คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 9
ความเห็นที่ 6-7-8
เข้าใจผิดแล้วครับ มันไม่ใช่ IB แบบทั่วไป พวกคุณเอามาทำเป็นแผนการตลาดแบบลูกโซ่ / MLM กับคนไทยแบบนี้ พวกคุณผิดอาญาชัดเจนครับ
ไปศึกษาพระราชบัญญัติการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน มาให้ละเอียดก่อนดีกว่าครับ
และผมไปคุยกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจมาแล้วครับ
เข้าข่ายชัดเจน ตอนนี้กำลังสืบสวนอยู่ ระวังไว้ให้ดีครับ
เข้าใจผิดแล้วครับ มันไม่ใช่ IB แบบทั่วไป พวกคุณเอามาทำเป็นแผนการตลาดแบบลูกโซ่ / MLM กับคนไทยแบบนี้ พวกคุณผิดอาญาชัดเจนครับ
ไปศึกษาพระราชบัญญัติการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน มาให้ละเอียดก่อนดีกว่าครับ
และผมไปคุยกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจมาแล้วครับ
เข้าข่ายชัดเจน ตอนนี้กำลังสืบสวนอยู่ ระวังไว้ให้ดีครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 30
อันที่จริงดิฉันเอง ก็เป็นคนนึง ที่มีการลงทุนไปกับ ODFX นะค่ะ โดยการตัดสินใจลงทุนของดิฉันเองนั้น เกิดจากความอยากลองค่ะ หลังจากที่ได้รับฟังข้อมูล และบรรดาผู้บริหารของ ODFX และ NZ financial มาอธิบายให้ฟัง และก็รู้สึกว่า อยากจะทำการตลาด โดยการแนะนำตั้งแต่ตอนนั้น แต่ลึกๆในใจแล้ว ดิฉันเองก็เป็นกังวล และสับสนมากๆว่า นี่จะเป็นการหลอกลวง หรือ จะเป็นไปได้นานสักแค่ไหน เพราะหากดิฉันต้องการจะแนะนำจริงๆแล้วนั้น ดิฉันเองจะต้องค่อนข้างมั่นใจมากๆ ว่าจะอยู่ได้อย่างยาวนาน และไม่มีวันปิดตัวลงไป
ถึงแม้ว่าดิฉันเองจะมีการลงทุนไปแล้วก็ตาม แต่ละเดือน จะได้รับประกาศปันผลในทุกๆเดือน แต่ทั้งนี้ ในข้อสงสัย ก็ยังมีอยู่หลายประการจนถึง ณ ตอนนี้ นั่นคือ
1. NZ Financial นั้น เป็นโบรกเกอร์ ที่ย้ายมาจดทะเบียนที่ฮ่องกง และ สิงคโปร์ แต่ใน นิวซีแลนด์ ถูกเพิกถอนทะเบียนไป (ตรงนี้ เข้าใจค่ะ สมเหตุสมผลอยู่) แต่ว่า ในขณะเดียวกัน กลับเป็นโบรกเกอร์ที่ไม่มีเอกสารการจดทะเบียนอย่างชัดเจนในการทำธุรกรรมของประเทศนั้นๆ มาให้ดิฉันทราบเลย (คือว่าดิฉันเอง ก็อยู่ในวงการนี่มาพอสมควร) อย่างเช่น ถ้าเป็นฝั่งยุโรป เค้าก็จะต้องมี FSA (Financial Services Authority), CIF (Cypriot Investment Firm), CySEC (Cypriot Securities & Exchange Commission) , MiFID (Markets in Financual Instruments Directive) และที่ค่อนข้างเข้มงวดเลย คือประเทศออสเตรเลีย ทุกโบรกเกอร์ที่เข้าไปทำตลาด หรือรับรองได้ ต้องผ่าน ASIC
ทั้งนี้ ดิฉันพยายามหาข้อมูลเหล่านี้ อาจไม่จำเป็นต้องเป็นเอกสารการจดทะเบียนที่เหมือนกันในการรับรอง ที่กล่าวมานี้ก็ได้ เพราะเห็นว่าจดทะเบียนที่ฮ่องกง และสิงคโปร์ ดังนั้น เอกสารกำกับหลักทรัพย์เหล่านี้ จึงไม่มีการขึ้นทะเบียนให้ดิฉันเห็นเลยค่ะ
2. ทางโบรกเกอร์พยายามสื่อการตลาดโดยใช้ประเด็นของ แผนที่จะเข้าสุ่ตลาดหลักทรัพย์ให้ได้ใน 5-6 ปี นั่นคือ โบรกเกอร์ที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้นั้น ต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย 2 ประการคือ
