ตะลุยเวียดนาม เยือนถิ่นอาเซียนน
มีเรื่องราวดีๆจากการไปตะลุยอาเซียนของน้องๆทีม “ Xin-chao สวัสดีเวียดนาม” 1 ใน 15 ทีม จากโครงการท่องเที่ยวสร้างสรรค์ สัมผัสภูมิปัญญาอาเซียน (Backpack to ASEAN) รุ่นที่ 1 โดยมีน้องมะปราง (นางสาวขวัญชีวิน ไตรตอง) และน้องติ๊ดตี่ (นางสาวภนิตา นาควจิต) นักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ตัวแทนเพื่อนๆในทีมมาเล่าประสบการณ์ในการเดินทางครั้งนี้ ไปดูซิว่าอะไรทำให้พวกเขาตัดสินใจไปเวียดนาม และไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง หรือประทับใจอะไรเป็นพิเศษ เราไปฟังน้องๆเล่ากันเลย
“ เริ่มต้นคำทักทาด้วยภาษาเวียดนามกับคำว่า ซินจ่าว ( Xinchào ) ที่แปลว่า สวัสดี และก่อนจะเล่าถึงประสบการณ์ต่างแดน (ซึ่งก็ไม่ไกลจากบ้านเรามากนัก) ก็ขอพูดถึงข้อมูลพื้นฐานที่ควรรู้ไว้เกี่ยวกับประเทศเวียดนามพอสังเขป เผื่อมีใครถามจะได้มีข้อมูลไว้ตอบได้ไม่อายใคร
สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามมีเมืองหลวงคือ กรุงฮานอย ลักษณะภูมิประเทศคล้ายรูปตัว “S” ทอดตัวยาวไปตามแหลมอินโดจีน ทิศเหนือติดกับประเทศจีน ทิศใต้ติดกับทะเลจีนใต้ ทิศตะวันออกติดกับอ่าวตังเกี๋ยและทะเลจีนใต้ ส่วนทิศตะวันตกติดกับประเทศลาวและกัมพูชา เวียดนามมีจำนวนประชากร 92,477,857 คน (ค่าประมาณ เดือนกรกฏคม พ.ศ. 2556 ข้อมูลจาก ICSC ) ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 13 ของโลก และจากการสำรวจพบว่า ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 55 ศาสนาคริสตร์ร้อยละ 7 และศาสนาอื่นๆ อีกร้อยละ 38

ทำไมถึงตัดสินใจไปเวียดนาม ? เราได้ค้นคว้าหาข้อมูลและพบว่าเวียดนามเป็นประเทศที่มีเสน่ห์ไม่แพ้ชาติใดในอาเซียนเลย เพราะเวียดนามมีความโดดเด่นทั้งเรื่องของศิลปวัฒนธรรม อาหาร ชีวิตความเป็นอยู่ สถานที่ท่องเที่ยว รวมไปถึงภาษาเวียดนาม จากนั้นเราตัดสินใจเลือกไปเวียดนามตอนกลางถึง3เมืองด้วยกัน นั่นคือ เว้ ดานัง และฮอยอัน
การเดินทางก็ไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ แต่อาจจะใช้เวลานานสักหน่อย เนื่องจากเราเดินทางโดยรถทัวร์แทนการนั่งเครื่องบิน เพราะการนั่งรถทัวร์มีราคาถูกกว่าและยังได้ชมทิวทัศน์ระหว่างทางไปด้วยถึงสามประเทศนั่นคือ ประเทศไทย ประเทศลาว และประเทศเวียดนามค่ะ เส้นทางที่เราเลือกไปคือ เดินทางไปยังจังหวัดมุกดาหารเข้าสู่ประเทศลาวที่จังหวัดสะหวันเขต และต่อไปยังเมืองเว้ประเทศเวียดนาม รวมระยะเวลาจากกรุงเทพฯ ถึงเวียดนาม บนรถทัวร์ประมาณ 23 ชม.ค่ะ (นั่งกันจนเมื่อยขากันเลยค่ะ) แนะนำให้ผู้ที่สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง หรือมีผู้สูงอายุมาด้วยหยุดพักที่จังหวัดสะหวันเขต ประเทศลาวสักหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อ หรืออีกวิธีคือ เปลี่ยนโดยการนั่งเครื่องบินแทนรถทัวร์จะดีกว่าค่ะ
