มือถืออีกรุ่นที่เปิดตัวพร้อมกับ OPPO R1 ก็คือ OPPO Find 5 mini ซึ่งเคยเป็นที่สนใจอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเปิดตัวแล้วทำเอาผิดคาดเล็กน้อยเพราะสเป็กของ OPPO Find mini เป็นแบบนี้
- CPU 4 core 1.3 GHz
- RAM 1 GB
- พื้นที่ 4 GB ใส่ Micro SD ได้
- หน้าจอ 4.7 นิ้ว ความละเอียด 960*540
- กล้อง 8 ล้าน F 2.0
- กล้องหน้า 2 ล้าน
- รองรับ 3G ทุกเครือข่าย
- มาพร้อม Color OS (แอนดรอย 4.2)
- น้ำหนัก 128 กรัม
- แบต 2000 mAh
- มีสีขาว และสีดำ
- รองรับ 2 ซิม
ซึ่งหลายคนคาดหวังจะได้ Find 5 ย่อส่วน แต่ที่ไหนได้ พอห้อยคำว่า mini ก็ลดสเป็กตามชาวบ้านแล้วแปะราคา 8990 บาท
รูปร่าง การจัดวางปุ่ม และขนาดตัวเครื่อง ถือด้วยมือเดียวค่อนข้างกระชับครับ แต่ที่ประหลาดแบบไม่เคยพบเคยเจอก็คือการใส่ซิม
ก็คือรุ่นนี้ต้องถอดฝาหลังเพื่อใส่ซิมขนาด Micro ทั้ง 2 อัน และ Micro SD แต่การถอดฝาหลังต้องใช้เข็มจิ้ม... ค่อนข้างแปลกเลยทีเดียว
3 ปุ่มด้านล่าง ได้แก่ menu, home, back ไม่มีสกรีนไว้ แต่เมื่อใช้งานจะมีไฟสว่างที่ปุ่มครับ
ปุ่ม home นอกจากจะใช้กลับหน้าหลักแล้ว ยังมีหน้าที่อีก 3 อย่างคือ
- กดค้าง เพื่อเข้า google now
- กด 2 ครั้ง เพื่อเข้า recent apps
- กดค้างในหน้า lock screen เพื่อเปิดไฟฉาย
รุ่นนี้มาพร้อมกับ ColorOS เหมือนกับ R1, Neo รวมทั้ง N1 ซึ่งมีจุดเด่นคือเรื่องความสวยงามและการควบคุมด้วยท่าทาง เช่น
- ลาก 3 นิ้วลงเพื่อจับภาพหน้าจอ
- ลาก 2 นิ้วขึ้น-ลง เพื่อปรับเสียง
- ขยุ้มนิ้วเพื่อเข้ากล้อง
- รองรับการใช้งานผ่านถุงมือ
- รับสายทันทีที่ยกแนบหู
gesture ที่ใช้ได้ระหว่างปิดหน้าจอคือ
- วาดรูป V เพื่อเปิดไฟฉาย
- วาดรูป O เพื่อเปิดกล้อง
- ลาก 2 นิ้วลงเพื่อเล่น-หยุดเพลง
- วาดรูป < หรือ > เพื่อเปลี่ยนเพลง
- เคาะ 2 ครั้งเพื่อเปิดหน้าจอ
ส่วนแถบแจ้งเตือนด้านบน มี quick settings แต่ถ้าลากจากมุมบนซ้ายลงมาจะเป็น gesture panel ให้เราวาดรูปแทนคำสั่งตั้งๆ ซึ่งสามารถตั้งเองได้ ที่ผมทำบ่อยๆก็คือ วาดตัว M เพื่อเปิดแอพเล่นเพลงครับ
ถัดมาเป็นส่วนของ Exclusive space ที่หลายคนชอบ เมื่อปัดหน้า home มาด้านขวาจนสุดจะเจอกับ Exclusive space หรือ widget แบบเต็มหน้าจอ สำหรับถ่ายรูปและเล่นเพลง
การใช้งาน OPPO Find 5 mini แทบไม่ต่างจาก OPPO R1 เนื่องจากใช้ ColorOS และรองรับการทำงาน 2 ซิมเหมือนกัน มีปุ่มโทรออกแยกชัดเจนระหว่าง 2 ซิม มีระบบ Smart dual ให้ใช้ 2 ซิมได้พร้อมกัน
