วันนี้ เป็นวันหยุดอีกวันหนึ่งของเรา ที่เราจะได้ใช้ชีวิตในแบบของเราเอง หลังจากที่เราใช้ชีวิตในกรอบมาห้าวัน
เมื่อวาน เป็นวันพระ เราอยู่บ้าน สมาทานอุโบสถศีลให้สบายใจ สำหรับวันนี้ เป็นวันที่เราอยากออกเที่ยว แต่เราก็ไม่คิดจะเที่ยวเล่นให้หมดวัน เราวางแผนไว้แล้วว่า วันนี้ เราจะทำอะไร เราจะถวายเพลพระ แล้วจากนั้นจะไปเดินแจกของคนเร่ร่อนที่สนามหลวง
และหลังจากที่เราถวายเพลที่ัวัดเรียบร้อยแล้ว เราก็ต่อเวลาวันหยุดของเราที่สนามหลวง แต่มาวันนี้ เห็นคนเร่รอนไม่ค่อยพลุกพล่าน ปรกติแล้วบริเวณริมคลองหลอดจะมีคนไร้บ้าน คนเร่รอน มานอนเรียงข้างทาง หรืออาจจะเป็นเพราะยังเป็นช่วงกลางวันก็ได้
เราเดินผ่านโรงแรมรัตนโกสินทร์ไปทางคลองหลอด ลัดเลาะไปจนเกือบถึงเซเว่น ก็ได้พบกับภาพชิวิตภาพหนึ่ง ลุงอายุมากคนหนึ่ง เกาะถังขยะ แล้วก็ล้มลง
เราซึ่งยังอยู่ห่างประมาณสิบห้าเมตร เข้าไปช่วยอะไรไม่ได้ ได้แต่มองและสังเกตุ และคิดว่าคงมีอะไรบางอย่าง มือของเราซึ่งถือโทรศัพท์ก็พยายามจะเก็บภาพว่าเกิดอะไรขึ้น เผื่อมีอะไรจะได้นำเรื่องนี้มาบอกต่อให้ใคร ๆ ได้ทราบ ได้ช่วยได้ และภาพที่เราเห็นเมื่อเดินเข้าไปใกล้คือ คุณลุงมีขาข้างเดียว และพยายามจะคลานกลับไปนั่งหน้าเซเว่น เราอนุมานว่า คุณลุง พยายามจะปีนขึ้นมาที่ขอบถังขยะ เพื่อมองหาของกิน แต่เมื่อเกาะไม่ได้ ท่านจึงล้ม และลงไปคลานกับพื้น
ถ้าวันนี้เป็นเรา ไม่มีขา หิวข้าว แต่ไม่รู้จะหาข้าวที่ไหน จนต้องปีนไปดูเศษข้าวเศษอาหารในถังขยะ แต่ก็ไม่ได้อะไรมา ทรงตัวไม่ได้ ล้มข้างถังขยะ
ถ้าเป็นเรา ถ้าเราเป็นคุณลุงคนนั้น เราคงเอาฟันกัดลิ้นตัวเองตายตรงนั้น เพราะมันเจ็บปวดมาก วันที่ใคร ๆ เดินเที่ยว วันที่คนแก่ได้อยู่กับลูกหลาน ได้นอนคอนโด ได้ดูหนังสามมิติ ได้ถ่ายรูปสวย ๆ เที่ยวเกาะรัตนโกสินทร์ แต่คนหนึ่งคน กลับต้องทนกับความหิว ตากแดดตากลม หาอาหารประทังท้องไม่ได้ จนต้องปีนขอบถังขยะจนล้ม ทีแรกเราเข้าใจว่าลุงคงล้มเพราะเป็นลมหิวข้าว แต่เมื่อเราได้เห็นว่าคุณลุงขาขาดไปหนึ่งข้าง มันเจ็บปวดยิ่งยวดกว่านั้น