เราได้เจอกับพี่ชวนซึ่งเป็นคนเวียดนามและเคยเรียนมหาวิทยาลัยที่จังหวัดลำปางค่ะ เราได้รับคำแนะนำหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ที่พัก อาหารการกิน และเขายังให้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อไว้อีกด้วย ทำให้เพื่อนๆในกลุ่มรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลย
เว้ คือเมืองแรกของเวียดนามที่เราไปถึง เรียกได้ว่าเป็นเมืองท่าของประเทศเวียดนามทางตอนกลางก็ว่าได้ค่ะเพราะที่นี่เป็นแหล่งรวมของ การส่ง – ออกสินค้า และมีความเจริญเทียบเท่ากับเมืองใหญ่ๆบ้านเราเลยค่ะ มาถึงเว้ประมาณ 3 ทุ่มวางกระเป๋าที่ โรงแรม NHAT NAM ที่พี่ชวนแนะนำมาเราจองห้องพัก 2 ห้องราคา 22 $ ตกราคาประมาณห้องละ 358 บาทต่อหนึ่งคืน ด้านในห้องมีเตียงคู่ 2 เตียง และเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน





สถานที่ท่องเที่ยวที่เราไปเยี่ยมชมแห่งแรกก็คือ พระราชวังเว้ (Imperial City) สถานที่แห่งนี้นับเป็นหัวใจสำคัญของเมืองมาหลายยุคหลายสมัย และในปัจจุบันพระราชวังได้กลายสภาพจากศูนย์กลางราชอาณาจักรไปเป็นใจกลางของการท่องเที่ยวในฐานะ 1ใน 3 ของมรดกโลกในเวียดนามด้วยค่ะ

หลังจากนั้นเราปั่นจักรยานต่อไปยัง วัดเทียนมู่(Tien Mu) วัดแห่งนี้เป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนานิกายเซน จุดเด่นที่สุดของวัดแห่งนี้คือ เจดีย์ทรงเก๋ง 8 เหลี่ยมสูงลดหลั่นกัน 7 ชั้น แต่ละชั้นเป็นตัวแทนของชาติภพต่างๆของพระพุทธเจ้า ที่นี่เราได้พบกับรุ่นน้องนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเว้ด้วยค่ะ น้องทุกคนน่ารักและเป็นกันเองมาก ตกเย็นเราก็ปั่นจักรยานแวะหาร้านอาหารทานกัน เมนูเย็นวันนั้นเรียกว่า เฝอ คือก๋วยเตี๋ยวเวียดนามแต่น้ำซุปจะใสกว่าบ้านเราส่วนรสชาติอร่อยกลมกล่อมดีค่ะ


วันต่อมา เราก็เริ่มออกเดินทางไปยังเมืองฮอยอันโดยจะผ่านเมืองดานังและตั้งใจว่าถ้าเป็นไปได้ขากลับจะแวะเมืองดานังค่ะเราออกเดินทางจากเว้ ประมาณ 8โมงเช้า และมาถึงฮอยอัน ประมาณบ่าย 3 ค่ะ โรงแรมที่นี่ราคาห้องพักอยู่ที่ประมาณคืนละ 26$ หรือ 700 บาทขึ้นไปต่อหนึ่งห้องค่ะ ราคาห้องพักที่นี่ค่อนข้างจะสูงกว่าที่เว้ เพราะที่นี่เป็นเมืองท่องเที่ยวและมีชาวต่างชาติเข้ามาเป็นจำนวนมากค่ะ