ส่วนความสามารถด้านการโทรก็ใส่มาให้ครบ ทั้งการโทรด่วน การสั่นเมื่อปลายทางรับสาย หรือการทำ blacklist บล็อกบางเบอร์
เนื้อที่สำหรับติดตั้งแอพแบ่งไว้เพียง 1 GB เท่านั้น ถือว่าค่อนข้างน้อยมาก แต่ก็สามารถย้ายแอพไปติดตั้งในส่วนของ Phone storage ได้
แอพจัดการไฟล์ มีตัวช่วยลบขยะ เพิ่มพื้นที่เครื่องมาให้
รุ่นนี้มีวิทยุ FM มาให้ใช้ และแอพสำหรับดูหนังก็ใส่ความสามารถหลักๆมาให้ครบ
- ปัดขึ้น-ลงด้านขวา เพื่อปรับเสียง
- ปัดขึ้น-ลงด้านซ้าย เพื่อปรับแสง
- ล็อคหน้าจอ ป้องกันมือโดนระหว่างดูหนัง
- ย่อเป็นหน้าต่างเล็ก ไว้ดูพร้อมทำอย่างอื่น

เรื่องระบบรักษาความปลอดภัยที่ผมสนใจมีแค่ 2 อย่างคือ
- App encryption สำหรับใส่รหัสป้องกันแอพนั้นๆ
- Guest Mode แยกรหัสปลดล็อกหน้าจอเป็น 2 ชุด สำหรับเรา และคนอื่น เพื่อซ่อนข้อมูลสำคัญ
ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คืออัพเดทล่าสุดของ ColorOS ได้เปลี่ยนแป้นพิมพ์จาก GO Keyboard มาเป็น Swype ซึ่งมีข้อดีก็คือพิมพ์ด้วยการลากนิ้ว (swipe) ได้เร็วมากๆ แต่ข้อเสียคือรูปแบบการจัดวางแป้นภาษาไทยค่อนข้างแปลก
ข้อดีอีกอย่างของ Swype for OPPO ก็คือมันสามารถ sync คำศัพท์ข้ามอุปกรณ์ได้เหมือน Swype รุ่นปรกติ แต่จุดที่น่าสังเกตก็คือปุ่ม Dragon Dictation ที่ "พูดแล้วแปลงเป็นอักษร" ถูกแทนที่ด้วย Google Voice ทำให้ไม่รองรับภาษาไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากๆ
การทดสอบประสิทธิภาพด้วยค่า benchmark จาก Antutu X ได้คะแนนตามภาพ แต่อย่าไปยึดติดอะไรมาก มาลองทดสอบจริงๆดีกว่า
จัดไปตามคำขอ ทดสอบ Asphalt 8 ลื่น... Hay Day ก็ลื่น
ส่วนการทำงานของกล้อง ถ้าเทียบกับราคาก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ที่น่าสนใจคือกล้องหน้าสามารถตั้งค่า flip กลับด้านซ้าย-ขวาได้ ในขณะที่ OPPO หลายๆรุ่นทำไม่ได้
ข้อเสียหลักๆของกล้องรุ่นนี้คือถ่ายภาพในอัตราส่วน 4:3 เท่านั้น ไม่มีโหมด 16:9 และรองรับการอัดคลิปความละเอียดสูงสุด 720p ไม่ถึงขั้น full hd ตามสมัยนิยม
ตัวอย่างภาพถ่าย
สรุป เรื่องความเร็วในการใช้งานจริงก็ลื่นไหลดี แต่ปัญหาหลักคือพื้นที่ภายในที่ให้มาน้อยมาก ทำให้ติดตั้งแอพได้ไม่เยอะ แม้จะใส่ Micro SD ได้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก
กล้องค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับราคา และ ColorOS ก็มีความสวยงาม ลูกเล่นเยอะ แต่ไม่หน่วง

Source:
http://www.bacidea.com/review-oppo-find-5-mini.html
