คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
ก่อนอื่นขอส่งกำลังใจให้คุณจขกท. เพื่อมีจิตใจเข้มแข็ง มีสติ แก้ปัญหาได้
และคุณป้า ..คุณแม่ของคุณ จขกท. ให้สุขภาพดีขึ้นในเร็ววันนะคะ
พี่ไม่ทราบว่า คุณ จขกท. เคยดูซีรีย์ตะวันตก เรื่อง House MD. บ้างหรือเปล่า
ก่อนอื่นพี่เข้าใจว่ายังไงมันก็คือละคร แต่ละครฝรั่ง เค้าหาข้อมูลอย่างดีก่อนเขียนบท ไม่ได้ยกเมฆเรื่อยเปื่อย
จากการเป็นแฟนละครเรื่อง House MD นี้ พี่พบว่า
1. หมอ ก็เป็นปุถุชน คนธรรมดา ..มีรัก โลภ โกรธ หลง มีงี่เง่า ไร้เหตุผล และทำผิดพลาด ผิดศีลธรรมได้ ไม่ต่างจากคนอาชีพอื่น
ขึ้นอยู่กับพื้นฐานนิสัยของหมอ ..ไม่ใช่แค่เรื่องมีสติปัญญาเรียนหมอมาได้
2. อาการของโรค ..ณ เวลาหนึ่ง หมออาจวินิจฉัยไปได้ว่าเป็นอย่างหนึ่ง
ต่อเมื่อเวลาผ่านไป หรือมีอาการอื่นแสดงขึ้นมา หรือรักษาไปแล้ว แต่ไม่ตอบสนองการรักษา ..นั่นจึงต้องมาวินิจฉัยกันใหม่
แต่พี่ไม่ได้เป็นบุคลากรทางการแพทย์ พี่ก็จะไม่บังอาจไปวิจารณ์การวินิจฉัย หรือจรรยาบรรณของคุณหมอที่คลีนิกนะคะ
แต่ในเวลานี้ ถ้าพี่เป็นคุณ จขกท. พี่จะ concentrate ไปที่แนวทางการรักษาคุณแม่
รวมถึงดูงบประมาณ เทียบกับความสามารถในการจ่ายของคุณ และสิทธิรักษาพยาบาลต่างๆ ที่คุณแม่มี
ก่อนจะนึกถึงเรื่องการฟ้องร้อง หรือร้องเรียนคุณหมอ ที่คลีนิก
..พี่อาจจะขอพูดตรงๆ เรื่องค่าใช้จ่าย เพราะเรื่องรักแม่ มันแน่นอนอยู่แล้ว ..ยังไงเราก็อยากให้แม่หาย
ไม่อยากเห็นแม่เจ็บปวดทรมาน
แต่เราต้องพิจารณาความสามารถของครอบครัวเราด้วยนะคะ ..อย่าตกใจ จนอะไรก็ยอมทุกอย่าง
แล้วต้องมารับค่าใช้จ่ายที่เกินความสามารถของตัวเอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่ถ้าคุณจะเรียกร้องความเป็นธรรม คงต้องพยายามรวบรวมหลักฐาน แล้วติดต่อไปยังเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ดูค่ะ
ขอให้โชคดีค่ะ

และคุณป้า ..คุณแม่ของคุณ จขกท. ให้สุขภาพดีขึ้นในเร็ววันนะคะ
พี่ไม่ทราบว่า คุณ จขกท. เคยดูซีรีย์ตะวันตก เรื่อง House MD. บ้างหรือเปล่า
ก่อนอื่นพี่เข้าใจว่ายังไงมันก็คือละคร แต่ละครฝรั่ง เค้าหาข้อมูลอย่างดีก่อนเขียนบท ไม่ได้ยกเมฆเรื่อยเปื่อย
จากการเป็นแฟนละครเรื่อง House MD นี้ พี่พบว่า
1. หมอ ก็เป็นปุถุชน คนธรรมดา ..มีรัก โลภ โกรธ หลง มีงี่เง่า ไร้เหตุผล และทำผิดพลาด ผิดศีลธรรมได้ ไม่ต่างจากคนอาชีพอื่น
ขึ้นอยู่กับพื้นฐานนิสัยของหมอ ..ไม่ใช่แค่เรื่องมีสติปัญญาเรียนหมอมาได้