2.1 จำนวน Account นักลงทุนที่ Active 300,000 บัญชีขึ้นไป
2.2 ยอดเงินหมุนเวียนมากกว่า 650 ล้านเหรียญ
และแน่นอนว่า ในการอ้างอิงนี้ ทางโบรก NZ เองนั้น กล่าวว่า มีกลุ่มผู้ผลักดันให้โบรกเกอร์นึงเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์มาได้แล้วนั่นคือ FXCM แต่ทั้งนี้ เมื่อดิฉันถามไปว่าเป็นใครบ้าง เค้ากลับไม่ยอมตอบ หรือไม่สามารถบอกได้นั่นเอง เพราะกล่าวว่าเป็นความลับ (ทั้งๆที่ จุดนี้ เป็นเรื่องราวสำคัญ ยิ่งเป็นกรณีเรื่องของการเงิน การลงทุนด้วยแล้วนั้น ย่อมควรจะบอกอย่างละเอียด และเปิดเผย ปกปิดข้อมูลไม่ได้ จริงไหมค่ะ)
อย่างเช่น กรณี การเป็น IB ของ ODFX ไปโดยอัตโนมัตินั้น จากการที่ได้เปิดบัญชีและลงทุนไป ก็ย่อมควรทีจะได้รับรู้ข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมด (เพราะ IB นั้น หมายถึง การเป็นหุ้นส่วนร่วมกันกับโบรกเกอร์ และแน่นอน ทุกโบรกเกอร์เอง ก็ล้วนเปิดเผยข้อมูลให้ได้โดยทั้งสิ้น)
เพราะฉะนั้น ในกรณี IPO หรือ การมีหุ้น CPS ถืออยู่นั้น มันก็เป็นเอกสารที่ออกรับรองโดยทางโบรกเกอร์ NZ หรือ ODFX เท่านั้น ที่ออกให้ไว้เพื่อรับรองว่า เรามี CPS อยู่จริง ซึ่งมันอาจจะเป็นจุดขายได้ เพื่อทำให้โบรกเกอร์ไปถึงฝั่งนั่นเอง
3. การจ่ายผลตอบแทน หรือ Commission นั้น เป็นเสมือนผลประโยชน์ที่ทุกๆคน เป็น IB แน่นอนว่า ทุกโบรกเกอร์จะมีโปรแกรมนี้ อย่าง Exness ก็อาจมีการจ่ายเป็น Level เหมือนกัน และโบรกอื่น บางโบรก ก็เช่นกัน แต่ทั้งนี้ เป็นส่วนที่มีความสมเหตุสมผลนะ
ไม่เหมือนเช่นกรณีของ ODFX นี้ ที่ ดิฉันวิเคราะห์ตามนี้
3.1. จ่าย 10% จากยอดเงินของนักลงทุน ที่เราชวนฝาก หรือค่าแนะนำนั่นแหละค่ะ เช่น ดิฉันชวนนาย A ฝากเงิน 10,000$ ดิฉันได้เงิน 1,000$ มันน่าแปลกตรงที่ เค้าเอาตรงไหนมาจ่ายค่ะ (จริงอยู่ที่ว่า เงินนาย A นี้ จะไม่สามารถถอนออกได้ 6 เดือนเป็นอย่างน้อย และถ้าถอนออกก่อน ก็จะได้รับไม่เต็มจำนวน) เพราะใน บัญชี MT4 ของ NZ นั้น เราจะได้รับเป็นรุปแบบ ยอดเงิน ใน Credit นั่นคือ โบรกเกอร์ได้เงินสดเราไปลงทุนสารพัด แต่นาย A นั้น จะได้เหมือนเฉกเช่น โบนัส 100% ที่เข้ามาในรูปแบบของ Credit Mt4 (แน่นอนว่า Credit เหล่านี้ จะมีสัญญาการถือครองที่ 6 เดือน แทบทุกโบรกจะเหมือนกัน) ในขณะที่โบรกเกอร์อื่น เราจะได้เงินเข้า balance เลย ถ้าโบรกนั้นมี โบนัส บางโบรกก็อาจจะเข้าให้เพิ่มที่โหมด Credit
ดังนั้น หากจะมองว่า เงิน 10,000$ นี้ ที่นาย A ลงทุนไป คือโบรกเกอร์เอาเงินไปบริหาร แล้วให้เงินเรามาใน Credit เพื่อเทรดที่ 10,000$ หรือมากกว่า เทรดได้กำไร ก็สามารถถอนออกได้ มันก็แฟร์อยู่ค่ะ และทั้งนี้ นาย A จะได้รับปันผลตามประกาศ แต่ละเดือน ซึ่งสิ่งที่น่าสังเกต อย่างนึง ก็คือว่า เดือนไหน เหมือนคนฝากเงินมาก โบรกเกอร์ ก็ประกาศจ่ายตัวเลขเยอะหน่อย เดือนไหนไม่ค่อยมาก ก็จ่ายน้อยหน่อย แต่ช่วงหลายเดือนมานี้ จะอยู่ราวๆ 5-6% ต่อเดือน แต่ว่า โบรกได้เงินสดเราไปแล้วเท่าไหร่หล่ะ?
