็จไป
ดังที่ได้บอกว่าชาวเมืองอารวีคล้ายๆกับคนไทยคือชอบทำบุญทำทานแต่ไม่ชอบรักษาศีล
ไม่ชอบปฏิบัติพระกรรมฐาน ดังนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์ก็เหมือนเทศน์โปรดเด็กผู้หญิงคนเดียว
ฟังแล้วก็ทิ้งเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เหมือนที่คนไทยชอบพูดกันเหมือนกับว่าสีซอให้ควายฟัง
พระองค์ก็เลยเทศน์โปรดเด็กผู้หญิงคนเดียว เหมือนทัพพีก็ไม่รู้รสแกงฉันใดก็ฉันนั้น
เมื่อชาวเมืองทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาก็ดีใจ เลยไปนิมนต์พระพุทธเจ้าและก็ถวายอาหาร
แต่ปรากฏว่าพระพุทธเจ้านั่งเฉยๆไม่ให้พร เนื่องจากพระองค์ทรงดำริว่า ตัวท่านเองเดินทางไกล
มาตั้งสามสิบโยชก็เพราะต้องการจะสงเคราะห์ลูกสาวช่างทอผ้า
แต่เด็กคนนี้ยังไม่มีเวลาเข้าเฝ้าเราเลย ดังนั้นเมื่อเด็กคนนั้นมาเราจะทำอนุโมทนา
ปรากฏว่าเมื่อพุทธบารมีเมื่อพระพุทธเจ้านิ่ง จึงไม่มีใครสามารถไปทูลขอพรได้
ปรากฏว่าเมื่อลูกสาวช่างทอผ้าเมื่อกรอด้ายใส่หลอดให้บิดาเรียบร้อยแล้ว
ก็ถือตะกร้าที่ใส่หลอดเรียบร้อยแล้วก็กำลังจะเดินไปให้บิดา
แต่ระหว่างนั้นคิดได้ว่านานๆที พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาจึงตัดสินใจไปฟังธรรมก่อน
เมื่อนางเดินมาอยู่ท้ายกลุ่มของชาวบ้าน และเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นนางเดินมา
พระพุทธเจ้าก็ชะเง้อคอมอง นางจึงคิดว่าพรพุทธเจ้าต้องการให้นางเข้าเฝ้า
นางจึงวางด้ายหลอดไว้และเข้าเฝ้าพระพุทธองค์
ในที่นี้เขาก็เลยถามว่าทำไมพระพุทธเจ้าถึงได้แสดงอาการชะเง้อคอมอง
ได้ยินว่าพระองค์ทรงดำริว่าบุตรสาวคนนี้ เมื่อไปจากที่นี่แล้วเธอก็จะถึงแก่กรรมอย่างปุถุชน
ซึ่งขึ้นชื่อว่าการตายของปุถุชนนั้นมีคติไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับว่าขณะจิตกำลังจะดับจิตยึดอารมณ์อะไรอยู่
ถ้ายึดอารมณ์ที่เป็นบุญเป็นกุศลก็ไปสู่สุขติ ถ้ายึดอารมณ์ที่กิเลสก็ไปสู่ทุกคติ
เพราะฉะนั้นเมื่อเธอมาสู่สำนักของเรา และก็กลับไปอยู่เธอก็จะได้บรรลุเป็นอารยะบุคคลเบื้องต้นชั้นโสดาบัน