2. อาการของโรค ..ณ เวลาหนึ่ง หมออาจวินิจฉัยไปได้ว่าเป็นอย่างหนึ่ง
ต่อเมื่อเวลาผ่านไป หรือมีอาการอื่นแสดงขึ้นมา หรือรักษาไปแล้ว แต่ไม่ตอบสนองการรักษา ..นั่นจึงต้องมาวินิจฉัยกันใหม่
แต่พี่ไม่ได้เป็นบุคลากรทางการแพทย์ พี่ก็จะไม่บังอาจไปวิจารณ์การวินิจฉัย หรือจรรยาบรรณของคุณหมอที่คลีนิกนะคะ
แต่ในเวลานี้ ถ้าพี่เป็นคุณ จขกท. พี่จะ concentrate ไปที่แนวทางการรักษาคุณแม่
รวมถึงดูงบประมาณ เทียบกับความสามารถในการจ่ายของคุณ และสิทธิรักษาพยาบาลต่างๆ ที่คุณแม่มี
ก่อนจะนึกถึงเรื่องการฟ้องร้อง หรือร้องเรียนคุณหมอ ที่คลีนิก
..พี่อาจจะขอพูดตรงๆ เรื่องค่าใช้จ่าย เพราะเรื่องรักแม่ มันแน่นอนอยู่แล้ว ..ยังไงเราก็อยากให้แม่หาย
ไม่อยากเห็นแม่เจ็บปวดทรมาน
แต่เราต้องพิจารณาความสามารถของครอบครัวเราด้วยนะคะ ..อย่าตกใจ จนอะไรก็ยอมทุกอย่าง
แล้วต้องมารับค่าใช้จ่ายที่เกินความสามารถของตัวเอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่ถ้าคุณจะเรียกร้องความเป็นธรรม คงต้องพยายามรวบรวมหลักฐาน แล้วติดต่อไปยังเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ดูค่ะ
ขอให้โชคดีค่ะ

แสดงความคิดเห็น
ขอกำลังใจค่ะ..ชีวิตตอนนี้มีแต่เรื่องแย่ๆ เ้ข้ามา...
เรื่องนี้เป็นเรื่องของแม่เราค่ะ แม่เราเป็นคนไม่ค่อยแข็งแรง ท่านอายุ 70 ปีแล้ว เป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคความดัน โรคไทรอยด์ เมื่อสัปดาห์ก่อนอาการแม่กำเริบต้องอยู่โรงพยาบาลเนื่องจากว่าเกล็ดเกลือในเลือดต่ำ(ไม่รู้เราเรียกถูกหรือเปล่านะคะ) ทำให้แม่กินอาหารไม่ได้ อ๊วกตลอด จนแม่ค่อยๆ เดินเองได้ แต่ต้องช่วยพยุง แม่พอวันเสาร์ที่ผ่านมา แม่บอกว่ารู้สึกว่าขาข้างซ้ายไม่ค่อยมีแรง มันชาๆ เราก็บีบนวด เอาใบพลับพลึงมาอังไฟและนวดให้ท่าน แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น เราก็เลยหาข้อมูลจากเน็ต ซึ่งเราดูแล้วอาการแม่เหมือนคนที่เป็นอัมพฤก วันรุ่งขึ้นเราก็เลยพาแม่ไปหาคลีนิกที่เค้าขึ้นชื่อเรื่องของการรักษาอัมพฤก แต่ก่อนที่จะทำการรักษาคุณหมอก็มาตรวจแม่ก่อน ขาข้างซ้ายแม่เราเริ่มช้ำเป็นม่วงๆ และมันก็บวมแต่ด้วยความที่เราคิดว่าแม่ใช้แรงเยอะในการก้าวเดินทำให้ขาของแม่อาจจะบวมได้ หมอที่คลีนิกก็ถามแม่ และเค้าก็ตรวจร่างกายและก็รู้ว่าแม่เ็ป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ และก็ถามเรื่องขาที่บวมของแม่ แต่คุณหมอก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรมากนัก หลังจากนั้นคุณหมอก็บอกว่าแม่มีอาการของโรคอัมพฤกในระยะเริ่มแรก คือ ยังขยับมือได้ แต่ขาขยับได้นิดหน่อยแต่กระดิกนิ้วไม่ได้ หมอก็เลยบอกว่าจะทำการรักษาโดยการฉีดยาให้ ซึ่งต้องฉีดทั้งหมด 7 เข็มราคา 24,000 บาท เราก็ตกลง วันอาทิตย์เริ่มฉีดเข็มแรก จนผ่านมาถึงวันจันทร์ ขาแม่เราก็ยังบวมอยู่ แถมขาเป็นสีม่วงมากขึ้นกว่าเดิม และแม่เราก็เจ็บมากด้วยเวลาเราจับขาท่าน แม่เราเริ่มเคี้ยวอาหารไม่ได้ต้ิองกินแต่ข้าวต้ม พอวันอังคารเราให้สามีพาแม่ไปฉีดยาเข็มที่3 แต่เราบอกสามีว่าให้แม่พบหมอด้วยเพราะอาการไม่ดีขึ้น ซ้ำยังแย่ลงอีก พอไปถึงคลีนิค อันนี้สามีเราเล่าให้ฟังนะคะ สามีบอกว่าต้องเข้าไปเซ้าซี้หมอตั้งนานกว่าหมอจะยอมออกมาดู เพราะปกติเวลาฉีดยาหมอจะให้พยาบาลฉีดค่ะ ก็เลยต้องบอกหมอว่ามาดูแม่ให้หน่อย ขาแม่ทำไมเป็นแบบนี้ พอหมอเห็นเท่านั้นแหล่ะ รีบเขียนใบส่งตัวให้ไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดอย่างเร่ิงด่วน
พอไปถึงโรงพยาบาลประจำจังหวัด หมอที่นั่นบอกว่าอาการแบบนี้ไม่ได้เป็นอาการของคนที่เป็นอัมพฤก แต่เป็นอาการที่เลือดอุดตันไปเลี้ยงขาไม่ได้ ทำให้แม่เราไม่มีแรง และที่สำคัญเรามาช้าไป เรื่องมันเกิดตั้งแต่วันอาทิตย์ที่เราพาแม่ไปคลีนิค แต่แม่เราเพิ่งมาโรงพยาบาลวันอังคาร 3 วันมาแล้วมันช้าไป แม่เราต้องตัดขาทิ้ง เพราะหมอหาชีพจรข้างซ้ายตั้งแต่เอวลงไปของแม่เราไม่เจอ กล้ามเนื่อ หลอดเลือด เนื้อเยื่อแม่เรามันตายหมดแล้ว เราอิ้ง เราชา เราอธิบายไม่ถูกว่ามันรู้สึกยังไง เป็นเพราะเราหรือเปล่าที่ทำให้แม่ต้องเป็นอย่างนี้ เราสงสารแม่มาก ถ้าเราไปโรงพยาบาลตั้งแต่แรก ทุกอย่างมันอาจไม่เป็นอย่างนี้ แต่เราก็คุยกับหมอว่าเราพาแม่มาคลีนิคตั้งแต่วันอาทิตย์นะ ทำไมหมอที่นั่นไม่บอกเรา ทั้งๆ ที่เค้าก็ตรวจแม่เราอยู่ และยังวินิจฉัยว่าแม่เราเป็นอัมพฤกอีก อย่างนี้เราควรจะทำอย่างไรดีคะ จะฟ้องคลีนิคได้ไหม ตอนนี้เราสับสนไปหมดแล้วค่ะ แม่เราเพิ่งออกจากห้องผ่าตัดตอนตี 4 ตอนนี้ยังอยู่ห้องไอ ซี ยู อยู่ค่ะ ต้องตัดขาตั้งแต่เหนือหัวเข่า เราจะทำอย่างไรดีคะ ขอแท็กห้องสวนลุมด้วยนะคะ เผื่อจะมีคุณหมอมาตอบ
ขอบคุณพื้นที่แห่งนี้นะคะที่ทำให้เราได้ระบาย เมื่อคืนเราไม่ได้นอนทั้งคืนเลยค่ะ คิดสารพัด กลุ้มใจ ว่าทำไมเราต้องมาเจอเรื่องแบบนี้
ขอบคุณทุกๆ กำลังใจ ทุกๆ ความคิดเห็นนะคะ