นี่คงเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้เกิดคนเร่ร่อนขึ้น คนพิการ ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ไม่มีลูกหลาน ไม่มีใครรับทำงาน เป็นคนมีชีวิตจิตใจแต่ถูกใคร ๆ หลายคนรังเกียจเวลามองไม่ต่างไปกับกองขยะ ทั้งที่เค้าไม่ได้แบมือหรือมีขันขอทานอยู่ข้างกายเลย ข้างกายของลุง เป็นกระเป๋าสีดำ ๆ เหมือนไว้ใส่เสื้อผ้าหนึ่งใบเท่านั้น ลุงไม่ทำแม้แต่ไหว้ขอเงินใครด้วยซ้ำ
เราไม่รีรอ นี่ล่ะ เราถึงออกจากบ้านมาที่นี่ มาซื้ออะไรต่อชีวิตให้ใครก็ได้ เรารีบเข้าเซเว่น และซื้อของให้มากเท่าที่เงินเดือนของเรายังเหลือพอ เราให้แม่หนึ่งหมื่น เก็บไว้ใช้เองหนึ่งหมื่น บริจาคให้ยูนิเซฟหกร้อย ผ่อนของสองพัน คืนค่ากรอ.หนึ่งพัน เหลือไว้ใช้สามสี่พัน ทั้งเดือน ช่างเถอะ ! เราไม่ได้เกิดมาเพื่อหาความสุขใส่ตัวอยู่แล้ว ที่จริงเราอาจจะจากโลกนี้ไปพรุ่งนี้ก็ได้ ไม่ว่าจะรวยจนสวยหรือไม่สวยยังไงเราทุกคนก็มีความตายเป็นที่สุด ปลายทางของทุกคนเป็นเพียงการทิ้งซากศพสีเขียวม่วง ๆ บวม ๆ ของตัวเองไว้ในโลกให้คนอื่นดูต่างหน้าเท่านั้น ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว การกอบโกยดูจะเป็นทางผิด เพราะในที่สุดคนเราก็ไม่ได้ครอบครองอะไรแม้แต่ร่างกายของตน การมีชีวิตอยู่ จึงเป็นช่วงเวลาแห่งการเสียสละ
เราซื้อของเซเว่น เท่าที่เราจำคำณวณได้ว่า ของเหล่านี้ จะมากพอที่จะเป็นพลังงานให้เค้าไม่หมดสติเสียก่อน ตามกำลังทรัพย์ที่เรามี
และเรารีบเดินออกมาให้ลุง สังเกตุสายตาของคุณลุง ตาแดงก่ำมาก ปรกติคนเราจะตาแดงสามสาเหตุ หนึ่ง ดื่มสุรา สอง ใช้แรงงานมาก ๆ จนใกล้น๊อค และสาม ร้องไห้ ท่าทางของลุงไ่ม่ได้ดูมึนเมา และไม่ได้ดูเหมือนร้องไห้ แต่ดูเหมือนคุณลุงกรากกรำกับแดดลม ฝน กลางสวนยางกลางทุ่งนาติดต่อกันโดยไม่ได้หยุดพัก เรากำลังบอกว่าลุงคงเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้ามาก สายตาสีแดงที่มีเส้นเลือดมองออกทันทีว่าขาดน้ำเปล่าอย่างรุนแรง เหมือนคนที่จะล้มชักได้ตลอดเวลา เรารีบให้น้ำและขนมลุงไป ลุงรับด้วยสีหน้าที่อิดโรย เราไม่ได้หันไปมองคุณลุงอีก และตัดสินใจเดินหาคนเร่ร่อนต่อไป