เช้าของวันที่ 5 เราเดินทางไปยัง Ancient House ซึ่งเป็นบ้านไม้โบราณที่รวมประวัติ และวัฒนธรรมเก่าๆของเมืองฮอยอันไว้ ด้านในจำหน่ายขนมและสินค้าพื้นเมืองที่น่าสนใจ เรามีโอกาสฝากปลายปากกาลงบนสมุดแสดงความประทับใจกับการมาเยือนเมืองฮอยอันไว้ด้วยค่ะ และไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายว่าเราคือ กลุ่มนักเดินทางจากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ค่ะ




จากนั้นเราขึ้นรถกลับไปยังเว้ และพักที่เว้อีกหนึ่งคืน ก่อนจะเดินทางกลับในวันที่ 6 เพื่อต่อไปยังสะหวันเขตประเทศลาวเพื่อขึ้นรถต่อไปยังจังหวัดมุกดาหาร ในเวลา 1 ทุ่มตรง แต่ในวันนั้น ก็มีเหตุการณ์ให้พวกเราพลาดรถทัวร์ จึงต้องหยุดพักที่สหวันเขตอีกหนึ่งคืน ค่ำวันนั้นหลังจากวางกระเป๋าไว้ที่พักแล้วเราก็เดินเท้าไปยัง Lao-ITECC ศูนย์การค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศลาวอีกด้วย
วันที่ 7 วันสุดท้ายของการเดินทางกลับเข้าสู่ประเทศไทย ก่อนออกเดินทางเราแวะซื้อข้าวจี่อาหารเช้าของคนลาว ซึ่งทำมาจาก ขนมปัง Baguette ที่ได้รับอิทธิพลจากประเทศฝรั่งเศส ตรงกลางมีเนื้อสัตว์และผักราดด้วยซอสปรุงรส จากนั้นเราก็ตีตั๋วกลับกรุงเทพฯ ระหว่างทางพวกเราก็อัพโหลดและแชร์รูปภาพลงบนเฟสบุ๊ค และก็นอนหลับบนรถด้วยความเหนื่อยปนสนุกรู้สึกตัวอีกทีก็ถึงกรุงเทพฯประมาณ 4 ทุ่มก่อนแยกย้ายกันกลับบ้านค่ะ ”
น้องมะปรางและน้องติ๊ดตี่ตัวแทนกลุ่มยังได้ฝากถึงทุกคนว่า “การเดินทางครั้งนี้ นอกจากจะได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ จากการเดินทางไปยังประเทศเวียดนาม แล้วพวกเขายังได้นำความรู้ที่ได้เรียนมาไปใช้ในการสื่อสารเมื่อต้องอาศัยอยู่ต่างประเทศ เช่น ทักษะการถ่ายภาพ ภาษาอังกฤษ และภาษาลาว เป็นต้น ที่สำคัญเรายังได้รู้จักกับชาวบ้านในเมืองต่างๆ ที่ได้เดินทางผ่านไป ซึ่งหากใครมีโอกาส ก็อยากให้ลองเดินทางไปซักครั้ง เพราะหากมัวแต่นั่งอยู่เฉยๆ ก็จะไม่รู้อะไรเลย แต่หากลองก้าวไปสัมผัสเราจะได้รู้และสามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันของเราเอง อีกทั้งการก้าวเข้าสู่อาเซียนในเวลาอันใกล้นี้ หมดเวลาแล้วที่จะมาตั้งคำถามว่าทำไม ทำไมถึงต้องเข้าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน แต่มันถึงเวลาที่เราต้องเตรียมตัวกันมากกว่า ”
ค่ารถ โดยสาร ในการเดินทางไปเวียดนามครั้งนี้
กทม-มุกดาหาร 620 บาท
มุกดาหาร-สวันเขต 40 บาท
สวันเขต-เวียดนาม 440 บาท