และแน่นอนว่า ถ้าเป็นการอ้างอิงสัญญาข้อพิพาทจริงๆ หากเกิดอะไรขึ้น เงิน 10,000$ นี้ในรุปแบบ Credit เราจะไม่สามารถร้องเรียกอะไรได้เลย นั่นคือ ความเสี่ยงเราคือ 6 เดือนขั้นต่ำค่ะ เรียกว่า เสี่ยง สูญ
ฉะนั้น จึงคงเป้นเหตุผลว่า หลายคนเมื่อลงทุนไปแล้วอยากได้เงินลงทุนตัวเองคืน จึงต้องชักจูง คนใหม่ หรือแนะนำให้เค้าลงทุนนั่นเอง และ อัพเกรดเงินลงทุน จึงจะได้ค่าแนะนำ 10% ทั้งนั้นยังไม่พอ ยังมีสายบาลานซ์ ซ้าย และขวา อีก โดยคิดให้อีก 10%
คิดในใจค่ะ (โบรกเกอร์นี้ จ่ายให้เยอะจริง) แต่ดิฉันไม่กล้าทำบาป กับนักลงทุนรายใหม่ด้วยวิธีการนี้เลย ถ้าจะบอกว่าแนวคิดดิฉันไม่ดี ก็ย่อมได้ เพียงแต่ดิฉัน คิดว่า ดิฉันไม่ต้องการบอกใคร ในขณะที่ข้อมูลมันไม่เคลียร์เต็มๆ หรือเคลียร์แล้ว แต่มันไม่สมเหตุสมผลในระยะยาวอยู่ดี เพราะสุดท้ายแล้ว หากมันเกิดเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นจริงๆนั้น ความผิดพลาดทั้งหมด จะถูกโยนมาที่ดิฉันทันที เพราะดิฉันเป็นผู้แนะนำ
แต่ในเวลานี้ หลายคนเชื่อ และมุ่งมั่น เพราะเหตุผลเดียวค่ะ คือทำ แนะนำ แล้วได้ตังก์อยู่ จ่ายตลอดอยู่ ดิฉันก็ยังได้รับปันผลทุกเดือนอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ว่า ดิฉันก็ยังคลางใจแบบนี้ อยู่ดีค่ะ (คือมันอาจจะเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวน่ะค่ะ เพราะทุกครั้งที่ดิฉันตัดสินใจลงทุน มันมี 2 ประการค่ะ คืออยากลอง กับ จริงจัง มุ่งมั่น) และถ้าเป็นอยากลองนั้น ดิฉันไม่เคยพลาดการคาดเดาอนาคตเลย แต่ถ้าเป็น จริงจัง มุ่งมั่น นั้น คือโตยาวนานทุกที่ค่ะ หมายถึงว่า ถึงแม้ว่า ตัวดิฉันจะไม่เติบโต แต่อย่างไรแล้ว บริษัทนั้น โบรกเกอร์นั้น ไม่เคยมีการปิดตัวลง แต่เติบโตต่อเนื่องนั่นเองค่ะ
หรือครั้งนี้ ดิฉันอาจคาดเดาผิด สำหรับ NZ ก็ได้นะค่ะ เพียงแต่ว่า ดิฉันคิดว่า ต้องดูไปนานๆค่ะ และในการที่ดิฉันกำลังดูอยู่นี้ หลายคนที่ทำอยู่ ก็อาจจับเงินล้านไปแล้วค่ะ ในขณะที่อีกหลายๆๆๆๆๆๆคน นั่นก็กำลังเข้าสู่จุดเริ่มต้นของความเสี่ยงในการลงทุนสูญ 6 เดือนอยู่ค่ะ (เน้นนะค่ะ ว่าแค่ความเสี่ยงเท่านั้น ไม่ได้สูญจริง)
มีอีกหลายข้อค่ะ ไว้ว่างๆจะมาต่อให้นะค่ะ
ถึงแม้ว่าดิฉันเองจะมีการลงทุนไปแล้วก็ตาม แต่ละเดือน จะได้รับประกาศปันผลในทุกๆเดือน แต่ทั้งนี้ ในข้อสงสัย ก็ยังมีอยู่หลายประการจนถึง ณ ตอนนี้ นั่นคือ