จากที่เราสังเกตุหลังจากที่เคยเดินแจกของมาหลายที่ คนเร่ร่อน หรือจะเรียกว่าคนไร้บ้านหรือคำว่าอะไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วจะมีกระเป๋าใบใหญ่ ๆ ติดมาด้วยหนึ่งใบ เราเคยสอบถามพวกเค้าทำให้ได้ทราบว่า เค้าไม่ได้ต้องการจะมานอนข้างถนน ส่วนมาก พวกเค้ามาจากต่างจังหวัดและได้รับผลกระทบจากการทำมาหาเลี้ยงชีพ และรู้เพียงว่า ในกรุงเทพเมืองใหญ่ จะสามารถหางานทำได้ แต่เมื่อมาถึงแล้ว ก็กลับเหมือนมาตายดาบหน้า เพราะไม่รู้เส้นทาง ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร ต้องไปทางไหน นอนที่ไหน กินที่ไหน รู้แต่ว่ากรุงเทพ กรุงเทพ เพราะที่บ้านครอบครัวอดอยาก บางคนชีวิตเหมือนมรสุมซ้ำ บ้าน ครอบครัวอดอยากแล้ว มากรุงเทพคิดว่าจะมารอด ก็กลับกลายมาเป็นคนคุ้ยขยะไป เพราะเมื่อมาถึงกรุงเทพ ก็หลงทาง หิว หาที่นอนไม่ได้ สถานที่ที่พอรู้ว่าน่าจะพักได้คือสนามหลวงและหัวลำโพง เค้านอนพักหนึ่งวัน สองวัน เงินหมดลง ไปไหนต่อไม่ได้ หิวข้าวก็ไม่มีเงิน ต้องคุ้ยอาหารกิน เวลาผ่านไป หนึ่ง สอง สามสัปดาห์ สี่เดือน ห้าเดือน เวลาเดินไปเรื่อย ๆ และเค้าก็หมดสิ้นจุดหมายของชีวิต เหลือแต่ความคิดที่ว่า วันนี้จะหาข้าวอย่างไรต่อเท่านั้น เพราะเส้นทางคนดี ๆ ธรรมดาคนหนึ่งที่พยายามดิ้นรนมากรุงเทพเมืองใหญ่ เพื่อเอาชีวิตรอด ได้ถึงทางตันในที่สุด และบางคนก็ได้อยู่ในสภาพอย่างนั้นถาวร เพราะไม่มีเงินกลับบ้าน และข้าว น้ำ สำคัญกับเค้าจริง ๆ เคยมีคนที่นี่กราบเท้าเรา เพียงเพราะว่าเราซื้อข้าวกล่องเซเว่นให้เค้าทานและเค้าก็ร้องไห้ออกมา
หลังจากนั้นเราใช้เวลาพักใหญ่ ในการเดินหาคนเร่ร่อนจริง ๆ ที่ไม่ได้เป็นคนเร่ร่อนอย่างมีเหล้าขาวติดตัว เราเจอยายแก่ ๆ สองคน และเจอคนข้างทาง เราให้เงินไปหนึ่งร้อยบาท (คุยแล้วสกรีนแล้วเห็นว่าเป็นคนดี) และให้ขนมกับน้ำและนมอื่น ๆ จนหมด
ถ้าเราตายไปวันนี้ ถ้ายมบาลบอกเราให้ลงนรก เราจะถามกลับว่า
คุณไม่เห็นเลยเหรอว่าฉันทำอะไรเพื่อใครบ้าง ?
