ความไม่มีทุกข์เป็นอย่างไร?

ความทุกข์เป็น ความรู้สึกที่ทนได้ยาก หรือทนได้ลำบาก แต่เมื่อจิตไม่มีความทุกข์ ความรู้สึกที่ทนได้ยากก็จะไม่มี เมื่อไม่มีความรู้สึกที่ทนได้ยาก จิตจะมีเพียงความรู้สึกที่ทนได้ง่าย หรือทนได้สบาย ถ้าจะเปรียบ ความทุกข์ก็เหมือนกับความร้อนสูง ส่วนความไม่มีทุกข์ก็เหมือนกับความร้อนที่ต่ำ หรือความเย็น ซึ่งภาษาของทางพุทธศาสนาจะเรียกจิตที่ไม่มีความทุกข์ว่า นิพพาน ที่แปลว่า เย็น ซึ่งก็หมายถึงจิตที่เย็นเพราะไม่มีความทุกข์

จิตที่นิพพานจะมีความรู้สึก เย็น (ไม่เร่าร้อน), สงบ (ไม่ดิ้นรน), ปลอดโปร่ง (ไม่วุ่นวาย),  สดชื่น (ไม่ห่อเหี่ยว), แจ่มใส (ไม่ขุ่นมัว), เบา (ไม่หนัก), สบาย (ทนได้ง่าย).

สิ่งที่ต้องระวังก็คือ อย่าเข้าใจว่านิพพานเป็นความสุข เพราะความสุขคือความรู้สึกที่น่าพอใจ ที่ทำให้จิตเกิดความพอใจ (หรืออยากจะได้) ซึ่งความพอใจนี้จะทำให้จิตเกิดความรู้สึกเร่าร้อน, ดิ้นรน, กระวนกระวาย, ขุ่นมัว, หนัก, เหนื่อย, ทรมาน เป็นต้น ขึ้นมาด้วยเสมอ ซึ่งอาการเหล่านี้ก็คืออาการของความทุกข์ที่ซ่อนเร้น ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับความพอใจในความสุข

ถ้าจะเปรียบ ความทุกข์ก็เหมือนกับการที่เราถูกบังคับ (คือไม่อยากจะทำ) ให้แบกของหนักตากแดดที่ร้อน ส่วนความสุขก็เหมือนกับการที่เราพอใจ (คืออยากจะทำ) ที่จะแบกของหนักตากแดดที่ร้อนเหมือนกัน ส่วนนิพพานก็เหมือนกับการที่เราไม่ต้องแบกของหนักตากแดดที่ร้อน (คือไม่มีทั้งความอยากจะทำและไม่อยากจะทำ) แต่ได้พักผ่อนในที่ร่มและเย็นสบาย ซึ่งไม่ว่าเราจะพอใจหรือไม่พอใจในการที่ต้องแบกของหนักตากแดดที่ร้อนก็ตาม มันก็ให้ความรู้สึกที่หนักและร้อนเท่าๆกัน การได้พักผ่อนในที่ร่มและเย็นสบายจึงเป็นสิ่งที่ดีกว่าอย่างแน่นอน

นิพพานหรือความไม่มีทุกข์นี้ สรุปได้ ๒ ลักษณะ คือ นิพพานขั้นต้น กับ นิพพานสูงสุด โดยนิพพานขั้นต้นคือจิตที่เย็นไม่มาก ที่เกิดขึ้นอยู่แล้วเสมอๆในชีวิตประจำวันของเรา ขณะที่เรายังไม่มีความทุกข์ที่รุนแรง (จิตยังมีความทุกข์อย่างอ่อนๆอยู่) ซึ่งนิพพานขั้นต้นนี้มีประโยชน์แก่จิตใจของเราอย่างมาก เพราะมันได้ช่วยให้จิตใจของเราได้พักผ่อน ไม่เป็นบ้าจนตายเพราะถูกความทุกข์ที่รุนแรงแผดเผาอยู่ตลอดทั้งวัน เราจึงควรรู้จักคุณค่าของนิพพานขั้นต้นนี้ให้ถูกต้อง จะได้ไม่เนรคุณต่อนิพพาน และจะได้แสวงหานิพพานสูงสุดกันต่อไป

นิพพานสูงสุดก็คือความเย็นของจิตอย่างสูงสุด ที่เกิดขึ้นมาจากการที่จิตของเราไม่มีความทุกข์ใดๆเลยแม้เพียงเล็กน้อย ซึ่งนิพพานสูงสุดนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ ในบางครั้งที่จิตของเราสงบ ไม่ดิ้นรน เพราะไม่มีสิ่งภายนอกมากระตุ้นให้เกิดความทุกข์ใดๆ อย่างเช่น ช่วงเวลาที่ชีวิตยังไม่มีเรื่องที่รุนแรงภายนอกมากระตุ้น และเราได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ เช่น ป่า, เขา, ลำธาร, ทะเล, เป็นต้น จิตของเราก็จะสงบเย็นหรือนิพพานอย่างสูงสุดได้เองตามธรรมชาติ แต่ถ้าจิตของเรามีสมาธิอยู่บ้าง (จากการเคยฝึกมาก่อน) และมีปัญญา (คือความรอบรู้ว่า“แท้จริงมันไม่มีตัวเราอยู่จริง”) อยู่ด้วย จิตของเราก็จะนิพพานสูงสุดได้โดยง่าย

นิพพานทั้งอย่างขั้นต้นและอย่างสูงสุดนี้ สามารถเป็นได้ทั้งอย่างชั่วคราวและอย่างถาวร ซึ่งนิพพานชั่วคราวก็คืออาการที่จิตไม่มีความทุกข์เป็นบางครั้งบางคราว อย่างที่เป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา ซึ่งก็อาจเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ หรือเกิดขึ้นมาจากการปฏิบัติตามหลักอริยสัจ (คือสมาธิและปัญญา) ของพระพุทธเจ้าก็ได้ ส่วนนิพพานถาวรนั้นจะต้องมีการปฏิบัติตามหลักอริยสัจของพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งคัดและจริงจังอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ จิตของเราจึงจะนิพพานอย่างถาวรได้ (คือไม่มีความทุกข์ตลอดชีวิต) ซึ่งนิพพานสูงสุดและถาวรนี้เองที่เป็นจุดหมายสูงสุดของพุทธศาสนา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่