1. NZ Financial นั้น เป็นโบรกเกอร์ ที่ย้ายมาจดทะเบียนที่ฮ่องกง และ สิงคโปร์ แต่ใน นิวซีแลนด์ ถูกเพิกถอนทะเบียนไป (ตรงนี้ เข้าใจค่ะ สมเหตุสมผลอยู่) แต่ว่า ในขณะเดียวกัน กลับเป็นโบรกเกอร์ที่ไม่มีเอกสารการจดทะเบียนอย่างชัดเจนในการทำธุรกรรมของประเทศนั้นๆ มาให้ดิฉันทราบเลย (คือว่าดิฉันเอง ก็อยู่ในวงการนี่มาพอสมควร) อย่างเช่น ถ้าเป็นฝั่งยุโรป เค้าก็จะต้องมี FSA (Financial Services Authority), CIF (Cypriot Investment Firm), CySEC (Cypriot Securities & Exchange Commission) , MiFID (Markets in Financual Instruments Directive) และที่ค่อนข้างเข้มงวดเลย คือประเทศออสเตรเลีย ทุกโบรกเกอร์ที่เข้าไปทำตลาด หรือรับรองได้ ต้องผ่าน ASIC
ทั้งนี้ ดิฉันพยายามหาข้อมูลเหล่านี้ อาจไม่จำเป็นต้องเป็นเอกสารการจดทะเบียนที่เหมือนกันในการรับรอง ที่กล่าวมานี้ก็ได้ เพราะเห็นว่าจดทะเบียนที่ฮ่องกง และสิงคโปร์ ดังนั้น เอกสารกำกับหลักทรัพย์เหล่านี้ จึงไม่มีการขึ้นทะเบียนให้ดิฉันเห็นเลยค่ะ
2. ทางโบรกเกอร์พยายามสื่อการตลาดโดยใช้ประเด็นของ แผนที่จะเข้าสุ่ตลาดหลักทรัพย์ให้ได้ใน 5-6 ปี นั่นคือ โบรกเกอร์ที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้นั้น ต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย 2 ประการคือ
2.1 จำนวน Account นักลงทุนที่ Active 300,000 บัญชีขึ้นไป
2.2 ยอดเงินหมุนเวียนมากกว่า 650 ล้านเหรียญ
และแน่นอนว่า ในการอ้างอิงนี้ ทางโบรก NZ เองนั้น กล่าวว่า มีกลุ่มผู้ผลักดันให้โบรกเกอร์นึงเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์มาได้แล้วนั่นคือ FXCM แต่ทั้งนี้ เมื่อดิฉันถามไปว่าเป็นใครบ้าง เค้ากลับไม่ยอมตอบ หรือไม่สามารถบอกได้นั่นเอง เพราะกล่าวว่าเป็นความลับ (ทั้งๆที่ จุดนี้ เป็นเรื่องราวสำคัญ ยิ่งเป็นกรณีเรื่องของการเงิน การลงทุนด้วยแล้วนั้น ย่อมควรจะบอกอย่างละเอียด และเปิดเผย ปกปิดข้อมูลไม่ได้ จริงไหมค่ะ)
อย่างเช่น กรณี การเป็น IB ของ ODFX ไปโดยอัตโนมัตินั้น จากการที่ได้เปิดบัญชีและลงทุนไป ก็ย่อมควรทีจะได้รับรู้ข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมด (เพราะ IB นั้น หมายถึง การเป็นหุ้นส่วนร่วมกันกับโบรกเกอร์ และแน่นอน ทุกโบรกเกอร์เอง ก็ล้วนเปิดเผยข้อมูลให้ได้โดยทั้งสิ้น)
เพราะฉะนั้น ในกรณี IPO หรือ การมีหุ้น CPS ถืออยู่นั้น มันก็เป็นเอกสารที่ออกรับรองโดยทางโบรกเกอร์ NZ หรือ ODFX เท่านั้น ที่ออกให้ไว้เพื่อรับรองว่า เรามี CPS อยู่จริง ซึ่งมันอาจจะเป็นจุดขายได้ เพื่อทำให้โบรกเกอร์ไปถึงฝั่งนั่นเอง
3. การจ่ายผลตอบแทน หรือ Commission นั้น เป็นเสมือนผลประโยชน์ที่ทุกๆคน เป็น IB แน่นอนว่า ทุกโบรกเกอร์จะมีโปรแกรมนี้ อย่าง Exness ก็อาจมีการจ่ายเป็น Level เหมือนกัน และโบรกอื่น บางโบรก ก็เช่นกัน แต่ทั้งนี้ เป็นส่วนที่มีความสมเหตุสมผลนะ