เราคิดว่าชีวิตของเรา เกิดมา คุ้มค่าแล้ว เพราะเราได้ทำเพื่อคนอื่น นั่นล่ะความหมายของชีวิตเรา เหตุผลที่เราดำรงอยู่
และัวันนี้ เ่ราได้ช่วยลุงคนหนึ่ง ที่ล้มข้างถังขยะ ให้ได้มีอาหารทานหนึ่งมื้อ วันนี้ถึงเรายังมีปัญหากับเพื่อนที่เรารักอยู่ ที่ไม่เห็นความสำคัญของเรา แต่เราก็กลับมีความอิ่มใจมาก
นี่กระมัง ที่เค้าเรียกว่าเป็นผู้ให้ สุขใจกว่าเป็นผู้รับ และมันทำให้เรารู้สึกได้ว่า การที่ีมีคนเห็นความสำคัญของเรา มันไม่สำคัญเท่ากับที่เราได้ให้ความสำคัญกับคนที่ต้องการเราเลย
และวันนี้ เงินเพียงแค่ไม่ถึงสามร้อยบาท ได้ทำให้คนหลายคน ไม่หน้ามืดเพราะความหิว เราได้ให้ชีวิต เราได้ต่อชีวิตให้คนบนโลก ชีวิตคนมีความหมายมาก และการที่คนหนึ่งคน ได้มีความสุข ได้ไม่ทรมานเพียงหนึ่งวัน ก็มีค่ามากจริง ๆ เราได้ทำสิ่งนั้นแล้ว เราได้ให้ชีวิตกับคนบนโลกแล้ว ความรู้สึกของเราที่เราใช้เงินมาซื้ออาหารต่อชีวิตคนตรงนี้ เรารู้สึกดีกว่าที่เราเอาเงินร้อยเงินพันไปกินพิซซ่ากินอาหารญี่ปุ่นเสียอีก ความอิ่มใจเทียบกันไม่ได้เลย และถ้าเราต้องเสียเงินแพง ๆ เพื่อให้เรากินอร่อย ๆ เราขอเปลี่ยนเป็นเสียเงินน้อย ๆ ให้ตัวเองอิ่ม ทานร้านอะไรไม่ต้องหรูต้องแพงมาก และนำส่วนที่เหลือ มาให้คนอื่นได้อิ่มบ้างก็พอ เพราะเราไม่อยากให้ใครต้องล้มข้างถังขยะท่ามกลางแดดร้อน ๆ อีกเลย และถ้าวันหนึ่ง เราทานอาหารหลักร้อยหลักพันออกจากโรงแรม จากห้างที่ใดที่นึง แล้วพบใครสักคนคุ้ยขยะกินที่ข้างทาง
เราคงมีคำถามเดียวกับตัวเองว่า
"เราทำอะไรลงไป ?"
และอีกคำถามสำหรับอนาคต
"ฉันจะได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ไหม ? อะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(สำหรับผู้ที่รักที่จะทำสิ่งเดียวกัน FB : ปริศนา เมืองพูลผล )
https://www.facebook.com/spiritaa.nana
เหตุผลที่คุณลุงล้ม ข้างถังขยะ
เมื่อวาน เป็นวันพระ เราอยู่บ้าน สมาทานอุโบสถศีลให้สบายใจ สำหรับวันนี้ เป็นวันที่เราอยากออกเที่ยว แต่เราก็ไม่คิดจะเที่ยวเล่นให้หมดวัน เราวางแผนไว้แล้วว่า วันนี้ เราจะทำอะไร เราจะถวายเพลพระ แล้วจากนั้นจะไปเดินแจกของคนเร่ร่อนที่สนามหลวง
และหลังจากที่เราถวายเพลที่ัวัดเรียบร้อยแล้ว เราก็ต่อเวลาวันหยุดของเราที่สนามหลวง แต่มาวันนี้ เห็นคนเร่รอนไม่ค่อยพลุกพล่าน ปรกติแล้วบริเวณริมคลองหลอดจะมีคนไร้บ้าน คนเร่รอน มานอนเรียงข้างทาง หรืออาจจะเป็นเพราะยังเป็นช่วงกลางวันก็ได้
เราเดินผ่านโรงแรมรัตนโกสินทร์ไปทางคลองหลอด ลัดเลาะไปจนเกือบถึงเซเว่น ก็ได้พบกับภาพชิวิตภาพหนึ่ง ลุงอายุมากคนหนึ่ง เกาะถังขยะ แล้วก็ล้มลง
