ใครมีโทรทัศน์คงเคยเห็นโฆษณายาชูกำลังยี่ห้อหนึ่ง ที่ตอนท้ายต้องตบท้ายด้วยวลีเด็ด ว่า “เป้าหมายมีไว้พุ่งชน”
อาจมีนักแสดงหรือคนที่สังคมมองว่ามีชีวิตประสบความสำเร็จ มาเล่าเม้ามอยเป้าหมายและอุปสรรคในชีวิตให้ฟัง ลงท้ายเขาก็ต้องพูดโสลแกน “เป้าหมาย มีไว้ พุ่งชน!!” ให้ดุเดือดเลือพร่านกันไป
หากพูดถึง “เป้าหมาย” ผมคิดว่าเป็นความพิเศษของคนเราเลยนะ ผิดกับสัตว์ประเสริฐน้อยอีกมากมาย ที่ต้องดำเนินชีวิตไปตามสัตชาตญาน ไม่มีโอกาสคิดหรือได้ทำอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่ธรรมชาติสั่งมา ดูได้จากวิศวกรบีเวอร์เป็นตัวอย่าง
บีเวอร์คืออะไร อยากรู้ ก็ลองเซิดเว็บกูเกิ้ล แล้วพิมพ์ว่า “บีเวอร์”ดู คุณจะพบสัตว์ขนปุย โหงวเฮ้งคล้ายๆหนู ตัวป้อมๆน่ารักคาบไม้อยู่ในปาก ที่ผมเรียกมันว่า “วิศวกร” ก็เพราะไม้ที่มันคาบนั่นแหล่ะ
ไอหน้าหนูหางแบนตัวนี้ ชอบสร้างเขื่อนเป็นชีวิตจิตใจ มีไม้เป็นวัสดุก่อสร้าง สิ่งที่ต้องทำชั่วชีวิตของมันคือ เอาไม้มาสุม สุม สุมๆ สร้าง โพรงเป็นที่พักอาศัยหรือกั้นน้ำไว้สำหรับว่ายน้ำเล่น (เขาว่ากันอย่างนั้น)
นักวิจัย ฌอง ธอ (Jean Thie) ชาวแคนาดาเป็นอีกคนที่รู้ชีวิตความจำเจของมันดี เมื่อเขานึกสนุก ไปใช้โปรแกรม “google earth” ดูภูมิศาสตร์ของประเทศของตนเอง ในเขตป่า”Wood Buffalo National Park” ผลประมวลภาพของดาวเทียม พบกับสุมไม้กองใหญ่ ซึ่งคือเขื่อนของบีเวอร์นั้นเอง
โดยเขื่อนมีขนาดกว้างขวางถึง 850 เมตร หรือมีความยาวเท่าสะพานมอญ ที่สังขระบุรีเลยทีเดียว ซึ่งนักวิทยาศาตร์ประมาณการณ์กันว่า บีเวอร์ใช้เวลาถึง 30 ปีในการสร้างเขื่อนนี้ และงานนี้ก็ถูกตกทอดเป็นมรดกให้รุ่นลูกทำต่อ หรือพูดง่ายๆทุกตัวที่เกิดมา มีหน้าที่สร้างเขื่อน ไปเรื่อยๆ!!!