ไม่เหมือนเช่นกรณีของ ODFX นี้ ที่ ดิฉันวิเคราะห์ตามนี้
3.1. จ่าย 10% จากยอดเงินของนักลงทุน ที่เราชวนฝาก หรือค่าแนะนำนั่นแหละค่ะ เช่น ดิฉันชวนนาย A ฝากเงิน 10,000$ ดิฉันได้เงิน 1,000$ มันน่าแปลกตรงที่ เค้าเอาตรงไหนมาจ่ายค่ะ (จริงอยู่ที่ว่า เงินนาย A นี้ จะไม่สามารถถอนออกได้ 6 เดือนเป็นอย่างน้อย และถ้าถอนออกก่อน ก็จะได้รับไม่เต็มจำนวน) เพราะใน บัญชี MT4 ของ NZ นั้น เราจะได้รับเป็นรุปแบบ ยอดเงิน ใน Credit นั่นคือ โบรกเกอร์ได้เงินสดเราไปลงทุนสารพัด แต่นาย A นั้น จะได้เหมือนเฉกเช่น โบนัส 100% ที่เข้ามาในรูปแบบของ Credit Mt4 (แน่นอนว่า Credit เหล่านี้ จะมีสัญญาการถือครองที่ 6 เดือน แทบทุกโบรกจะเหมือนกัน) ในขณะที่โบรกเกอร์อื่น เราจะได้เงินเข้า balance เลย ถ้าโบรกนั้นมี โบนัส บางโบรกก็อาจจะเข้าให้เพิ่มที่โหมด Credit
ดังนั้น หากจะมองว่า เงิน 10,000$ นี้ ที่นาย A ลงทุนไป คือโบรกเกอร์เอาเงินไปบริหาร แล้วให้เงินเรามาใน Credit เพื่อเทรดที่ 10,000$ หรือมากกว่า เทรดได้กำไร ก็สามารถถอนออกได้ มันก็แฟร์อยู่ค่ะ และทั้งนี้ นาย A จะได้รับปันผลตามประกาศ แต่ละเดือน ซึ่งสิ่งที่น่าสังเกต อย่างนึง ก็คือว่า เดือนไหน เหมือนคนฝากเงินมาก โบรกเกอร์ ก็ประกาศจ่ายตัวเลขเยอะหน่อย เดือนไหนไม่ค่อยมาก ก็จ่ายน้อยหน่อย แต่ช่วงหลายเดือนมานี้ จะอยู่ราวๆ 5-6% ต่อเดือน แต่ว่า โบรกได้เงินสดเราไปแล้วเท่าไหร่หล่ะ?
และแน่นอนว่า ถ้าเป็นการอ้างอิงสัญญาข้อพิพาทจริงๆ หากเกิดอะไรขึ้น เงิน 10,000$ นี้ในรุปแบบ Credit เราจะไม่สามารถร้องเรียกอะไรได้เลย นั่นคือ ความเสี่ยงเราคือ 6 เดือนขั้นต่ำค่ะ เรียกว่า เสี่ยง สูญ
ฉะนั้น จึงคงเป้นเหตุผลว่า หลายคนเมื่อลงทุนไปแล้วอยากได้เงินลงทุนตัวเองคืน จึงต้องชักจูง คนใหม่ หรือแนะนำให้เค้าลงทุนนั่นเอง และ อัพเกรดเงินลงทุน จึงจะได้ค่าแนะนำ 10% ทั้งนั้นยังไม่พอ ยังมีสายบาลานซ์ ซ้าย และขวา อีก โดยคิดให้อีก 10%
คิดในใจค่ะ (โบรกเกอร์นี้ จ่ายให้เยอะจริง) แต่ดิฉันไม่กล้าทำบาป กับนักลงทุนรายใหม่ด้วยวิธีการนี้เลย ถ้าจะบอกว่าแนวคิดดิฉันไม่ดี ก็ย่อมได้ เพียงแต่ดิฉัน คิดว่า ดิฉันไม่ต้องการบอกใคร ในขณะที่ข้อมูลมันไม่เคลียร์เต็มๆ หรือเคลียร์แล้ว แต่มันไม่สมเหตุสมผลในระยะยาวอยู่ดี เพราะสุดท้ายแล้ว หากมันเกิดเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นจริงๆนั้น ความผิดพลาดทั้งหมด จะถูกโยนมาที่ดิฉันทันที เพราะดิฉันเป็นผู้แนะนำ
