หน้าฉาก-หลังฉากตั้งโต๊ะเจรจา จับตา “สุเทพ” ดื้อจนหยดสุดท้าย

กระทู้สนทนา
รายงานการเมือง
       
       ในจังหวะที่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ตัดสินใจคืนพื้นที่กรุงเทพฯ ให้คน กทม. ด้วยการยุบทุกเวที-ทุกแยกของ กปปส.
       
       โดยให้มารวมกันที่เวทีใหม่ “สวนลุมพินี”
       
       มีใครบางคนที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศรส.) นั่งหัวเราะชอบใจอยู่ พ่วงด้วยเสียงเฮดังๆ ของ “บิ๊กตำรวจ” เพราะเรียกร้องให้ “กำนันสุเทพ” ยุบเวทีมารวมเป็นเวทีเดียวมานานแล้ว
       
       นั่นเพราะ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ผอ.ศรส.รู้ดีว่าการบริหาร “ม็อบกำนัน” จะทำได้ง่ายขึ้น ถ้าหากกระจัดกระจายเป้าหมายเคลื่อนก็จะทำให้เสี่ยงต่อการจับกุม
       
       “บิ๊ก ศรส.” เล่าว่า “เป็ดเหลิม” ถึงกับต่อสายโทรศัพท์ไปถึง “บิ๊กตำรวจ” หลายนายให้จัดเตรียมเซ็ตแผนจับกุมแกนนำ กปปส.ใหม่ทันที โดยให้นำเสนอในที่ประชุม ศรส.ในเร็ววันนี้
       
       มีหวัง “เป็ดเหลิม” ออกแอ็กชันโชว์จัดหนักกันอีกรอบแน่ แม้จะใช้ข้อบังคับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ “เป็ดเหลิม” สั่งจับตามกฎหมายอาญา
       
       งานนี้ต้องติดตามว่า “ตำรวจ” จะมีน้ำยามากน้อยแค่ไหน และยังจะบ้าจี้ตาม “เจ้านายบ้าอำนาจ” อยู่หรือไม่
       
       แต่ที่ถูกตั้งคำถามมากที่สุด คงหนีไม่พ้น “สุเทพ-กปปส.” ที่การประกาศยุบรวมเวที กลับถูกสังคมค่อนขอดว่า หมดมุก-หมดคน-หมดพลัง แต่ทั้งทาง กปปส.กลับยืนยันว่าเป็นการปรับกลุยทธ์ เพื่อรุกกลับ “เครือข่ายทักษิณ” ให้เป็นรูปเป็นขบวนมากยิ่งขึ้น
       
       ทว่าบางกระแสกลับบอกว่า “สุเทพ-กปปส.” ทำตามเงื่อนไขหนึ่งของการเจรจา และเพื่อให้การเจรจาเดินหน้าไปได้ต้องทำให้เห็นว่า มีความจริงใจ
       
       แม้ “สุเทพ” จะยืนยันปากแข็งบนเวทีปราศรัยทุกครั้งว่าจะไม่เจรจากับ “เครือข่ายทักษิณ” แต่ในทางลับแล้วการเจรจาเคลื่อนไหวทุกวัน
       
       “พวกโลกสวย” ที่ “สุเทพ” เอ่ยถึงบนเวทีปราศรัยอยู่หลายครั้ง ยังคงเดินหน้าพูดคุยให้ทั้ง 2 ขั้วอำนาจหน้าฉาก ได้หันมาเงื่อนไขซึ่งกันและกัน
       
       ความพยายามของ “ปลัดเค-มิสเตอร์เอ็น” ยังคงไม่ลดละ พยายามอย่างหนักต่อไป
       
       “พวกภาพสวย” อย่าง “วิษณุ เครืองาม” ต้นตำรับเนติบริกร แม้จะถูก “นายใหญ่” ขึ้นแบล็กลิสต์ไม่ไว้วางใจ เพราะกระแสหนึ่งระบุว่า “สุเทพ” ไว้เนื้อเชื่อใจ “วิษณุ” มาก กระแสหนึ่งบอกว่า “วิษณุ” เซย์โนเอง
       
       ขบวนการของ “พวกภาพสวย” ที่ต่างฝ่ายต่างเห็นว่ามีความเหมาะสมที่จะนั่ง “นายกฯ คนกลาง” ช่วยแก้ไขสถานการณ์บ้านเมืองให้เดินหน้าต่อไปได้ ยังคงเดินหน้าอยู่ และเชื่อมคอนเนคชั่นให้สูงขึ้นอีก
       
       ตัวละครสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนหน้าใหม่-หน้าเก่าบ้าง ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส
       
       แต่ “คีย์แมน” คนหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน มีชื่อว่า “นิพนธ์ พร้อมพันธุ์” ผู้ที่มักจะพก “สัญญาณพิเศษ” มาด้วยเสมอ
       