เว้-ฮอยอัน 160 บาท
ตะลุยเวียดนาม เยือนถิ่นอาเซียน
มีเรื่องราวดีๆจากการไปตะลุยอาเซียนของน้องๆทีม “ Xin-chao สวัสดีเวียดนาม” 1 ใน 15 ทีม จากโครงการท่องเที่ยวสร้างสรรค์ สัมผัสภูมิปัญญาอาเซียน (Backpack to ASEAN) รุ่นที่ 1 โดยมีน้องมะปราง (นางสาวขวัญชีวิน ไตรตอง) และน้องติ๊ดตี่ (นางสาวภนิตา นาควจิต) นักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ตัวแทนเพื่อนๆในทีมมาเล่าประสบการณ์ในการเดินทางครั้งนี้ ไปดูซิว่าอะไรทำให้พวกเขาตัดสินใจไปเวียดนาม และไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง หรือประทับใจอะไรเป็นพิเศษ เราไปฟังน้องๆเล่ากันเลย
“ เริ่มต้นคำทักทาด้วยภาษาเวียดนามกับคำว่า ซินจ่าว ( Xinchào ) ที่แปลว่า สวัสดี และก่อนจะเล่าถึงประสบการณ์ต่างแดน (ซึ่งก็ไม่ไกลจากบ้านเรามากนัก) ก็ขอพูดถึงข้อมูลพื้นฐานที่ควรรู้ไว้เกี่ยวกับประเทศเวียดนามพอสังเขป เผื่อมีใครถามจะได้มีข้อมูลไว้ตอบได้ไม่อายใคร
สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามมีเมืองหลวงคือ กรุงฮานอย ลักษณะภูมิประเทศคล้ายรูปตัว “S” ทอดตัวยาวไปตามแหลมอินโดจีน ทิศเหนือติดกับประเทศจีน ทิศใต้ติดกับทะเลจีนใต้ ทิศตะวันออกติดกับอ่าวตังเกี๋ยและทะเลจีนใต้ ส่วนทิศตะวันตกติดกับประเทศลาวและกัมพูชา เวียดนามมีจำนวนประชากร 92,477,857 คน (ค่าประมาณ เดือนกรกฏคม พ.ศ. 2556 ข้อมูลจาก ICSC ) ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 13 ของโลก และจากการสำรวจพบว่า ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 55 ศาสนาคริสตร์ร้อยละ 7 และศาสนาอื่นๆ อีกร้อยละ 38
ทำไมถึงตัดสินใจไปเวียดนาม ? เราได้ค้นคว้าหาข้อมูลและพบว่าเวียดนามเป็นประเทศที่มีเสน่ห์ไม่แพ้ชาติใดในอาเซียนเลย เพราะเวียดนามมีความโดดเด่นทั้งเรื่องของศิลปวัฒนธรรม อาหาร ชีวิตความเป็นอยู่ สถานที่ท่องเที่ยว รวมไปถึงภาษาเวียดนาม จากนั้นเราตัดสินใจเลือกไปเวียดนามตอนกลางถึง3เมืองด้วยกัน นั่นคือ เว้ ดานัง และฮอยอัน
การเดินทางก็ไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ แต่อาจจะใช้เวลานานสักหน่อย เนื่องจากเราเดินทางโดยรถทัวร์แทนการนั่งเครื่องบิน เพราะการนั่งรถทัวร์มีราคาถูกกว่าและยังได้ชมทิวทัศน์ระหว่างทางไปด้วยถึงสามประเทศนั่นคือ ประเทศไทย ประเทศลาว และประเทศเวียดนามค่ะ เส้นทางที่เราเลือกไปคือ เดินทางไปยังจังหวัดมุกดาหารเข้าสู่ประเทศลาวที่จังหวัดสะหวันเขต และต่อไปยังเมืองเว้ประเทศเวียดนาม รวมระยะเวลาจากกรุงเทพฯ ถึงเวียดนาม บนรถทัวร์ประมาณ 23 ชม.ค่ะ (นั่งกันจนเมื่อยขากันเลยค่ะ) แนะนำให้ผู้ที่สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง หรือมีผู้สูงอายุมาด้วยหยุดพักที่จังหวัดสะหวันเขต ประเทศลาวสักหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อ หรืออีกวิธีคือ เปลี่ยนโดยการนั่งเครื่องบินแทนรถทัวร์จะดีกว่าค่ะ