แต่ในเวลานี้ หลายคนเชื่อ และมุ่งมั่น เพราะเหตุผลเดียวค่ะ คือทำ แนะนำ แล้วได้ตังก์อยู่ จ่ายตลอดอยู่ ดิฉันก็ยังได้รับปันผลทุกเดือนอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ว่า ดิฉันก็ยังคลางใจแบบนี้ อยู่ดีค่ะ (คือมันอาจจะเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวน่ะค่ะ เพราะทุกครั้งที่ดิฉันตัดสินใจลงทุน มันมี 2 ประการค่ะ คืออยากลอง กับ จริงจัง มุ่งมั่น) และถ้าเป็นอยากลองนั้น ดิฉันไม่เคยพลาดการคาดเดาอนาคตเลย แต่ถ้าเป็น จริงจัง มุ่งมั่น นั้น คือโตยาวนานทุกที่ค่ะ หมายถึงว่า ถึงแม้ว่า ตัวดิฉันจะไม่เติบโต แต่อย่างไรแล้ว บริษัทนั้น โบรกเกอร์นั้น ไม่เคยมีการปิดตัวลง แต่เติบโตต่อเนื่องนั่นเองค่ะ
หรือครั้งนี้ ดิฉันอาจคาดเดาผิด สำหรับ NZ ก็ได้นะค่ะ เพียงแต่ว่า ดิฉันคิดว่า ต้องดูไปนานๆค่ะ และในการที่ดิฉันกำลังดูอยู่นี้ หลายคนที่ทำอยู่ ก็อาจจับเงินล้านไปแล้วค่ะ ในขณะที่อีกหลายๆๆๆๆๆๆคน นั่นก็กำลังเข้าสู่จุดเริ่มต้นของความเสี่ยงในการลงทุนสูญ 6 เดือนอยู่ค่ะ (เน้นนะค่ะ ว่าแค่ความเสี่ยงเท่านั้น ไม่ได้สูญจริง)
มีอีกหลายข้อค่ะ ไว้ว่างๆจะมาต่อให้นะค่ะ
ความคิดเห็นที่ 31
มาต่อให้ค่ะ
3.2 แผนเป็น ไบนารี่ (นี่มันเครือข่ายชัดๆ) บาลานซ์ ซ้ายขวา มาสมมุติกันนะคะ เช่น ดิฉัน แนะนำนาย A มาลงทุน วางซ้าย 100,000$ และแนะนำ นาย B มาลงทุน วางขวา 100,000$
รายได้ของดิฉันคือ ค่าแนะนำ 10% (10,000$ + 10,000$ = 20,000$) + ค่าบาลานซ์ 10% (10,000$) = 30,000$ รวมทั้งหมด โอ้โห เยอะมากๆใช่ไหมค่ะ
นั่นแหละค่ะ ดิฉันอยากจะรู้เหลือเกินค่าว่า มีโบรกเกอร์ที่ไหน ที่สามารถจ่ายได้แบบนี้บ้าง แน่นอนค่ะ เชื่อว่าไม่มี และเหตุผลที่เค้าไม่มี เค้าจึงอยู่ในตลาดได้นานมากๆค่ะ เพราะรายได้ที่แท้จริงต้องเกิดจากการเทรดก่อนใช่ไหมค่ะ??? แต่นี่ มีรับจากค่าชวนเรยนั่นเอง
3.3 มาต่อที่ส่วนของ การจ่ายอัตราการเทรด ต่อ lot ตรงนี้ ให้ผ่านค่ะ สมเหตุสมผล เพราะ 1 lot เทรด ทาง NZ ตัดไปทันทีที่ 30$ ค่าคอมมิสชั่น spread ต่างหาก แต่ดิฉันมองว่า เค้าเอา 10$ จาก 30$ นี้ มาจ่าย เค้าก็คงได้เงินไปมหาศาลแล้วหล่ะค่ะ
3.4 มีแจกบ้าน แจกรถ แจกสารพัด ถึงคฤหาส์น หากสามารถพานักลงทุนมาลงเงินได้เยอะๆ อัพตามตำแหน่ง แน่นอนว่ามันเป็นธุรกิจค่ะ แต่ว่า มันดูโอเว่อร์ไปไหมค่ะ และเข้าใจค่ะว่า สามารถจ่ายได้จริงๆ แต่ทั้งนี้ ดิฉันมิอาจทราบได้ค่ะว่า ระบบการบริหารจัดการเค้าเป็นแบบไหน แต่ที่แน่ๆนั่นคือสิ่งจูงใจ ที่หลายๆบริษัทเครือข่าย นิยมออกแบบกันมาค่ะ ดังนั้น ตรงนี้ดิฉันเองก็มิอาจทราบได้ แต่ตราบใดที่โบรกเกอร์เค้าได้เงินสดจากนักลงทุนไป และได้ไปขนาดนั้น เค้าจะจ่ายออกมาได้ มันก็ไม่เสียหายหรอกจริงมั้ยค่ะ