เราซึ่งยังอยู่ห่างประมาณสิบห้าเมตร เข้าไปช่วยอะไรไม่ได้ ได้แต่มองและสังเกตุ และคิดว่าคงมีอะไรบางอย่าง มือของเราซึ่งถือโทรศัพท์ก็พยายามจะเก็บภาพว่าเกิดอะไรขึ้น เผื่อมีอะไรจะได้นำเรื่องนี้มาบอกต่อให้ใคร ๆ ได้ทราบ ได้ช่วยได้ และภาพที่เราเห็นเมื่อเดินเข้าไปใกล้คือ คุณลุงมีขาข้างเดียว และพยายามจะคลานกลับไปนั่งหน้าเซเว่น เราอนุมานว่า คุณลุง พยายามจะปีนขึ้นมาที่ขอบถังขยะ เพื่อมองหาของกิน แต่เมื่อเกาะไม่ได้ ท่านจึงล้ม และลงไปคลานกับพื้น
ถ้าวันนี้เป็นเรา ไม่มีขา หิวข้าว แต่ไม่รู้จะหาข้าวที่ไหน จนต้องปีนไปดูเศษข้าวเศษอาหารในถังขยะ แต่ก็ไม่ได้อะไรมา ทรงตัวไม่ได้ ล้มข้างถังขยะ
ถ้าเป็นเรา ถ้าเราเป็นคุณลุงคนนั้น เราคงเอาฟันกัดลิ้นตัวเองตายตรงนั้น เพราะมันเจ็บปวดมาก วันที่ใคร ๆ เดินเที่ยว วันที่คนแก่ได้อยู่กับลูกหลาน ได้นอนคอนโด ได้ดูหนังสามมิติ ได้ถ่ายรูปสวย ๆ เที่ยวเกาะรัตนโกสินทร์ แต่คนหนึ่งคน กลับต้องทนกับความหิว ตากแดดตากลม หาอาหารประทังท้องไม่ได้ จนต้องปีนขอบถังขยะจนล้ม ทีแรกเราเข้าใจว่าลุงคงล้มเพราะเป็นลมหิวข้าว แต่เมื่อเราได้เห็นว่าคุณลุงขาขาดไปหนึ่งข้าง มันเจ็บปวดยิ่งยวดกว่านั้น นี่คงเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้เกิดคนเร่ร่อนขึ้น คนพิการ ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ไม่มีลูกหลาน ไม่มีใครรับทำงาน เป็นคนมีชีวิตจิตใจแต่ถูกใคร ๆ หลายคนรังเกียจเวลามองไม่ต่างไปกับกองขยะ ทั้งที่เค้าไม่ได้แบมือหรือมีขันขอทานอยู่ข้างกายเลย ข้างกายของลุง เป็นกระเป๋าสีดำ ๆ เหมือนไว้ใส่เสื้อผ้าหนึ่งใบเท่านั้น ลุงไม่ทำแม้แต่ไหว้ขอเงินใครด้วยซ้ำ
เราไม่รีรอ นี่ล่ะ เราถึงออกจากบ้านมาที่นี่ มาซื้ออะไรต่อชีวิตให้ใครก็ได้ เรารีบเข้าเซเว่น และซื้อของให้มากเท่าที่เงินเดือนของเรายังเหลือพอ เราให้แม่หนึ่งหมื่น เก็บไว้ใช้เองหนึ่งหมื่น บริจาคให้ยูนิเซฟหกร้อย ผ่อนของสองพัน คืนค่ากรอ.หนึ่งพัน เหลือไว้ใช้สามสี่พัน ทั้งเดือน ช่างเถอะ ! เราไม่ได้เกิดมาเพื่อหาความสุขใส่ตัวอยู่แล้ว ที่จริงเราอาจจะจากโลกนี้ไปพรุ่งนี้ก็ได้ ไม่ว่าจะรวยจนสวยหรือไม่สวยยังไงเราทุกคนก็มีความตายเป็นที่สุด ปลายทางของทุกคนเป็นเพียงการทิ้งซากศพสีเขียวม่วง ๆ บวม ๆ ของตัวเองไว้ในโลกให้คนอื่นดูต่างหน้าเท่านั้น ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว การกอบโกยดูจะเป็นทางผิด เพราะในที่สุดคนเราก็ไม่ได้ครอบครองอะไรแม้แต่ร่างกายของตน การมีชีวิตอยู่ จึงเป็นช่วงเวลาแห่งการเสียสละ
เราซื้อของเซเว่น เท่าที่เราจำคำณวณได้ว่า ของเหล่านี้ จะมากพอที่จะเป็นพลังงานให้เค้าไม่หมดสติเสียก่อน ตามกำลังทรัพย์ที่เรามี