       ยี่ห้อ “นิพนธ์” คนในวงการการเมืองรู้ดีว่า “สาย” ใคร
       
       ครั้นหนึ่งใน “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ที่มีปัญหาแต่งตั้ง ผบ.ตร.ซึ่งมีแคนดิเดต 2 คน คือ “พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย” กับ “พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ” มี “สัญญาณพิเศษ” ทับซ้อน เดือดร้อน “นิพนธ์” ต้องบินไปประเทศเยอรมนีมาแล้ว
       
       ในศึก “กปปส. vs เครือข่ายทักษิณ” จึงมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า “นิพนธ์” หันกลับมารับจ็อบจาก “บุคคลระดับสูง” ให้นำ “สัญญาณพิเศษ” มาเจรจาเพื่อต่อรองกับ “สุเทพ-กปปส.”
       
       ตามลูกเชี่ยวการเมืองของ “สุเทพ” จึงรู้ดีว่าจังหวะไหนควรคุย จังหวะไหนควรเลี่ยง
       
       ที่สำคัญใน กปปส.เอง “สุเทพ” ไว้ใจแค่ “ลูกหาบ” ที่พากันออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์มายืนแถวหน้ามวลมหาประชาชนเท่านั้น กลุ่มคนเหล่านี้รับรู้ทิศทางความเคลื่อนไหว “ผลการเจรจา” เกือบทั้งหมด
       
       ระยะหลังเริ่มมีความเคลื่อนไหวในการดีลลับหลายกลุ่ม โดยเฉพาะ “หลวงปู่พุทธะอิสระ” ที่รู้กันดีว่ามีลูกศิษย์ลูกหามากมาย อาทิ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ - พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จึงมีผู้หวังดีเปิดดีลลับๆ กับ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” น้องเขยนายใหญ่
       
       และ “หวังดี” ถึงขนาดนำภาพมาโพสต์ลงแฟนเพจเฟซบุ๊กจนฮือฮาใหญ่โต เมื่อแรกเห็นและทราบเรื่องทำเอา “กำนันสุเทพ” อึกอักไปไม่เป็นเหมือนกัน เพราะวันนั้นยังประกาศโครมๆ ว่า ไม่คุย ไม่เจรจา ไม่ต่อรอง ก่อนจะตั้งหลักกลับมาสนับสนุนการเคลื่อนไหวของ “หลวงปู่พุทธะอิสระ” ว่า เป็นไปตามบริบทของแต่ละเวที
       
       เสียงอื้ออึงว่าจุดนี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ “สุเทพ” ตัดสินใจยุบเวที กปปส.ทั้งหมด แล้วมารวมศูนย์ที่ “สวนลุมพินี” เพื่อกระชับอำนาจการต่อรองไว้อยู่ที่ “สุเทพ” คนเดียว
       
       ตามจังหวะที่การเจรจายังชักเข้าชักออก ต่างฝ่ายต่างเล่นแง่กันอยู่ ฝั่ง “คนเสื้อแดง” แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เร่งเครื่องหนักระดมปลุกลิ่วล้อให้ออกมารักษาประชาธิปไตย ปูดข่าวเกณฑ์คนฝึกอาวุธกันจริงจัง วาดภาพ “สงครามกลางเมือง” ที่พูดขึ้นมาเมื่อใด ประชาชน ก็กลัวเมื่อนั้น
       
       ความเคลื่อนไหวของ “แดง นปช.” เสมือนบีบให้มวลชนที่ศรัทธา “สุเทพ-กปปส.” ฝ่อตัวไปเอง หวังให้เกิดความกลัวจนไม่กล้าออกมาร่วมการชุมนุมอีก
       
       ทางหนึ่ง “ชายชุดดำ” ที่ฝึกอาวุธมาตั้งแต่ปี 2553 บรรดา “นายพลเฒ่า” ระดมอาวุธยุทโธปกรณ์ยิงใส่ที่ชุมนุม กปปส.สร้างภาพความรุนแรง มีผลทำให้มวลมหาประชาชนประชาชนออกมาร่วมชุมนุม กปปส.มียอดน้อยลงชัดเจน
       
       ทุกกระบวนการของ “เครือข่ายทักษิณ” บีบให้ “สุเทพ-กปปส.” ต้องขึ้นโต๊ะเจรจาอย่างจริงๆ จังๆ
       
       หลังจากนี้ต้องวัดใจ “สุเทพ-กปปส.” ว่าจะดื้อแพ่งไปได้สักกี่น้ำ ก่อนจะยอมขึ้นโต๊ะเจรจา หรือจะยอมฮึดสู้-ยอมตาย ไม่ร่วมขึ้นโต๊ะเจรจา แม้ว่าสัญญาณการเจรจาจะมาจาก “บุคคลระดับสูง” หรือจะมาจากแรงบีบจากเหตุความรุนแรง
       