และก็จะเป็นผู้มีคติที่แน่นอนไปเกิดดุสิตวิมาน คำว่าคติที่แน่นอนหมายความว่าถ้าเป็นอริยบุคคล
เช่นโสดาบันมันเที่ยงแท้ในการเวียนว่ายตายเกิดระหว่างเทวดากับมนุษย์และเข้านิพพาน
ในวันนั้นขึ้นชื่อว่าความพ้นจากความตายไม่มีต่อเด็กคนนี้คือยังไงก็ต้องตายแน่นอน
ปรากฏว่าเด็กสาวคนนั้นก็เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ในที่นางกำลังถวายบังคมพระศาสดานั้น
พระศาสดาก็ตรัสถามว่า “หนูน้อยเจ้ามาจากไหน” นางก็ตอบว่า “ไม่ทราบพระเจ้าค่ะ”
“แล้วหนูจะไปไหน” พระศาสดาถาม “ไม่ทราบพระเจ้าค่ะ” นางตอบ
พระพุทธเจ้าก็ย้อนถามอีกครั้ง “เธอไม่ทราบจริงๆรึ” นางตอบกลับไปว่า “ทราบพระเจ้าค่ะ”
พระศาสดาถาม “แล้วตกลงนี่เธอทราบจริงๆรึ” นางตอบ “ไม่ทราบพระเจ้าค่ะ”
ชาวบ้านที่ได้ฟังก็รู้สึกไม่พอใจที่เด็กอายุแค่ ๑๙
กลับมาคุยยอกย้อนกลับพระพุทธองค์
จึงเริ่มมีเสียงซุบซิบนินทาว่าทำไมนางไม่ตอบคำถามของพระพุทธเจ้าให้ดีๆ
พระพุทธเจ้าบอกให้ทุกคนหยุดและลองฟังเด็กสาวตอบว่า
ทำไมเมื่อตถาคตถามว่าเธอมาจากไหนเพราะเหตุใดเธอจึงตอบว่าไม่ทราบ
เด็กสาวจึงตอบว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ
พระองค์ย่อมทราบดีว่าหม่อมฉันมาจากเรือนช่างผูก มาจากบ้าน
คำถามง่ายๆเช่นนี้พระองค์คงไม่อยากจะถามหม่อมฉันหรอก
แต่เมื่อพระองค์ตรัสถามหม่อมฉันว่ามาจากไหนย่อมมีความหมายลึกซึ้ง
จึงคิดว่าพระองค์ต้องการถามหม่อมฉันว่าก่อนที่หม่อมฉันจะมาเกิด
หม่อมฉันมาจากไหน แล้วหม่อมฉันจะไปทราบได้อย่างไรว่าชาติที่แล้วหม่อมฉันเป็นอะไร”
และพระองค์จึงถามต่อว่า “แล้วที่เราถามเธอจะไปไหน ทำไมถึงตอบว่าไม่ทราบ”
เด็กสาวตอบ “พระองค์เห็นหม่อมฉันถือตะกร้าใส่หลอดด้ายก็คงจะทราบว่าหม่อมฉันกำลังจะไปหาบิดา
ดังนั้นพระองค์คงอยากถามว่าเมื่อหม่อมฉันตายจากโลกนี้แล้วหม่อมฉันจะไปไหน
แล้วหม่อมฉันจะทราบได้อย่างไร” พระพุทธเจ้าได้ฟังก็แสดงความพอใจ
และถามต่อไปว่า “และเมื่อเราย้อนถามว่าเธอไม่ทราบจริงๆรึ ทำไมถึงตอบว่าทราบ”
“หม่อมฉันทราบว่า หม่อมฉันจะต้องตายแต่ๆ หนีความตายไม่พ้น หม่อมฉันจึงตอบว่าทราบ