[SR] รีวิว OPPO Find 5 mini by bacidea
มือถืออีกรุ่นที่เปิดตัวพร้อมกับ OPPO R1 ก็คือ OPPO Find 5 mini ซึ่งเคยเป็นที่สนใจอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเปิดตัวแล้วทำเอาผิดคาดเล็กน้อยเพราะสเป็กของ OPPO Find mini เป็นแบบนี้
- CPU 4 core 1.3 GHz
- RAM 1 GB
- พื้นที่ 4 GB ใส่ Micro SD ได้
- หน้าจอ 4.7 นิ้ว ความละเอียด 960*540
- กล้อง 8 ล้าน F 2.0
- กล้องหน้า 2 ล้าน
- รองรับ 3G ทุกเครือข่าย
- มาพร้อม Color OS (แอนดรอย 4.2)
- น้ำหนัก 128 กรัม
- แบต 2000 mAh
- มีสีขาว และสีดำ
- รองรับ 2 ซิม
ซึ่งหลายคนคาดหวังจะได้ Find 5 ย่อส่วน แต่ที่ไหนได้ พอห้อยคำว่า mini ก็ลดสเป็กตามชาวบ้านแล้วแปะราคา 8990 บาท
รูปร่าง การจัดวางปุ่ม และขนาดตัวเครื่อง ถือด้วยมือเดียวค่อนข้างกระชับครับ แต่ที่ประหลาดแบบไม่เคยพบเคยเจอก็คือการใส่ซิม
ก็คือรุ่นนี้ต้องถอดฝาหลังเพื่อใส่ซิมขนาด Micro ทั้ง 2 อัน และ Micro SD แต่การถอดฝาหลังต้องใช้เข็มจิ้ม... ค่อนข้างแปลกเลยทีเดียว
3 ปุ่มด้านล่าง ได้แก่ menu, home, back ไม่มีสกรีนไว้ แต่เมื่อใช้งานจะมีไฟสว่างที่ปุ่มครับ
ปุ่ม home นอกจากจะใช้กลับหน้าหลักแล้ว ยังมีหน้าที่อีก 3 อย่างคือ
- กดค้าง เพื่อเข้า google now
- กด 2 ครั้ง เพื่อเข้า recent apps
- กดค้างในหน้า lock screen เพื่อเปิดไฟฉาย
รุ่นนี้มาพร้อมกับ ColorOS เหมือนกับ R1, Neo รวมทั้ง N1 ซึ่งมีจุดเด่นคือเรื่องความสวยงามและการควบคุมด้วยท่าทาง เช่น
- ลาก 3 นิ้วลงเพื่อจับภาพหน้าจอ
- ลาก 2 นิ้วขึ้น-ลง เพื่อปรับเสียง
- ขยุ้มนิ้วเพื่อเข้ากล้อง
- รองรับการใช้งานผ่านถุงมือ
- รับสายทันทีที่ยกแนบหู
gesture ที่ใช้ได้ระหว่างปิดหน้าจอคือ
- วาดรูป V เพื่อเปิดไฟฉาย
- วาดรูป O เพื่อเปิดกล้อง
- ลาก 2 นิ้วลงเพื่อเล่น-หยุดเพลง
- วาดรูป < หรือ > เพื่อเปลี่ยนเพลง
- เคาะ 2 ครั้งเพื่อเปิดหน้าจอ
ส่วนแถบแจ้งเตือนด้านบน มี quick settings แต่ถ้าลากจากมุมบนซ้ายลงมาจะเป็น gesture panel ให้เราวาดรูปแทนคำสั่งตั้งๆ ซึ่งสามารถตั้งเองได้ ที่ผมทำบ่อยๆก็คือ วาดตัว M เพื่อเปิดแอพเล่นเพลงครับ
ถัดมาเป็นส่วนของ Exclusive space ที่หลายคนชอบ เมื่อปัดหน้า home มาด้านขวาจนสุดจะเจอกับ Exclusive space หรือ widget แบบเต็มหน้าจอ สำหรับถ่ายรูปและเล่นเพลง
การใช้งาน OPPO Find 5 mini แทบไม่ต่างจาก OPPO R1 เนื่องจากใช้ ColorOS และรองรับการทำงาน 2 ซิมเหมือนกัน มีปุ่มโทรออกแยกชัดเจนระหว่าง 2 ซิม มีระบบ Smart dual ให้ใช้ 2 ซิมได้พร้อมกัน