และเรารีบเดินออกมาให้ลุง สังเกตุสายตาของคุณลุง ตาแดงก่ำมาก ปรกติคนเราจะตาแดงสามสาเหตุ หนึ่ง ดื่มสุรา สอง ใช้แรงงานมาก ๆ จนใกล้น๊อค และสาม ร้องไห้ ท่าทางของลุงไ่ม่ได้ดูมึนเมา และไม่ได้ดูเหมือนร้องไห้ แต่ดูเหมือนคุณลุงกรากกรำกับแดดลม ฝน กลางสวนยางกลางทุ่งนาติดต่อกันโดยไม่ได้หยุดพัก เรากำลังบอกว่าลุงคงเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้ามาก สายตาสีแดงที่มีเส้นเลือดมองออกทันทีว่าขาดน้ำเปล่าอย่างรุนแรง เหมือนคนที่จะล้มชักได้ตลอดเวลา เรารีบให้น้ำและขนมลุงไป ลุงรับด้วยสีหน้าที่อิดโรย เราไม่ได้หันไปมองคุณลุงอีก และตัดสินใจเดินหาคนเร่ร่อนต่อไป
จากที่เราสังเกตุหลังจากที่เคยเดินแจกของมาหลายที่ คนเร่ร่อน หรือจะเรียกว่าคนไร้บ้านหรือคำว่าอะไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วจะมีกระเป๋าใบใหญ่ ๆ ติดมาด้วยหนึ่งใบ เราเคยสอบถามพวกเค้าทำให้ได้ทราบว่า เค้าไม่ได้ต้องการจะมานอนข้างถนน ส่วนมาก พวกเค้ามาจากต่างจังหวัดและได้รับผลกระทบจากการทำมาหาเลี้ยงชีพ และรู้เพียงว่า ในกรุงเทพเมืองใหญ่ จะสามารถหางานทำได้ แต่เมื่อมาถึงแล้ว ก็กลับเหมือนมาตายดาบหน้า เพราะไม่รู้เส้นทาง ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร ต้องไปทางไหน นอนที่ไหน กินที่ไหน รู้แต่ว่ากรุงเทพ กรุงเทพ เพราะที่บ้านครอบครัวอดอยาก บางคนชีวิตเหมือนมรสุมซ้ำ บ้าน ครอบครัวอดอยากแล้ว มากรุงเทพคิดว่าจะมารอด ก็กลับกลายมาเป็นคนคุ้ยขยะไป เพราะเมื่อมาถึงกรุงเทพ ก็หลงทาง หิว หาที่นอนไม่ได้ สถานที่ที่พอรู้ว่าน่าจะพักได้คือสนามหลวงและหัวลำโพง เค้านอนพักหนึ่งวัน สองวัน เงินหมดลง ไปไหนต่อไม่ได้ หิวข้าวก็ไม่มีเงิน ต้องคุ้ยอาหารกิน เวลาผ่านไป หนึ่ง สอง สามสัปดาห์ สี่เดือน ห้าเดือน เวลาเดินไปเรื่อย ๆ และเค้าก็หมดสิ้นจุดหมายของชีวิต เหลือแต่ความคิดที่ว่า วันนี้จะหาข้าวอย่างไรต่อเท่านั้น เพราะเส้นทางคนดี ๆ ธรรมดาคนหนึ่งที่พยายามดิ้นรนมากรุงเทพเมืองใหญ่ เพื่อเอาชีวิตรอด ได้ถึงทางตันในที่สุด และบางคนก็ได้อยู่ในสภาพอย่างนั้นถาวร เพราะไม่มีเงินกลับบ้าน และข้าว น้ำ สำคัญกับเค้าจริง ๆ เคยมีคนที่นี่กราบเท้าเรา เพียงเพราะว่าเราซื้อข้าวกล่องเซเว่นให้เค้าทานและเค้าก็ร้องไห้ออกมา
หลังจากนั้นเราใช้เวลาพักใหญ่ ในการเดินหาคนเร่ร่อนจริง ๆ ที่ไม่ได้เป็นคนเร่ร่อนอย่างมีเหล้าขาวติดตัว เราเจอยายแก่ ๆ สองคน และเจอคนข้างทาง เราให้เงินไปหนึ่งร้อยบาท (คุยแล้วสกรีนแล้วเห็นว่าเป็นคนดี) และให้ขนมกับน้ำและนมอื่น ๆ จนหมด
ถ้าเราตายไปวันนี้ ถ้ายมบาลบอกเราให้ลงนรก เราจะถามกลับว่า
คุณไม่เห็นเลยเหรอว่าฉันทำอะไรเพื่อใครบ้าง ?