หม่อมฉันไม่ประมาทและเจริญมรณะสติที่ประองค์สอนอยู่เป็นประจำจึงรู้อยู่แล้วว่าหม่อมฉันจะต้องตาย”
นางตอบ และ พระองค์เลยถามต่อไปว่า “และทำไมเราถามว่าเธอทราบรึ เธอถึงตอบว่าไม่ทราบ”
เด็กสาวตอบไปว่า “หม่อมฉันรู้ว่าหม่อมฉันต้องตาย แต่หม่อมฉันไม่ทราบว่าหม่อมฉันจะตายเมื่อไหร่
จะตอนกลางวันหรือตอนกลางคืน หม่อมฉันไม่ทราบ เพราะเหตุนั้นหม่อมฉันจึงทูลตอบว่าไม่ทราบ”
พระพุทธเจ้าก็เลยประทานสาธุการ สี่ครั้ง “สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ”
และตรัสเตือนบริษัทที่มาเข้าเฝ้าว่าไม่รู้เรื่องอะไรจึงได้แต่นินทาซุบซิบ
เขาว่าจักรสุคือปัญญาของคนเหล่าใดไม่มีก็จะเหมือนคนตาบอด
ส่วนจักรสุคือปัญญาของคนเหล่าใดมีอยู่ คนเหล่านั้นจึงเป็นผู้ว่ามีดวงตา
และก็ตรัสคาถาว่า “อันทะพูโต อะยังโลโก ตะนุเกตถะ วิปัสสะติ สะกุโน ชาละมุโต วะ อับโปศัทธายะคัดฉะติ”
แปลเป็นไทยว่าสัตว์โลกนี้จักเป็นเหมือนคนตาบอด ในโลกน้อยคนนักจักเห็นแจ้ง น้อยคนนักจักได้ไปสวรรค์
เหมือนนกหลุดแล้วจักตาข่ายมีน้อยฉันนั้น
เมื่อพระองค์เทศน์เสร็จเด็กสาวอายุ ๑๙คนนี้ก็ได้บรรลุเป็นโสดาปฏิผลเป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้นในพระศาสนา
จากนั้นเธอก็ถวายบังคมลา และถือกระเช้าด้ายหลอดไปหาบิดา เมื่อนางยังไม่ทันระวังตัวเห็นบิดานั่งอยู่
ก็น้อมกระเช้าด้ายหลอดเข้าไป กระเช้าด้ายหลอดก็ไปกระทบที่สุดฟืม และก็ทำเสียงตกไปฉุดที่สุดฟิมไป
ด้วยนิมิตที่ตนจับเอาแล้วนั่นเองที่สุดฟืมก็ไปประหารนางที่อก ทำให้ทำการละในที่นั้นนั่นเอง
และก็ได้ไปเกิดในดุสิตวิมาน
ฝ่ายบิดาได้เห็นลูกสาวตายต่อหน้าได้เกิดความโศกเส้าอย่างมาก
จึงไปสู่สำนักของพระศาสดา และขอร้องให้พระองค์ทรงทำความโศกให้ดับไป
พระศาสดาได้ตรัสว่า “ท่านอย่าได้เส้าโศกไปเลย เพราะว่าน้ำตาของท่านที่ไหลออกแล้ว
ในเวลาที่ลูกสาวท่านตายเนี่ย มันมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่อีก”
และก็ได้ตรัสอนัตมรรคสูตร เมื่อได้ฟังเทศน์จบแล้วช่างผูกจึงได้ขอออกบวช
และไม่นานก็ได้บรรลุโสดาบัน เรื่องที่ได้กล่าวมานั่นอันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับมรณัสสติ
ให้ท่านทั้งหลายเห็นว่า ขึ้นชื่อว่าความตายมันไม่เคยปราณีใครไม่ว่าจะเป็นคนแก่
หรือว่าเป็นเด็ก เป็นคนโง่หรือฉลาด เป็นคนยศสูงหรือยศต่ำ ทุกคนล้วนแต่ต้องเข้าสู่ความตายทั้งนั้น
อย่างเช่นนางกุมาริกาคนนี้ก็คิดว่าเธอตายอายุ ๑๙ ก็ถือว่าคุ้มค่าเพราะเธอได้กัลยาลมิตรที่ดีก่อนตาย
คือได้พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งและอีกประการหนึ่งคือเธอเป็นคนเอาจริง อย่างเราเป็นครูบาอาจารย์เนี่ย
ลูกศิษย์บางคนสอนก็ไม่ค่อยจะจำ บางทีก็มาพูดแข่งกับเราสอยแล้วก็หลับ ลูกศิษย์บางคนก็จำดีๆจริงๆ
บางคนเราสอนไปตั้งหลายปี ส่งจดหมายส่งโปสการ์ดมาบอกว่าเราจำได้หรือไม่
สิ่งที่เราสอนแบบนั้นแบบนี้ ถ้าเราเจอลูกศิษย์แบบนี้เราก็มีความสุข
อย่างเช่นนางกุมาริกาคนนี้ก็เหมือนกัน เธอเป็นคนที่ฉลาดมีปัญญา เป็นลูกที่น่ารัก
อย่างถ้าเรามีลูกศิษย์แบบนี้ก็เต็มใจที่จะสอน สามปีได้ฟังเทศน์ครั้งเดียวไม่เคยลืม นั่ง ยืน เดิน นอน
คิดถึงความตายอยู่เป็นประจำ คนเราเมื่อนึกถึงความตายกิเลสมันไม่ฟู “ชีวิตไม่เที่ยง เราต้องตายสักวันหนึ่ง”
ถ้าเราคิดแบบนี้ได้เราก็คงไม่รู้จะโกรธใคร พอจะโกรธจะเกลียดกันเราก็นึกได้ว่า
จะมาโกรธเกลียดกันเพื่ออะไรสุดท้ายแล้วต่างคนก็ต่างต้องตายไป
หรือว่าพอจะโลภโมเมื่อคิดถึงความตายเราก็จะคิดได้ว่าเดี๋ยวเราก็ตายไปเอาอะไรไปไม่ได้
เดี๋ยวร่างเขาก็เอาไปเผาไฟ เมื่อเจ้ามาเจ้ามีอะไรมาด้วยเจ้า เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกฉไน
เมื่อเจ้ามาเจ้าก็มามือเปล่าเจ้าจะเอาอะไร เจ้าก็ไปมือเปล่าเหมือนเจ้ามา แล้วเวลาเจ้าตายแล้วเป็นยังไง
ยศแล้วลาภหาบไปไม่ได้แน่ เว้นเสียแต่ต้นทุนบุญกุศล ทิ้งสมบัติเอาไว้ให้ปวงชน แม้ร่างตนเขายังเอาไปเผาไฟ
อย่างเงินที่ลูกหลานยัดใส่ปากระวังให้ดี กลัวพ่อแม่ไม่มีเงินใช้ เวลาเปิดฝาโลงญาติบางคนตกใจ
เห็นศพผิดปกติ ปรากฏว่าสัปเหร่อทุบเอาเงินไป ฟันทองนี่เรียบร้อยมาแล้ว ดังนั้นอย่าไปอะไรมาก
การเจริญมรณัสสติมีประโยชน์ทำให้กิเลสมันเบาบาง และเมื่อเรามาเจริญวิปัสนาทำให้จิตของเราเกิดความคม
ความชัดในการเจริญ...