คุณไม่ใช่บีเวอร์ คงไม่จำเป็นต้องสร้างเขื่อน จะมีแม่คนไหน บังคับขู่เข็นให้สร้างเขื่อน คงไม่มี
คุณฝันอยากจะเป็นวิศวกรสร้างเขื่อนหรือไม่ก็ได้ ตามแต่ใจ หรือคุณอยากเป็นนักกีฬาก็ได้ พ่อค้าแม่ค้าก็ดี คนขับรถ ขอทาน ฯลฯ คุณอยากทำอะไรก็ได้ที่คิดอยากจะทำ ธรรมชาติกำหนดเราให้มีเส้นทางให้เลือกหลากหลายเหลือเกิน แม้กระทั่งคุณจะทำงานรับเงินเดือนไปวันๆ ก็ไม่ผิด ถ้าคุณคิดว่าเป้าหมายไม่จำเป็นสำหรับคุณ
สาเหตุที่ไอหนุ่มรุ่นกระทงอย่างผม ได้ตัดสินใจเข้าเรียนสาขาวารสารศาสตร์นั้น เพราะคิดใฝ่ฝันว่า อนาคตจะเปิดสำนักพิมพ์ร่วมทุนกับพี่สาว แต่เท่าที่ดู เหมือนสาขานี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมนัก สังเกตุจากคนสมัครที่มีเพียงห้าสิบคนเท่านั่น ต่างกับสาขาอื่น ที่มีคนเข้าสมัครเป็นพัน
ด้วยความเจือกเรื่องชาวบ้าน ผมลองไปถามเพื่อนเล่นๆว่า “ทำไมถึงเลือกเรียนศาสตร์วิชานี้” คำตอบก็มีไม่กี่แพทเทิร์น เช่น
“อาจารย์ที่ให้สัมภาษณ์ เขาโยนมา บอกว่ากูเหมาะกับสาขานี้ กูก็มาตามที่เขาบอก ฮ่าๆ”
“เรียนสาขาไหน ก็ได้ปริญญาเหมือนกันแหล่ะ”
“กูเคยเรียนสาขาอื่นมาแล้ว แต่เรียนไม่ไหว เลยมาลองเข้าสาขานี้ดู”
“กูไม่รู้เหมือนกัน”
“ทำไมต้องมีเป้าหมาย ใช่ชีวิตรอดไปวันๆได้ก็บุญละ จะคิดอะไรมากวะ”
คำตอบพวกนี้ อาจเป็นผลพวงความล้มเหลวทางการศึกษาหรือความคิดตื้นเขินของตัวเด็กเอง ก็ไม่ทราบได้ แต่ผมไม่คิดติงอะไรนะ เพราะผมก็เคย และเชื่อว่าหลายคนก็เคยประสบเหมือนกัน
คนบางคน อาจมีภาระมากมายที่ต้องรับมือ จนต้องทิ้งความฝันไว้เบื้องหลัง หรือบางคนเคยลงมือทำตามความใฝ่ฝันมาก่อนหน้านี้ แต่เมื่อล้มเหลว เป้าหมายจึงสั่นคลอน ตามความหวาดหวั่นในความรู้สึก จนไม่กล้าเรียกสิ่งที่ตนเคยคิดว่าเป็น“เป้าหมาย”ว่าคือ “เป้าหมาย” ได้เต็มปาก หรือบางคนอาจจะไม่คิดอะไรเลยจริงๆก็ได้ เราตัดสินใครไม่ได้เลย
แต่ไม่ว่าคุณอยู่ในสภาพการณ์ใด ขอให้ลองหาเป้าหมายในชีวิตดู แม้สุดท้ายเป้าหมายที่คิดไว้ มันไม่ตอบความเป็นเรา ช่างปะไร พยายามค้นหาเจตจำนงในการใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป พ่อค้าอยากรวย แต่ดันเปิดร้านอาหารแล้วเจ๊ง ก็ไม่ได้ความว่าเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นจะต้องเจ๊งเหมือนกัน ว่าไหม
รู้ๆกันอยู่ สรวงสรรค์ไม่เคยมอบคำบัญชาให้เราทำอะไร เขาให้แค่สมองที่มีมากกว่าสัตว์อื่นๆ เพื่อให้เรา “คิด” และหาเป้าหมายในชีวิตด้วยตัวเอง เมื่อได้พรวิเศษขนาดนี้แล้ว จะไม่ใช้ไม่ให้คุ้มได้อย่างไร