       วัดใจ “สุเทพ” วัดใจ “แกนนำ กปปส.” วัดใจ “ปชป.” ว่าจะยอมสูญเสียโอกาสที่จะทำลาย “ระบอบทักษิณ” ที่จะหาไม่ใด้อีกแล้วหรือไม่

ที่มาข่าว ผู้จัดการออนใลน์ http://goo.gl/450dYl


...............................................................................................................................
ข่าวนี้ที่เอามาต้องกระทู้เพราะ " สหายเจียม " ตั้งข้อสังเกตุเอาใว้อย่างน่าสนใจในเพสบุ๊คดังนี้
'คนในวงการเมืองรู้ดีว่า "สาย" ใคร'

ก็นั่นสิครับ ตกลง "ใคร" ล่ะครับ?
และไอ้ที่เขียนว่า '....มี "สัญญาณพิเศษ" ทับซ้อน เดือดร้อน "นิพนธ์" ต้องบินไปประเทศเยอรมันมาแล้ว...' นี่หมายความว่าอะไรนะครับ?


..................................................................................................................................
และถ้าใครติดตามอ่านเฟสบุ๊คเพจ ของเสธกู (กูต้องใด้สิบล้านจาก...) แล้วคงจะยังจำใด้ว่าเสธกูเคยโพสสเตตัส ว่าจะไปทำภารกิจอย่างหนึ่งที่เยอรมัน
ตกลงเสธกูไปทำภาระกิจอะไร..? ไปหาใคร..? ที่เยอรมันครับ หลังจากนั้นเพจเสธกูก็เงียบไป มาโพสสเตตัสอีกที่ ก็ตอนสุเทพขอเจรจากับนายกแล้ว


สุดท้ายเป็นบทวิเคราะห์ของสหายเจียม
.....................................................       
เอา(ข่าว)มาให้ดูเพื่อยืนยันสิ่งที่พูดไปหลายครั้งแล้วว่า ประเทศนี้ "ไม่รู้จักโต" (immature) คือ "คนในวงการเมือง" (นักการเมือง สื่อมวลชน - แม้แต่สื่ออย่างผู้จัดการ) "รู้ดี" ว่า การเมืองและวิกฤติการเมืองไทยนั้น มันมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ███████ อยู่ (ในส่วนนักการเมืองนะ ลองนึกเอาว่า ขนาดคนอย่างชูวิทย์ ยังอุตส่าห์พูดเรื่อง "พ่อแม่ป่วย ลูกๆแย่งมรดก" อะไรกันโน่น)

แต่ก็ "ไม่โตพอ" ทีจะให้มีการพูดกันอย่างตรงไปตรงมา (เหมือนเด็กทารกน่ะ ที่ต้องมี "จำกัดเรต" ให้ดูหนังอะไรได้หรือไม่ไ่ด้ ฟังอะไรได้หรือไม่ได้ .. แต่นี่มันเป็นเรื่องของความเป็น "ทารก" ของ ทั้งสังคม)

ตราบใดที่สังคมไทยยัง "ไม่รู้จักโต" ตราบใดที่ยังใช้วิธีการ "ยิ้ม" หน้าพูดอย่าง หลังพูดอย่างแบบนี้ ก็ไม่มีทางแก้ปัญหาได้จริงๆ มีแต่วิกฤติซ้ำๆ แล้วก็มีคนธรรมดาๆ (ของทั้งสองฝ่าย) เจ้าหน้าที่ระดับธรรมดา ตายๆกันไปอยู่เรื่อยๆ

คนทีน่าสงสารทีสุดคือพวกคนรักเจ้าระดับธรรมดาๆนั่นแหละที่ถ้าไม่รู้ไม่ชี้ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลย - คนเสื้อแดงระดับชาวบ้านๆ เขายังรู้อะไรเป็นอะไรมากกว่า - ก็ประเภทที่ฝรั่งเรียกว่า in denial คือภาวะทางจิตใจที่ไม่ปกติอย่างหนึ่ง ที่ปฏิเสธจะยอมรับความจริง แม้จะเห็นได้ชัดๆต่อหน้าต่อตาว่าจริงเพียงใด

(ปล. แต่จะว่าไปนะ พูดในฐานะคนในวงการ "วิชาการ" ถ้าระดับนักวิชาการที่ควรทำหน้าที่คิดอะไรยากๆ พูดอะไรที่มันยากๆ - แม้แต่นักวิชาการทีอ้างว่า "ประชาธิปไตย" จะ "เปลี่ยนโครงสร้าง" อะไร - ก็ยังไม่กล้าพูด จะไปโทษหรือบ่นเรื่องคนทั่วๆไป ก็ลำบากเหมือนกัน)
..........................................................................

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่