มรณัสสติ (๘) โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
... โดยได้ยกเอาเรื่องของธิดาช่างผูกลูกสาวคนทอผ้า ที่ได้ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์เรื่องมรณะสติ
และเธอก็เป็นผู้ไม่ประมาทคิดถึงความตายอยู่เป็นประจำทั้งวันทั้งคืน
จนกระทั้งเวลาผ่านไปสามปีจากอายุ ๑๖ จนกระทั่ง ๑๙ปี
พระพุทธเจ้าทรงพบว่าในวันนี้นางจะถึงแก่กรรมก็เลยเสด็จไป
เรื่องของความตายก็พูดยากว่าจะหมดอายุหรือไม่หมดอายุ
ขนาดในยุคนั้นพระพุทธเจ้าอยู่พระองค์ก็ยังไม่สามารถห้ามความตายได้เลย
แล้วพวกเราเป็นใครจะมาเก่งกว่าพระพุทธเจ้า พระเองก็จะไปสงเคราะห์เปสการีธิดา
จึงได้เสด็จไป
ดังที่ได้บอกว่าชาวเมืองอารวีคล้ายๆกับคนไทยคือชอบทำบุญทำทานแต่ไม่ชอบรักษาศีล
ไม่ชอบปฏิบัติพระกรรมฐาน ดังนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์ก็เหมือนเทศน์โปรดเด็กผู้หญิงคนเดียว
ฟังแล้วก็ทิ้งเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เหมือนที่คนไทยชอบพูดกันเหมือนกับว่าสีซอให้ควายฟัง
พระองค์ก็เลยเทศน์โปรดเด็กผู้หญิงคนเดียว เหมือนทัพพีก็ไม่รู้รสแกงฉันใดก็ฉันนั้น
เมื่อชาวเมืองทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาก็ดีใจ เลยไปนิมนต์พระพุทธเจ้าและก็ถวายอาหาร
แต่ปรากฏว่าพระพุทธเจ้านั่งเฉยๆไม่ให้พร เนื่องจากพระองค์ทรงดำริว่า ตัวท่านเองเดินทางไกล
มาตั้งสามสิบโยชก็เพราะต้องการจะสงเคราะห์ลูกสาวช่างทอผ้า
แต่เด็กคนนี้ยังไม่มีเวลาเข้าเฝ้าเราเลย ดังนั้นเมื่อเด็กคนนั้นมาเราจะทำอนุโมทนา
ปรากฏว่าเมื่อพุทธบารมีเมื่อพระพุทธเจ้านิ่ง จึงไม่มีใครสามารถไปทูลขอพรได้
ปรากฏว่าเมื่อลูกสาวช่างทอผ้าเมื่อกรอด้ายใส่หลอดให้บิดาเรียบร้อยแล้ว
ก็ถือตะกร้าที่ใส่หลอดเรียบร้อยแล้วก็กำลังจะเดินไปให้บิดา
แต่ระหว่างนั้นคิดได้ว่านานๆที พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาจึงตัดสินใจไปฟังธรรมก่อน
เมื่อนางเดินมาอยู่ท้ายกลุ่มของชาวบ้าน และเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นนางเดินมา
พระพุทธเจ้าก็ชะเง้อคอมอง นางจึงคิดว่าพรพุทธเจ้าต้องการให้นางเข้าเฝ้า
นางจึงวางด้ายหลอดไว้และเข้าเฝ้าพระพุทธองค์
ในที่นี้เขาก็เลยถามว่าทำไมพระพุทธเจ้าถึงได้แสดงอาการชะเง้อคอมอง
ได้ยินว่าพระองค์ทรงดำริว่าบุตรสาวคนนี้ เมื่อไปจากที่นี่แล้วเธอก็จะถึงแก่กรรมอย่างปุถุชน