แม้ระหว่างเดินทาง มันจะยาก มันจะเหนื่อยในการค้นหาแก่นแท้ของชีวิตเรา แต่ถ้าคุณไม่ยอมเหนื่อยยอมสู้เพื่อฝันของตัวเอง แล้วใครจะมาสู้เพื่อฝันของคุณล่ะ อย่ายอมแพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้ง ใครจะดูถูกเป้าหมายของเรา ว่าเราไม่มีปัญญาทำได้ ช่างมัน ผมเชื่อว่าทุกคนต้องหาจุดยืนบนเส้นทางของตนเองได้ซักวันหนึ่ง โดยไม่ต้องฟังลมปากของใคร
หากเดชะบุญ ท้ายสุดคุณยังให้คำตอบตัวเองว่า “ค้นหาไปทำไม ขี้เกียจ ช่าง

” ….ลองไปบนบานศาลกล่าวให้ชาติหน้าเกิดมาเป็นบีเวอร์ดูครับ ผมว่ามันน่าจะเหมาะกับคุณ
เขียนโดย(ปีจอ)
https://www.blogger.com/blogger.g?blogID=2992093447229121101#allposts/src=dashboard
เป้าหมายที่ ฅ. มีได้แต่ ควาย ไม่มี
อาจมีนักแสดงหรือคนที่สังคมมองว่ามีชีวิตประสบความสำเร็จ มาเล่าเม้ามอยเป้าหมายและอุปสรรคในชีวิตให้ฟัง ลงท้ายเขาก็ต้องพูดโสลแกน “เป้าหมาย มีไว้ พุ่งชน!!” ให้ดุเดือดเลือพร่านกันไป
หากพูดถึง “เป้าหมาย” ผมคิดว่าเป็นความพิเศษของคนเราเลยนะ ผิดกับสัตว์ประเสริฐน้อยอีกมากมาย ที่ต้องดำเนินชีวิตไปตามสัตชาตญาน ไม่มีโอกาสคิดหรือได้ทำอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่ธรรมชาติสั่งมา ดูได้จากวิศวกรบีเวอร์เป็นตัวอย่าง
บีเวอร์คืออะไร อยากรู้ ก็ลองเซิดเว็บกูเกิ้ล แล้วพิมพ์ว่า “บีเวอร์”ดู คุณจะพบสัตว์ขนปุย โหงวเฮ้งคล้ายๆหนู ตัวป้อมๆน่ารักคาบไม้อยู่ในปาก ที่ผมเรียกมันว่า “วิศวกร” ก็เพราะไม้ที่มันคาบนั่นแหล่ะ
ไอหน้าหนูหางแบนตัวนี้ ชอบสร้างเขื่อนเป็นชีวิตจิตใจ มีไม้เป็นวัสดุก่อสร้าง สิ่งที่ต้องทำชั่วชีวิตของมันคือ เอาไม้มาสุม สุม สุมๆ สร้าง โพรงเป็นที่พักอาศัยหรือกั้นน้ำไว้สำหรับว่ายน้ำเล่น (เขาว่ากันอย่างนั้น)
นักวิจัย ฌอง ธอ (Jean Thie) ชาวแคนาดาเป็นอีกคนที่รู้ชีวิตความจำเจของมันดี เมื่อเขานึกสนุก ไปใช้โปรแกรม “google earth” ดูภูมิศาสตร์ของประเทศของตนเอง ในเขตป่า”Wood Buffalo National Park” ผลประมวลภาพของดาวเทียม พบกับสุมไม้กองใหญ่ ซึ่งคือเขื่อนของบีเวอร์นั้นเอง
โดยเขื่อนมีขนาดกว้างขวางถึง 850 เมตร หรือมีความยาวเท่าสะพานมอญ ที่สังขระบุรีเลยทีเดียว ซึ่งนักวิทยาศาตร์ประมาณการณ์กันว่า บีเวอร์ใช้เวลาถึง 30 ปีในการสร้างเขื่อนนี้ และงานนี้ก็ถูกตกทอดเป็นมรดกให้รุ่นลูกทำต่อ หรือพูดง่ายๆทุกตัวที่เกิดมา มีหน้าที่สร้างเขื่อน ไปเรื่อยๆ!!!
