การเหยียดเพศ และเหยียดสถาบันการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ ในประเทศญี่ปุ่น

การเหยียดเพศ และเหยียดสถาบันการศึกษา ในประเทศญี่ปุ่น ผมคิดว่าหลายคนคงพอรู้ พอได้ยินอยู่บ้าง
ใครมีประสบการณ์ เคยเจอ มาคุย มาบอกเล่ากันได้ เพราะผมรวบรวมข้อมูลอยู่  


.......................................................................................

แต่ข้างล่างนี้คือประสบการณ์จากการเฝ้ามองของผม

คือช่วงนี้กำลังมีปรากฏการณ์สำคัญเกิดขึ้นในแวดวงวิชาการ (Stem cells) ของญี่ปุ่น

ซึ่งผมกำลังติดตามอย่างใกล้ชิด โดยไม่ได้ติดตามเรื่อง Stem cells หรอก (ผมเด็กสายศิลป์)
แต่ติดตามทรรศนะของคนญี่ปุ่นว่าเขามีทรรศนะอย่างไรต่อปรากฏการณ์ นักวิทยาศาสตร์หญิงดาวรุ่ง (สวยด้วย)

ที่มาเรื่องราวสั้นๆ ก็คือเมื่อปลายเดือน มกราคม 2557 ทีมนักวิจัยที่นำโดยนักวิทย์สาวดาวรุ่งชาวญี่ปุ่น คือ ดร. ฮารุโกะ โอโบกาตะ (30 ปี) ได้สร้างความฮือฮาในวงการ Stem cells โดยเผยแพร่วิธีการสร้าง stem cell ด้วยวิธีใหม่ที่ง่ายกว่าเดิมลงในวารสาร Nature (2 เปเปอร์) โดยทีมวิจัยเรียกเซลล์ต้นกำเนิดที่สร้างด้วยวิธีใหม่นี้ว่า สแต็ปเซลล์ (STAP cells)

ทีนี้ด้วยความที่มันเป็นเรื่องสั่นสะเทือนวงการ ไม่กี่วันหลังจากนั้นก็เริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง นักวิทย์สาย Stem cells หลายคนทดลองทำซ้ำในแล็บของตนเอง แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ก็เลยยิ่งพากันสงสัย

ทำให้หลายคนเริ่มดาหน้าออกมาตรวจสอบผลงานของเธอทั้ง 2 เปเปอร์ที่ตีพิมพ์ใน Nature และพบว่ามีการตกแต่งรูปภาพของ Stem cells มีการเอาภาพเก่าที่ได้จากการศึกษาเรื่องอื่นมาใช้ใหม่ในงานที่พูดถึงอีกเรื่องหนึ่ง มีการลอกข้อความมาจากงานวิจัยของคนอื่นมาแบบเกือบเด๊ะๆ เป็นย่อหน้าเลยทีเดียว มีข้อสงสัยเรื่องเซลส์ที่ใช้ในการทดลอง ฯลฯ

ในที่สุดจากเรื่องฮือฮา ก็เริ่มกลายเป็นเรื่องอื้อฉาว เมื่อมีนักสืบชาวเนทเริ่มขุดคุ้ยประวัติผลงานของเธอ
แล้วก็มีนักวิทย์สาขาเดียวกันจาก USA คือ ดร. Paul Knoepfler ตามเกาะติด อัพบล็อคแฉเกือบทุกวัน ชนิดกัดไม่ปล่อย

ล่าสุดชาวเน็ตสืบโหดไปถึงวิทยานิพนธ์ ป.เอก ที่เสนอ ม.วาเซดะ ในปี 2011 และพบว่ามีการลอกข้อความมาจากเว็บไซต์ของหน่วยงานสาธารณสุขของสหรัฐฯ มาแปะในบทนำของวิทยานิพนธ์ ข้อมูลเบื้องต้นชี้ว่าจากวิทยานิพนธ์ 100 กว่าหน้า มีถึงกว่า 20 หน้าที่สงสัยว่าก๊อบมา
และยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ Plagiarism อีกหลายจุดในวิทยานิพนธ์ของเธอด้วย

......................................................................................

ทีนี้เรื่องราวยังไม่จบ เพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริง วันศุกร์นี้ RIKEN ต้นสังกัดของเธอ จะแถลงความคืบหน้า

แต่กระแสชาวเน็ตมันไปไกลแล้ว เรียกว่า "แฉรายวัน" กันเลยทีเดียว ถึงขนาดตั้งบล็อกมาแฉกันโดยเฉพาะ
(จนผมเองก็สงสัยว่าลูกพี่ เขาไป เจ็บ แค้น เคือง โกรธ กันมาแต่ชาติปางไหน)
โดยพอผมติดตามอ่านความเห็นชาวญี่ปุ่นก็พบว่า Gender discrimination ยังมีอยู่เยอะมากๆ
มีความเห็นจำนวนมากที่ออกแนวเหยียดนักวิทยาศาสตร์เพศหญิง และอีกจำนวนหนึ่งที่เหยียดมหาวิทยาลัยเอกชน (แม้จะชื่อดัง)

ตย. ความเห็น

新ジャンル:剽窃系女子
นักลอกหญิง

リケジョ(笑)
นักวิทย์หญิง 5555...

さすが私立(笑)だわ
มหาวิทยาลัยเอกชนก็งี้แหละ 555....

....これがリケジョ(笑)ってやつですね
....นี่แหละนักวิทย์หญิง 555....

さすがのスーパーフリー大学 どうしようもねえクズ
มหาวิทยาลัยเอกชนชิวๆ จะไปหวังอะไร ช่างไร้ค่า

ฯลฯ

ทีนี้ความน่าสนใจมันอยู่ที่ “แม้การตรวจสอบยังไม่สิ้นสุด” แต่ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กันไปไกลแล้ว โดยเนื้อหายังมีแนวคิดเหยียดเพศแฝงอยู่ลึกๆ

แต่แน่นอนว่าในแวดวงวิชาการ จริยธรรมการวิจัย (Research Ethics) ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายมากๆ No mercy!
ใครพลาดมักถูกขุดชนิดถอนรากถอนโคน จนจบอนาคตในงานวิจัย ตรงนี้ถือเป็นอุทาหรณ์

ขณะเดียวกัน 2 เปเปอร์นี้มีนักวิจัยร่วมเขียนทั้งสิ้น 14 คน แต่ ดร.โอโบกาตะ เป็น Lead author เลยเจองานเข้าอยู่คนเดียว
และยังเป็นคนเดียวที่ถูกขุดคุ้ยประวัติผลงานขึ้นมาส่องหาข้อผิดพลาด จนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ไม่ว่า RIKEN, Harvard, Nature, Waseda U. ต่างหนาวๆ ร้อนๆ เรื่องมาตรฐานทางวิชาการของตนเองไปตามๆ กัน

ท้ายนี้ ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะออกมาอย่างไร แต่ด้วยความน่ารักของเธอ ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ แหม่
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่