ซึ่งขึ้นชื่อว่าการตายของปุถุชนนั้นมีคติไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับว่าขณะจิตกำลังจะดับจิตยึดอารมณ์อะไรอยู่
ถ้ายึดอารมณ์ที่เป็นบุญเป็นกุศลก็ไปสู่สุขติ ถ้ายึดอารมณ์ที่กิเลสก็ไปสู่ทุกคติ
เพราะฉะนั้นเมื่อเธอมาสู่สำนักของเรา และก็กลับไปอยู่เธอก็จะได้บรรลุเป็นอารยะบุคคลเบื้องต้นชั้นโสดาบัน
และก็จะเป็นผู้มีคติที่แน่นอนไปเกิดดุสิตวิมาน คำว่าคติที่แน่นอนหมายความว่าถ้าเป็นอริยบุคคล
เช่นโสดาบันมันเที่ยงแท้ในการเวียนว่ายตายเกิดระหว่างเทวดากับมนุษย์และเข้านิพพาน
ในวันนั้นขึ้นชื่อว่าความพ้นจากความตายไม่มีต่อเด็กคนนี้คือยังไงก็ต้องตายแน่นอน
ปรากฏว่าเด็กสาวคนนั้นก็เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ในที่นางกำลังถวายบังคมพระศาสดานั้น
พระศาสดาก็ตรัสถามว่า “หนูน้อยเจ้ามาจากไหน” นางก็ตอบว่า “ไม่ทราบพระเจ้าค่ะ”
“แล้วหนูจะไปไหน” พระศาสดาถาม “ไม่ทราบพระเจ้าค่ะ” นางตอบ
พระพุทธเจ้าก็ย้อนถามอีกครั้ง “เธอไม่ทราบจริงๆรึ” นางตอบกลับไปว่า “ทราบพระเจ้าค่ะ”
พระศาสดาถาม “แล้วตกลงนี่เธอทราบจริงๆรึ” นางตอบ “ไม่ทราบพระเจ้าค่ะ”
ชาวบ้านที่ได้ฟังก็รู้สึกไม่พอใจที่เด็กอายุแค่ ๑๙
กลับมาคุยยอกย้อนกลับพระพุทธองค์
จึงเริ่มมีเสียงซุบซิบนินทาว่าทำไมนางไม่ตอบคำถามของพระพุทธเจ้าให้ดีๆ
พระพุทธเจ้าบอกให้ทุกคนหยุดและลองฟังเด็กสาวตอบว่า
ทำไมเมื่อตถาคตถามว่าเธอมาจากไหนเพราะเหตุใดเธอจึงตอบว่าไม่ทราบ
เด็กสาวจึงตอบว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ
พระองค์ย่อมทราบดีว่าหม่อมฉันมาจากเรือนช่างผูก มาจากบ้าน
คำถามง่ายๆเช่นนี้พระองค์คงไม่อยากจะถามหม่อมฉันหรอก
แต่เมื่อพระองค์ตรัสถามหม่อมฉันว่ามาจากไหนย่อมมีความหมายลึกซึ้ง
จึงคิดว่าพระองค์ต้องการถามหม่อมฉันว่าก่อนที่หม่อมฉันจะมาเกิด
หม่อมฉันมาจากไหน แล้วหม่อมฉันจะไปทราบได้อย่างไรว่าชาติที่แล้วหม่อมฉันเป็นอะไร”
และพระองค์จึงถามต่อว่า “แล้วที่เราถามเธอจะไปไหน ทำไมถึงตอบว่าไม่ทราบ”
เด็กสาวตอบ “พระองค์เห็นหม่อมฉันถือตะกร้าใส่หลอดด้ายก็คงจะทราบว่าหม่อมฉันกำลังจะไปหาบิดา
ดังนั้นพระองค์คงอยากถามว่าเมื่อหม่อมฉันตายจากโลกนี้แล้วหม่อมฉันจะไปไหน
แล้วหม่อมฉันจะทราบได้อย่างไร” พระพุทธเจ้าได้ฟังก็แสดงความพอใจ
และถามต่อไปว่า “และเมื่อเราย้อนถามว่าเธอไม่ทราบจริงๆรึ ทำไมถึงตอบว่าทราบ”
“หม่อมฉันทราบว่า หม่อมฉันจะต้องตายแต่ๆ หนีความตายไม่พ้น หม่อมฉันจึงตอบว่าทราบ