3.5 เวลาคนที่ได้รับรายได้ มักจะนิยมเอาเงิน Cash Wallet มาขายให้นักลงทุนรายใหม่ค่ะ นั่นแหละค่ะ เป้นการขายเหรียญออกไป คือได้ 2 เด่ง และจริงอยู่ที่ว่า สามารถโอนให้นักลงทุน ที่อยู่ภายใต้สายงานของตัวเองเท่านั้น แต่นั่น มันก็คือการ ซื้อขาย เหรียญกันเองแหละค่ะ (เห็นว่า จะสั่งถอนออกเองก็ได้ค่ะ มีค่าธรรมเนียม 25$ กับ 2% ให้เลือก ขึ้นอยู่ว่า จำนวนไหนมากกว่า)
ดังนั้น เพียงแค่การขายเหรียญ ให้กันเองนี้ ก็น่ากลัวแล้วหล่ะค่ะ คือคิดง่ายๆนะค่ะ โบรกเกอร์เองไม่ได้จ่ายเงินสดออกมาเลย แต่มีตัวเลขการ Transfer ไปมากัน ระหว่างนักลงทุนเท่านั้นเอง ส่วนเงิน ก็เข้ากระเป๋านักลงทุนเท่านั้นเองค่ะ เช่น ขายเหรียญ 10,000$ ใน Cash Wallet ก็คือได้เงินเข้ากระเป๋าแล้ว 3 แสนกว่าบาทค่ะ นักลงทุนที่ ลงทุน 10,000$ ไปนั้น ก็เสี่ยงต่อไปนั่นเองค่ะ (ได้ CPS 10,000 ได้ MT4 Credit 10,000 ประมาณนี้ค่ะ)
ดังนั้น มันมีอีกหลายเรื่องราวค่ะ ที่สำคัญ ผู้ที่บอกว่า เป็น IB แล้วแนะนำท่านนั้น ดิฉันว่า ก็เป็นธรรมดาที่เค้าต้องการ 10% จากท่าน และอีกอื่นๆ เพียงแต่ดิฉัน จะนิยมกรองข้อมูลความเป็นไปได้พอสมควร ถ้าดิฉันมองว่า เป็นการสร้างรายได้ และเน้น ได้ตังก์ช่วงแรกๆ ดิฉันจะยอมโปรโมทค่ะ แบบว่าไม่สนใจผู้อื่นอ่ะนะค่ะ แต่กรณี มองว่า มันอาจหลอกคนมาเสียหายในอนาคตจำนวนมาก ดิฉันเลยไม่โปรโมทออกไปนั่นเองค่ะ (ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบุคคลค่ะ)
3.2 แผนเป็น ไบนารี่ (นี่มันเครือข่ายชัดๆ) บาลานซ์ ซ้ายขวา มาสมมุติกันนะคะ เช่น ดิฉัน แนะนำนาย A มาลงทุน วางซ้าย 100,000$ และแนะนำ นาย B มาลงทุน วางขวา 100,000$
รายได้ของดิฉันคือ ค่าแนะนำ 10% (10,000$ + 10,000$ = 20,000$) + ค่าบาลานซ์ 10% (10,000$) = 30,000$ รวมทั้งหมด โอ้โห เยอะมากๆใช่ไหมค่ะ
นั่นแหละค่ะ ดิฉันอยากจะรู้เหลือเกินค่าว่า มีโบรกเกอร์ที่ไหน ที่สามารถจ่ายได้แบบนี้บ้าง แน่นอนค่ะ เชื่อว่าไม่มี และเหตุผลที่เค้าไม่มี เค้าจึงอยู่ในตลาดได้นานมากๆค่ะ เพราะรายได้ที่แท้จริงต้องเกิดจากการเทรดก่อนใช่ไหมค่ะ??? แต่นี่ มีรับจากค่าชวนเรยนั่นเอง
3.3 มาต่อที่ส่วนของ การจ่ายอัตราการเทรด ต่อ lot ตรงนี้ ให้ผ่านค่ะ สมเหตุสมผล เพราะ 1 lot เทรด ทาง NZ ตัดไปทันทีที่ 30$ ค่าคอมมิสชั่น spread ต่างหาก แต่ดิฉันมองว่า เค้าเอา 10$ จาก 30$ นี้ มาจ่าย เค้าก็คงได้เงินไปมหาศาลแล้วหล่ะค่ะ