คุณไม่ใช่บีเวอร์ คงไม่จำเป็นต้องสร้างเขื่อน จะมีแม่คนไหน บังคับขู่เข็นให้สร้างเขื่อน คงไม่มี
คุณฝันอยากจะเป็นวิศวกรสร้างเขื่อนหรือไม่ก็ได้ ตามแต่ใจ หรือคุณอยากเป็นนักกีฬาก็ได้ พ่อค้าแม่ค้าก็ดี คนขับรถ ขอทาน ฯลฯ คุณอยากทำอะไรก็ได้ที่คิดอยากจะทำ ธรรมชาติกำหนดเราให้มีเส้นทางให้เลือกหลากหลายเหลือเกิน แม้กระทั่งคุณจะทำงานรับเงินเดือนไปวันๆ ก็ไม่ผิด ถ้าคุณคิดว่าเป้าหมายไม่จำเป็นสำหรับคุณ
สาเหตุที่ไอหนุ่มรุ่นกระทงอย่างผม ได้ตัดสินใจเข้าเรียนสาขาวารสารศาสตร์นั้น เพราะคิดใฝ่ฝันว่า อนาคตจะเปิดสำนักพิมพ์ร่วมทุนกับพี่สาว แต่เท่าที่ดู เหมือนสาขานี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมนัก สังเกตุจากคนสมัครที่มีเพียงห้าสิบคนเท่านั่น ต่างกับสาขาอื่น ที่มีคนเข้าสมัครเป็นพัน
ด้วยความเจือกเรื่องชาวบ้าน ผมลองไปถามเพื่อนเล่นๆว่า “ทำไมถึงเลือกเรียนศาสตร์วิชานี้” คำตอบก็มีไม่กี่แพทเทิร์น เช่น
“อาจารย์ที่ให้สัมภาษณ์ เขาโยนมา บอกว่ากูเหมาะกับสาขานี้ กูก็มาตามที่เขาบอก ฮ่าๆ”
“เรียนสาขาไหน ก็ได้ปริญญาเหมือนกันแหล่ะ”
“กูเคยเรียนสาขาอื่นมาแล้ว แต่เรียนไม่ไหว เลยมาลองเข้าสาขานี้ดู”
“กูไม่รู้เหมือนกัน”
“ทำไมต้องมีเป้าหมาย ใช่ชีวิตรอดไปวันๆได้ก็บุญละ จะคิดอะไรมากวะ”
คำตอบพวกนี้ อาจเป็นผลพวงความล้มเหลวทางการศึกษาหรือความคิดตื้นเขินของตัวเด็กเอง ก็ไม่ทราบได้ แต่ผมไม่คิดติงอะไรนะ เพราะผมก็เคย และเชื่อว่าหลายคนก็เคยประสบเหมือนกัน
คนบางคน อาจมีภาระมากมายที่ต้องรับมือ จนต้องทิ้งความฝันไว้เบื้องหลัง หรือบางคนเคยลงมือทำตามความใฝ่ฝันมาก่อนหน้านี้ แต่เมื่อล้มเหลว เป้าหมายจึงสั่นคลอน ตามความหวาดหวั่นในความรู้สึก จนไม่กล้าเรียกสิ่งที่ตนเคยคิดว่าเป็น“เป้าหมาย”ว่าคือ “เป้าหมาย” ได้เต็มปาก หรือบางคนอาจจะไม่คิดอะไรเลยจริงๆก็ได้ เราตัดสินใครไม่ได้เลย
แต่ไม่ว่าคุณอยู่ในสภาพการณ์ใด ขอให้ลองหาเป้าหมายในชีวิตดู แม้สุดท้ายเป้าหมายที่คิดไว้ มันไม่ตอบความเป็นเรา ช่างปะไร พยายามค้นหาเจตจำนงในการใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป พ่อค้าอยากรวย แต่ดันเปิดร้านอาหารแล้วเจ๊ง ก็ไม่ได้ความว่าเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นจะต้องเจ๊งเหมือนกัน ว่าไหม
รู้ๆกันอยู่ สรวงสรรค์ไม่เคยมอบคำบัญชาให้เราทำอะไร เขาให้แค่สมองที่มีมากกว่าสัตว์อื่นๆ เพื่อให้เรา “คิด” และหาเป้าหมายในชีวิตด้วยตัวเอง เมื่อได้พรวิเศษขนาดนี้แล้ว จะไม่ใช้ไม่ให้คุ้มได้อย่างไร
แม้ระหว่างเดินทาง มันจะยาก มันจะเหนื่อยในการค้นหาแก่นแท้ของชีวิตเรา แต่ถ้าคุณไม่ยอมเหนื่อยยอมสู้เพื่อฝันของตัวเอง แล้วใครจะมาสู้เพื่อฝันของคุณล่ะ อย่ายอมแพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้ง ใครจะดูถูกเป้าหมายของเรา ว่าเราไม่มีปัญญาทำได้ ช่างมัน ผมเชื่อว่าทุกคนต้องหาจุดยืนบนเส้นทางของตนเองได้ซักวันหนึ่ง โดยไม่ต้องฟังลมปากของใคร
หากเดชะบุญ ท้ายสุดคุณยังให้คำตอบตัวเองว่า “ค้นหาไปทำไม ขี้เกียจ ช่าง
https://www.blogger.com/blogger.g?blogID=2992093447229121101#allposts/src=dashboard