หม่อมฉันไม่ประมาทและเจริญมรณะสติที่ประองค์สอนอยู่เป็นประจำจึงรู้อยู่แล้วว่าหม่อมฉันจะต้องตาย”
นางตอบ และ พระองค์เลยถามต่อไปว่า “และทำไมเราถามว่าเธอทราบรึ เธอถึงตอบว่าไม่ทราบ”
เด็กสาวตอบไปว่า “หม่อมฉันรู้ว่าหม่อมฉันต้องตาย แต่หม่อมฉันไม่ทราบว่าหม่อมฉันจะตายเมื่อไหร่
จะตอนกลางวันหรือตอนกลางคืน หม่อมฉันไม่ทราบ เพราะเหตุนั้นหม่อมฉันจึงทูลตอบว่าไม่ทราบ”
พระพุทธเจ้าก็เลยประทานสาธุการ สี่ครั้ง “สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ”
และตรัสเตือนบริษัทที่มาเข้าเฝ้าว่าไม่รู้เรื่องอะไรจึงได้แต่นินทาซุบซิบ
เขาว่าจักรสุคือปัญญาของคนเหล่าใดไม่มีก็จะเหมือนคนตาบอด
ส่วนจักรสุคือปัญญาของคนเหล่าใดมีอยู่ คนเหล่านั้นจึงเป็นผู้ว่ามีดวงตา
และก็ตรัสคาถาว่า “อันทะพูโต อะยังโลโก ตะนุเกตถะ วิปัสสะติ สะกุโน ชาละมุโต วะ อับโปศัทธายะคัดฉะติ”
แปลเป็นไทยว่าสัตว์โลกนี้จักเป็นเหมือนคนตาบอด ในโลกน้อยคนนักจักเห็นแจ้ง น้อยคนนักจักได้ไปสวรรค์
เหมือนนกหลุดแล้วจักตาข่ายมีน้อยฉันนั้น
เมื่อพระองค์เทศน์เสร็จเด็กสาวอายุ ๑๙คนนี้ก็ได้บรรลุเป็นโสดาปฏิผลเป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้นในพระศาสนา
จากนั้นเธอก็ถวายบังคมลา และถือกระเช้าด้ายหลอดไปหาบิดา เมื่อนางยังไม่ทันระวังตัวเห็นบิดานั่งอยู่
ก็น้อมกระเช้าด้ายหลอดเข้าไป กระเช้าด้ายหลอดก็ไปกระทบที่สุดฟืม และก็ทำเสียงตกไปฉุดที่สุดฟิมไป
ด้วยนิมิตที่ตนจับเอาแล้วนั่นเองที่สุดฟืมก็ไปประหารนางที่อก ทำให้ทำการละในที่นั้นนั่นเอง
และก็ได้ไปเกิดในดุสิตวิมาน
ฝ่ายบิดาได้เห็นลูกสาวตายต่อหน้าได้เกิดความโศกเส้าอย่างมาก
จึงไปสู่สำนักของพระศาสดา และขอร้องให้พระองค์ทรงทำความโศกให้ดับไป
พระศาสดาได้ตรัสว่า “ท่านอย่าได้เส้าโศกไปเลย เพราะว่าน้ำตาของท่านที่ไหลออกแล้ว
ในเวลาที่ลูกสาวท่านตายเนี่ย มันมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่อีก”
และก็ได้ตรัสอนัตมรรคสูตร เมื่อได้ฟังเทศน์จบแล้วช่างผูกจึงได้ขอออกบวช
และไม่นานก็ได้บรรลุโสดาบัน เรื่องที่ได้กล่าวมานั่นอันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับมรณัสสติ
ให้ท่านทั้งหลายเห็นว่า ขึ้นชื่อว่าความตายมันไม่เคยปราณีใครไม่ว่าจะเป็นคนแก่
หรือว่าเป็นเด็ก เป็นคนโง่หรือฉลาด เป็นคนยศสูงหรือยศต่ำ ทุกคนล้วนแต่ต้องเข้าสู่ความตายทั้งนั้น
อย่างเช่นนางกุมาริกาคนนี้ก็คิดว่าเธอตายอายุ ๑๙ ก็ถือว่าคุ้มค่าเพราะเธอได้กัลยาลมิตรที่ดีก่อนตาย