เราได้เจอกับพี่ชวนซึ่งเป็นคนเวียดนามและเคยเรียนมหาวิทยาลัยที่จังหวัดลำปางค่ะ เราได้รับคำแนะนำหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ที่พัก อาหารการกิน และเขายังให้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อไว้อีกด้วย ทำให้เพื่อนๆในกลุ่มรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลย
เว้ คือเมืองแรกของเวียดนามที่เราไปถึง เรียกได้ว่าเป็นเมืองท่าของประเทศเวียดนามทางตอนกลางก็ว่าได้ค่ะเพราะที่นี่เป็นแหล่งรวมของ การส่ง – ออกสินค้า และมีความเจริญเทียบเท่ากับเมืองใหญ่ๆบ้านเราเลยค่ะ มาถึงเว้ประมาณ 3 ทุ่มวางกระเป๋าที่ โรงแรม NHAT NAM ที่พี่ชวนแนะนำมาเราจองห้องพัก 2 ห้องราคา 22 $ ตกราคาประมาณห้องละ 358 บาทต่อหนึ่งคืน ด้านในห้องมีเตียงคู่ 2 เตียง และเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน
สถานที่ท่องเที่ยวที่เราไปเยี่ยมชมแห่งแรกก็คือ พระราชวังเว้ (Imperial City) สถานที่แห่งนี้นับเป็นหัวใจสำคัญของเมืองมาหลายยุคหลายสมัย และในปัจจุบันพระราชวังได้กลายสภาพจากศูนย์กลางราชอาณาจักรไปเป็นใจกลางของการท่องเที่ยวในฐานะ 1ใน 3 ของมรดกโลกในเวียดนามด้วยค่ะ
หลังจากนั้นเราปั่นจักรยานต่อไปยัง วัดเทียนมู่(Tien Mu) วัดแห่งนี้เป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนานิกายเซน จุดเด่นที่สุดของวัดแห่งนี้คือ เจดีย์ทรงเก๋ง 8 เหลี่ยมสูงลดหลั่นกัน 7 ชั้น แต่ละชั้นเป็นตัวแทนของชาติภพต่างๆของพระพุทธเจ้า ที่นี่เราได้พบกับรุ่นน้องนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเว้ด้วยค่ะ น้องทุกคนน่ารักและเป็นกันเองมาก ตกเย็นเราก็ปั่นจักรยานแวะหาร้านอาหารทานกัน เมนูเย็นวันนั้นเรียกว่า เฝอ คือก๋วยเตี๋ยวเวียดนามแต่น้ำซุปจะใสกว่าบ้านเราส่วนรสชาติอร่อยกลมกล่อมดีค่ะ
วันต่อมา เราก็เริ่มออกเดินทางไปยังเมืองฮอยอันโดยจะผ่านเมืองดานังและตั้งใจว่าถ้าเป็นไปได้ขากลับจะแวะเมืองดานังค่ะเราออกเดินทางจากเว้ ประมาณ 8โมงเช้า และมาถึงฮอยอัน ประมาณบ่าย 3 ค่ะ โรงแรมที่นี่ราคาห้องพักอยู่ที่ประมาณคืนละ 26$ หรือ 700 บาทขึ้นไปต่อหนึ่งห้องค่ะ ราคาห้องพักที่นี่ค่อนข้างจะสูงกว่าที่เว้ เพราะที่นี่เป็นเมืองท่องเที่ยวและมีชาวต่างชาติเข้ามาเป็นจำนวนมากค่ะ