เราคิดว่าชีวิตของเรา เกิดมา คุ้มค่าแล้ว เพราะเราได้ทำเพื่อคนอื่น นั่นล่ะความหมายของชีวิตเรา เหตุผลที่เราดำรงอยู่
และัวันนี้ เ่ราได้ช่วยลุงคนหนึ่ง ที่ล้มข้างถังขยะ ให้ได้มีอาหารทานหนึ่งมื้อ วันนี้ถึงเรายังมีปัญหากับเพื่อนที่เรารักอยู่ ที่ไม่เห็นความสำคัญของเรา แต่เราก็กลับมีความอิ่มใจมาก
นี่กระมัง ที่เค้าเรียกว่าเป็นผู้ให้ สุขใจกว่าเป็นผู้รับ และมันทำให้เรารู้สึกได้ว่า การที่ีมีคนเห็นความสำคัญของเรา มันไม่สำคัญเท่ากับที่เราได้ให้ความสำคัญกับคนที่ต้องการเราเลย
และวันนี้ เงินเพียงแค่ไม่ถึงสามร้อยบาท ได้ทำให้คนหลายคน ไม่หน้ามืดเพราะความหิว เราได้ให้ชีวิต เราได้ต่อชีวิตให้คนบนโลก ชีวิตคนมีความหมายมาก และการที่คนหนึ่งคน ได้มีความสุข ได้ไม่ทรมานเพียงหนึ่งวัน ก็มีค่ามากจริง ๆ เราได้ทำสิ่งนั้นแล้ว เราได้ให้ชีวิตกับคนบนโลกแล้ว ความรู้สึกของเราที่เราใช้เงินมาซื้ออาหารต่อชีวิตคนตรงนี้ เรารู้สึกดีกว่าที่เราเอาเงินร้อยเงินพันไปกินพิซซ่ากินอาหารญี่ปุ่นเสียอีก ความอิ่มใจเทียบกันไม่ได้เลย และถ้าเราต้องเสียเงินแพง ๆ เพื่อให้เรากินอร่อย ๆ เราขอเปลี่ยนเป็นเสียเงินน้อย ๆ ให้ตัวเองอิ่ม ทานร้านอะไรไม่ต้องหรูต้องแพงมาก และนำส่วนที่เหลือ มาให้คนอื่นได้อิ่มบ้างก็พอ เพราะเราไม่อยากให้ใครต้องล้มข้างถังขยะท่ามกลางแดดร้อน ๆ อีกเลย และถ้าวันหนึ่ง เราทานอาหารหลักร้อยหลักพันออกจากโรงแรม จากห้างที่ใดที่นึง แล้วพบใครสักคนคุ้ยขยะกินที่ข้างทาง
เราคงมีคำถามเดียวกับตัวเองว่า
"เราทำอะไรลงไป ?"
และอีกคำถามสำหรับอนาคต
"ฉันจะได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ไหม ? อะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้