คือได้พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งและอีกประการหนึ่งคือเธอเป็นคนเอาจริง อย่างเราเป็นครูบาอาจารย์เนี่ย
ลูกศิษย์บางคนสอนก็ไม่ค่อยจะจำ บางทีก็มาพูดแข่งกับเราสอยแล้วก็หลับ ลูกศิษย์บางคนก็จำดีๆจริงๆ
บางคนเราสอนไปตั้งหลายปี ส่งจดหมายส่งโปสการ์ดมาบอกว่าเราจำได้หรือไม่
สิ่งที่เราสอนแบบนั้นแบบนี้ ถ้าเราเจอลูกศิษย์แบบนี้เราก็มีความสุข
อย่างเช่นนางกุมาริกาคนนี้ก็เหมือนกัน เธอเป็นคนที่ฉลาดมีปัญญา เป็นลูกที่น่ารัก
อย่างถ้าเรามีลูกศิษย์แบบนี้ก็เต็มใจที่จะสอน สามปีได้ฟังเทศน์ครั้งเดียวไม่เคยลืม นั่ง ยืน เดิน นอน
คิดถึงความตายอยู่เป็นประจำ คนเราเมื่อนึกถึงความตายกิเลสมันไม่ฟู “ชีวิตไม่เที่ยง เราต้องตายสักวันหนึ่ง”
ถ้าเราคิดแบบนี้ได้เราก็คงไม่รู้จะโกรธใคร พอจะโกรธจะเกลียดกันเราก็นึกได้ว่า
จะมาโกรธเกลียดกันเพื่ออะไรสุดท้ายแล้วต่างคนก็ต่างต้องตายไป
หรือว่าพอจะโลภโมเมื่อคิดถึงความตายเราก็จะคิดได้ว่าเดี๋ยวเราก็ตายไปเอาอะไรไปไม่ได้
เดี๋ยวร่างเขาก็เอาไปเผาไฟ เมื่อเจ้ามาเจ้ามีอะไรมาด้วยเจ้า เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกฉไน
เมื่อเจ้ามาเจ้าก็มามือเปล่าเจ้าจะเอาอะไร เจ้าก็ไปมือเปล่าเหมือนเจ้ามา แล้วเวลาเจ้าตายแล้วเป็นยังไง
ยศแล้วลาภหาบไปไม่ได้แน่ เว้นเสียแต่ต้นทุนบุญกุศล ทิ้งสมบัติเอาไว้ให้ปวงชน แม้ร่างตนเขายังเอาไปเผาไฟ
อย่างเงินที่ลูกหลานยัดใส่ปากระวังให้ดี กลัวพ่อแม่ไม่มีเงินใช้ เวลาเปิดฝาโลงญาติบางคนตกใจ
เห็นศพผิดปกติ ปรากฏว่าสัปเหร่อทุบเอาเงินไป ฟันทองนี่เรียบร้อยมาแล้ว ดังนั้นอย่าไปอะไรมาก
การเจริญมรณัสสติมีประโยชน์ทำให้กิเลสมันเบาบาง และเมื่อเรามาเจริญวิปัสนาทำให้จิตของเราเกิดความคม
ความชัดในการเจริญ...
แสดงความคิดเห็น
คำถามที่อยากให้คนฉลาดที่สุดในโลกมาตอบ
เจ้าหน้าที่ : เจ้ามาจากไส
คนบ้า : ข่อยบ่รู้
เจ้าหน้าที่ : เจ้าสิไปไส
คนบ้า : ข่อยกะบ่รู้
เจ้าหน้าที่ : แล้วเจ้ามาเดินอีหยังอยู่นี้
คนบ้า : ข่อยกะเห็นคนอื่นเดินข่อยกะเรยเดินกับเขา
เออผมเลยมานั่งคิด.....เออสงสัยสิแม่นแบบคนบ้าเค้าตอบ
ชาติที่แล้วผมมาจากไส ชาติหน้าผมสิไปไส
แล้วชาตินี้ ผมกะกำลังทำตามที่คนอื่นเค้าทำ เรียนหนังสือ
ทำงาน มีครอบครัว มีลูก กิน เที่ยว เหมือนคนทั่วๆไปกำลังทำเหมือนกัน
ใครพอสิมีคำตอบให้ผมบ่
ชาติที่แล้วผมมาจากไส
ชาติหน้าผมสิไปไส
แล้วชาตินี้ทำไมผมต้องทำเหมื่อนคนอื่นนำ หรือว่าผมบ้าว่ะ