เช้าของวันที่ 5 เราเดินทางไปยัง Ancient House ซึ่งเป็นบ้านไม้โบราณที่รวมประวัติ และวัฒนธรรมเก่าๆของเมืองฮอยอันไว้ ด้านในจำหน่ายขนมและสินค้าพื้นเมืองที่น่าสนใจ เรามีโอกาสฝากปลายปากกาลงบนสมุดแสดงความประทับใจกับการมาเยือนเมืองฮอยอันไว้ด้วยค่ะ และไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายว่าเราคือ กลุ่มนักเดินทางจากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ค่ะ
จากนั้นเราขึ้นรถกลับไปยังเว้ และพักที่เว้อีกหนึ่งคืน ก่อนจะเดินทางกลับในวันที่ 6 เพื่อต่อไปยังสะหวันเขตประเทศลาวเพื่อขึ้นรถต่อไปยังจังหวัดมุกดาหาร ในเวลา 1 ทุ่มตรง แต่ในวันนั้น ก็มีเหตุการณ์ให้พวกเราพลาดรถทัวร์ จึงต้องหยุดพักที่สหวันเขตอีกหนึ่งคืน ค่ำวันนั้นหลังจากวางกระเป๋าไว้ที่พักแล้วเราก็เดินเท้าไปยัง Lao-ITECC ศูนย์การค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศลาวอีกด้วย
วันที่ 7 วันสุดท้ายของการเดินทางกลับเข้าสู่ประเทศไทย ก่อนออกเดินทางเราแวะซื้อข้าวจี่อาหารเช้าของคนลาว ซึ่งทำมาจาก ขนมปัง Baguette ที่ได้รับอิทธิพลจากประเทศฝรั่งเศส ตรงกลางมีเนื้อสัตว์และผักราดด้วยซอสปรุงรส จากนั้นเราก็ตีตั๋วกลับกรุงเทพฯ ระหว่างทางพวกเราก็อัพโหลดและแชร์รูปภาพลงบนเฟสบุ๊ค และก็นอนหลับบนรถด้วยความเหนื่อยปนสนุกรู้สึกตัวอีกทีก็ถึงกรุงเทพฯประมาณ 4 ทุ่มก่อนแยกย้ายกันกลับบ้านค่ะ ”
น้องมะปรางและน้องติ๊ดตี่ตัวแทนกลุ่มยังได้ฝากถึงทุกคนว่า “การเดินทางครั้งนี้ นอกจากจะได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ จากการเดินทางไปยังประเทศเวียดนาม แล้วพวกเขายังได้นำความรู้ที่ได้เรียนมาไปใช้ในการสื่อสารเมื่อต้องอาศัยอยู่ต่างประเทศ เช่น ทักษะการถ่ายภาพ ภาษาอังกฤษ และภาษาลาว เป็นต้น ที่สำคัญเรายังได้รู้จักกับชาวบ้านในเมืองต่างๆ ที่ได้เดินทางผ่านไป ซึ่งหากใครมีโอกาส ก็อยากให้ลองเดินทางไปซักครั้ง เพราะหากมัวแต่นั่งอยู่เฉยๆ ก็จะไม่รู้อะไรเลย แต่หากลองก้าวไปสัมผัสเราจะได้รู้และสามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันของเราเอง อีกทั้งการก้าวเข้าสู่อาเซียนในเวลาอันใกล้นี้ หมดเวลาแล้วที่จะมาตั้งคำถามว่าทำไม ทำไมถึงต้องเข้าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน แต่มันถึงเวลาที่เราต้องเตรียมตัวกันมากกว่า ”
ค่ารถ โดยสาร ในการเดินทางไปเวียดนามครั้งนี้
กทม-มุกดาหาร 620 บาท
มุกดาหาร-สวันเขต 40 บาท
สวันเขต-เวียดนาม 440 บาท
เว้-ฮอยอัน 160 บาท