ส่วนความสามารถด้านการโทรก็ใส่มาให้ครบ ทั้งการโทรด่วน การสั่นเมื่อปลายทางรับสาย หรือการทำ blacklist บล็อกบางเบอร์
เนื้อที่สำหรับติดตั้งแอพแบ่งไว้เพียง 1 GB เท่านั้น ถือว่าค่อนข้างน้อยมาก แต่ก็สามารถย้ายแอพไปติดตั้งในส่วนของ Phone storage ได้
แอพจัดการไฟล์ มีตัวช่วยลบขยะ เพิ่มพื้นที่เครื่องมาให้
รุ่นนี้มีวิทยุ FM มาให้ใช้ และแอพสำหรับดูหนังก็ใส่ความสามารถหลักๆมาให้ครบ
- ปัดขึ้น-ลงด้านขวา เพื่อปรับเสียง
- ปัดขึ้น-ลงด้านซ้าย เพื่อปรับแสง
- ล็อคหน้าจอ ป้องกันมือโดนระหว่างดูหนัง
- ย่อเป็นหน้าต่างเล็ก ไว้ดูพร้อมทำอย่างอื่น
เรื่องระบบรักษาความปลอดภัยที่ผมสนใจมีแค่ 2 อย่างคือ
- App encryption สำหรับใส่รหัสป้องกันแอพนั้นๆ
- Guest Mode แยกรหัสปลดล็อกหน้าจอเป็น 2 ชุด สำหรับเรา และคนอื่น เพื่อซ่อนข้อมูลสำคัญ
ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คืออัพเดทล่าสุดของ ColorOS ได้เปลี่ยนแป้นพิมพ์จาก GO Keyboard มาเป็น Swype ซึ่งมีข้อดีก็คือพิมพ์ด้วยการลากนิ้ว (swipe) ได้เร็วมากๆ แต่ข้อเสียคือรูปแบบการจัดวางแป้นภาษาไทยค่อนข้างแปลก
ข้อดีอีกอย่างของ Swype for OPPO ก็คือมันสามารถ sync คำศัพท์ข้ามอุปกรณ์ได้เหมือน Swype รุ่นปรกติ แต่จุดที่น่าสังเกตก็คือปุ่ม Dragon Dictation ที่ "พูดแล้วแปลงเป็นอักษร" ถูกแทนที่ด้วย Google Voice ทำให้ไม่รองรับภาษาไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากๆ
การทดสอบประสิทธิภาพด้วยค่า benchmark จาก Antutu X ได้คะแนนตามภาพ แต่อย่าไปยึดติดอะไรมาก มาลองทดสอบจริงๆดีกว่า
จัดไปตามคำขอ ทดสอบ Asphalt 8 ลื่น... Hay Day ก็ลื่น
ส่วนการทำงานของกล้อง ถ้าเทียบกับราคาก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ที่น่าสนใจคือกล้องหน้าสามารถตั้งค่า flip กลับด้านซ้าย-ขวาได้ ในขณะที่ OPPO หลายๆรุ่นทำไม่ได้
ข้อเสียหลักๆของกล้องรุ่นนี้คือถ่ายภาพในอัตราส่วน 4:3 เท่านั้น ไม่มีโหมด 16:9 และรองรับการอัดคลิปความละเอียดสูงสุด 720p ไม่ถึงขั้น full hd ตามสมัยนิยม
ตัวอย่างภาพถ่าย
สรุป เรื่องความเร็วในการใช้งานจริงก็ลื่นไหลดี แต่ปัญหาหลักคือพื้นที่ภายในที่ให้มาน้อยมาก ทำให้ติดตั้งแอพได้ไม่เยอะ แม้จะใส่ Micro SD ได้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก
กล้องค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับราคา และ ColorOS ก็มีความสวยงาม ลูกเล่นเยอะ แต่ไม่หน่วง
Source: http://www.bacidea.com/review-oppo-find-5-mini.html