3.4 มีแจกบ้าน แจกรถ แจกสารพัด ถึงคฤหาส์น หากสามารถพานักลงทุนมาลงเงินได้เยอะๆ อัพตามตำแหน่ง แน่นอนว่ามันเป็นธุรกิจค่ะ แต่ว่า มันดูโอเว่อร์ไปไหมค่ะ และเข้าใจค่ะว่า สามารถจ่ายได้จริงๆ แต่ทั้งนี้ ดิฉันมิอาจทราบได้ค่ะว่า ระบบการบริหารจัดการเค้าเป็นแบบไหน แต่ที่แน่ๆนั่นคือสิ่งจูงใจ ที่หลายๆบริษัทเครือข่าย นิยมออกแบบกันมาค่ะ ดังนั้น ตรงนี้ดิฉันเองก็มิอาจทราบได้ แต่ตราบใดที่โบรกเกอร์เค้าได้เงินสดจากนักลงทุนไป และได้ไปขนาดนั้น เค้าจะจ่ายออกมาได้ มันก็ไม่เสียหายหรอกจริงมั้ยค่ะ
3.5 เวลาคนที่ได้รับรายได้ มักจะนิยมเอาเงิน Cash Wallet มาขายให้นักลงทุนรายใหม่ค่ะ นั่นแหละค่ะ เป้นการขายเหรียญออกไป คือได้ 2 เด่ง และจริงอยู่ที่ว่า สามารถโอนให้นักลงทุน ที่อยู่ภายใต้สายงานของตัวเองเท่านั้น แต่นั่น มันก็คือการ ซื้อขาย เหรียญกันเองแหละค่ะ (เห็นว่า จะสั่งถอนออกเองก็ได้ค่ะ มีค่าธรรมเนียม 25$ กับ 2% ให้เลือก ขึ้นอยู่ว่า จำนวนไหนมากกว่า)
ดังนั้น เพียงแค่การขายเหรียญ ให้กันเองนี้ ก็น่ากลัวแล้วหล่ะค่ะ คือคิดง่ายๆนะค่ะ โบรกเกอร์เองไม่ได้จ่ายเงินสดออกมาเลย แต่มีตัวเลขการ Transfer ไปมากัน ระหว่างนักลงทุนเท่านั้นเอง ส่วนเงิน ก็เข้ากระเป๋านักลงทุนเท่านั้นเองค่ะ เช่น ขายเหรียญ 10,000$ ใน Cash Wallet ก็คือได้เงินเข้ากระเป๋าแล้ว 3 แสนกว่าบาทค่ะ นักลงทุนที่ ลงทุน 10,000$ ไปนั้น ก็เสี่ยงต่อไปนั่นเองค่ะ (ได้ CPS 10,000 ได้ MT4 Credit 10,000 ประมาณนี้ค่ะ)
ดังนั้น มันมีอีกหลายเรื่องราวค่ะ ที่สำคัญ ผู้ที่บอกว่า เป็น IB แล้วแนะนำท่านนั้น ดิฉันว่า ก็เป็นธรรมดาที่เค้าต้องการ 10% จากท่าน และอีกอื่นๆ เพียงแต่ดิฉัน จะนิยมกรองข้อมูลความเป็นไปได้พอสมควร ถ้าดิฉันมองว่า เป็นการสร้างรายได้ และเน้น ได้ตังก์ช่วงแรกๆ ดิฉันจะยอมโปรโมทค่ะ แบบว่าไม่สนใจผู้อื่นอ่ะนะค่ะ แต่กรณี มองว่า มันอาจหลอกคนมาเสียหายในอนาคตจำนวนมาก ดิฉันเลยไม่โปรโมทออกไปนั่นเองค่ะ (ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบุคคลค่ะ)
แสดงความคิดเห็น
(ด่วน!) Begoodtime / ODFX แชร์ลูกโซ่ใหญ่ กำลังโหมโปรโมทแล้ว !! ฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการด้วยครับ
Begoodtime / ODFX แชร์ลูกโซ่ใหญ่ ผิดกฎหมายอาญาของไทย กำลังโหมโปรโมทในไทยแล้วครับ
http://www.begoodtime.com/
http://www.begoodtime.com/plan_odfx.html
ตอนนี้กำลังโหมโปรโมทหนักเลยครับ
ทางเฟส บอร์ดต่าง ๆ ทาง social network หลายคนหลวมตัวไปลงทุนแล้ว!!
ช่วยกันแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกันครับ