นี่ขนาดเป็นคนที่ไม่ชอบทักษิณนะ แต่เหลืออดกับม็อบประชาธิปัตย์ ถึงขนาดไปตั้งโต๊ะด่าม็อบจนถูกตราหน้าว่าเป็นคนป่วน
เมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่ผ่านมา ภาพของชายหนุ่มเสื้อกั๊กสีดำคาดศีรษะด้วยผ้ายืดลายธงชาติ ที่มาตั้งโต๊ะแถลงอย่างขึงขังแข่งกับเสียงบนเวที กปปส. ที่แยกราชประสงค์ ดูผิวเผินเหมือนเป็นคนชอบป่วนทั่วไป
แท้จริงแล้วชายวัย 48 ปี ผู้นี้คือ สมบูรณ์ นำทิพย์จันทาเจริญ หรือ อ.โบบิ ปรมาจารย์แว่นสายตาระดับไฮเอนด์ ผู้อำนวยการศูนย์แว่นตา ไอซอพติก ชั้น 4 เอราวัณ แบงคอก มีลูกค้าระดับอภิมหาเศรษฐีหลายราย ทำรายได้สูงถึงเดือนละ 10 ล้านบาท
ในวันนั้น อ.โบบิ ในฐานะผู้ประกอบการย่านราชประสงค์ ได้ออกมายื่นข้อเรียกร้องต่อกลุ่ม กปปส. มีเนื้อหาสาระว่า ไม่ต่อต้านการชุมนุม สนับสนุนให้คนตื่นตัวทางการเมืองอย่างสันติ ปราศจากอาวุธ และไม่ใช้ความรุนแรง
แต่ขอคัดค้านการชุมนุมทางการเมืองในย่านธุรกิจการค้าต่อเนื่องเกินกว่า 7 วันต่อเดือน
หากชุมนุมต่อเนื่องเกิน 7 วัน ขอโอกาสให้ผู้ประกอบการได้ขึ้นเวทีเพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ผู้ชุมนุมมาใช้บริการบ้าง
พร้อมกันนั้นยังได้ทำพิธีสาปแช่งผู้ที่สร้างความรุนแรงที่ผ่านมา โดยมีเหตุผลว่าไม่ชอบความรุนแรง
ซึ่งความกล้าบ้าบิ่นนี่เอง ทำให้วันนั้น อ.โบบิ หวุดหวิดจะปะทะกับกลุ่มของการ์ด กปปส.
"การแถลงข่าวที่บอกว่า ผู้ประกอบการย่านราชประสงค์ได้รับผลกระทบเพียง 10-20% นั้น ไม่จริง จะให้ผมพาไปเดินถามรายช็อปเลยก็ได้ว่ากระทบยังไง ส่วนของผมนี่โดนเต็มๆ 98-99%" อ.โบบิกล่าวอย่างเหลืออด
อ.โบบิกล่าวว่า พื้นที่ราชประสงค์ เป็นพื้นที่การค้าระดับไฮเอนด์ และทุกครั้งเวลามีความวุ่นวายทางการเมืองตั้งแต่ปี 2553 ก็ถูกใช้เป็นพื้นที่ชุมนุมทางการเมือง ทำให้ผู้ประกอบการเดือดร้อนทุกครั้ง
ซึ่งครั้งล่าสุดการชัตดาวน์กรุงเทพฯ มองว่าต้องยืดเยื้อ อาจยืดเยื้อมากกว่าปี 2553 ด้วยซ้ำ จึงได้พยายามรวมกลุ่มเพื่อเคลื่อนไหวแต่ก็ต่อไม่ติด เพราะทุกคนกลัว
"เวลามีการชุมนุมทีไร ยอดขายผมจากวันละ 1-5 ล้านบาท จะเหลืออยู่วันละ 10,000 บาท แล้วผมมีรายได้รออยู่เดือนละประมาณ 5 ล้านบาท หมายความว่าถ้าเกิดการชุมนุมยืดเยื้อไปแต่ละเดือน ความเสียหายของผมคือ เดือนละ 5 ล้านบาท นั่นคือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ถ้ารวมกำไร รวมธุรกิจด้วย ก็ตกเฉลี่ยเดือนละ 10 ล้านบาท นี่คือยอดที่ได้รับความเสียหายเฉพาะ 13 มกราคม-13 กุมภาพันธ์ ก่อน แล้วหลังจากนั้น ก็นับไปเดือนละ 10 ล้าน" อ.โบบิคำนวณอย่างคร่าวๆ
ขณะที่การชุมนุมที่ไม่มีใครมองเห็นว่าจะไปสิ้นสุดอย่างไร และเมื่อไหร่นั้น แต่สิ่งที่เห็นชัดเจนในเวลานี้ คือ ร้านค้าในย่านราชประสงค์เริ่มได้รับผลกระทบ และปิดตัวลงไปแล้วหลายร้าน เพียงแค่ชั้น 4 ที่ตึกเอราวัณ แบงคอก ก็หายไปแล้วถึง 3 ร้าน
"ธุรกิจผมตอนนี้ ภายในไม่เกิน 30 วัน ผมก็ต้องขอเข้าสู่การล้มละลาย คือ ผมจะทำ เพราะว่า ผมจะทำให้คดีของผมเป็นตัวอย่างว่า ผมเข้าสู่โครงการพิทักษ์ทรัพย์ แล้วผมพิสูจน์ได้ตามหลักฐานทางกฎหมาย ทางบัญชี ผมพิสูจน์ได้ว่าผมได้รับความเดือดร้อนจริง ว่าผมได้รับผลกระทบจริง ซึ่งมันจะทำให้เรื่องของผมเป็นข่าว ในระหว่างที่ผมเป็นบุคคลล้มละลาย ขอคำสั่งศาลคุ้มครองพิทักษ์ทรัพย์ ผมก็ยังทำแว่นของผมต่อไปได้เรื่อยๆ ยังทำได้เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเวลาเป็นข่าวออกสื่อไปมันจะเริ่มเห็นแล้วว่า มันไม่ใช่อย่างที่ กปปส. พยายามบิดเบือนแล้วนะ" อ.โบบิกล่าวถึงสภาพอนาคตอันใกล้ หากการชุมนุมยังคงยืดเยื้อ
อ.โบบิอธิบายว่า เมื่อใดที่การเมืองป่วน ลูกค้าระดับมหาเศรษฐีหายเมื่อนั้น เนื่องจากการเดินทางที่ไม่สะดวก
"ลูกค้าผมเป็นมหาเศรษฐี แล้วเขาไม่ยุ่งการเมือง ไม่เอาใครทั้งนั้น แล้วกลุ่มนี้ถ้ามีม็อบก็คือไม่มา จบ แค่นั้น คนกลุ่มนี้เขาไม่นั่งรถไฟฟ้า จะนั่งรถมีคนขับ ถ้าไม่บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 ก็เป็นเบนซ์ s class หรือไม่ก็เบนต์ลีย์ โรลสรอยซ์ ลูกค้าผมเป็นกลุ่มนี้ ดังนั้น เมื่อมีอะไรผมโดนเต็มๆ" เสียงโอดจากปรมาจารย์แว่นสายตา
อีกทั้งค่าใช้จ่ายที่รออยู่ข้างหน้า นั่นคือค่าเช่าที่ที่ต้องจ่ายในราคาตารางเมตรละ 2 พันบาท/เดือน ซึ่งในส่วนของร้านไอซอพติกมีค่าใช้จ่ายตกเดือนละประมาณ 1 ล้านบาทนั้น ปัจจุบัน อ.โบบิยังคงค้างชำระในส่วนของเดือนมกราคมอยู่
ซึ่ง อ.โบบิบอกว่า นี่คือการประท้วง
แน่นอนว่าวิธีการนี้ย่อมถูกมองว่าเป็นตัวป่วน อ.โบบิเองก็ยอมรับ เล่าว่า กลางคืนก็จะถูกกลั่นแกล้ง มีคนนำกระดาษ A4 มาปิดเต็มผนังหน้าร้าน ที่ อ.โบบิได้เปลี่ยนเป็นใบปลิวขนาดยักษ์ เนื้อหาแบบเดียวกันกับที่ยื่นให้กลุ่ม กปปส. ในวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมาด้วย
"เล่นเอาล่อเอาเถิดอย่างนี้ทุกวันน่ะครับ กลางคืนจะมีคนเอากระดาษมาระดมแปะๆ ตื่นเช้ามาผมก็ต้องคอยแกะออกทีละอัน คือ มันหน่ายมากกว่า ไม่ได้เหนื่อยหรอก"
แม้จะเกิดอาการหน่ายที่การเมืองพ่นพิษทำเอาเศรษฐกิจทรุด แต่ อ.โบบิบอกว่า เป็นการต่อสู้เพื่อคนที่โอกาสน้อยกว่า
"คือตั้งแต่ปี 2553 มาที่เสื้อแดงปิดล้อม ปี 2554 เราโดนน้ำท่วม ปี 2555 เจอโครงการประชานิยม ทำให้ต้นทุนต่างๆ สูงขึ้น ปี 2556 พิษจำนำข้าว ปี 2557 ก็โดน กปปส. เต็มๆ แล้วเราจะทำมาหากินยังไงครับ คือผมกำลังจะอธิบายว่า 10 ปีแล้ว ที่ผู้ประกอบการกับลูกจ้างไม่เคยได้ทำมาหากินได้เต็มที่สักปีหนึ่ง คนที่ทำงานกินเงินเดือนอาจจะไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าไหร่ แต่ลูกจ้างที่หมายถึงเด็กเสิร์ฟ คนที่รายได้ผูกพันกับยอดขายของธุรกิจ คนพวกนี้น่าสงสารที่สุด"
ล่าสุด อ.โบบิยังคงมุ่งมั่นที่จะไปทำกิจกรรมที่แยกราชประสงค์ทุกวันจันทร์ กิจกรรมที่ว่าคือการสาปแช่งผู้ที่ใช้ความรุนแรงเช่นเคย และทุกครั้งต้องมีการ์ดคอยประกบหน้าหลังถึง 10 คน ด้วยกันเพื่อความปลอดภัย
แม้ว่า อ.โบบิจะขัดแย้งกับกลุ่ม กปปส. แต่ใช่ว่าจะชอบอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เพราะจากการดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยนั้นก็ทำให้ความอดทนสิ้นสุดลงไปด้วย
เขาจึงตั้งกองทุนชื่อว่า กองทุนไล่ล่าทักษิณสุดขอบฟ้า 5,000 ล้านบาท ให้ใครก็ได้ที่พาอดีตนายกฯ กลับมารับโทษที่เมืองไทย
ขณะนี้มีผู้บริจาคแล้ว 6,000 บาท
อ.โบบิ เป็นคนจังหวัดตรัง เกิดมาในครอบครัว ร้านแว่นไฮเอนด์ ชื่อร้านสว่างการแว่น เรียนรู้การทำแว่นด้วยตัวเอง และหาความรู้จากอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่เริ่มมีการใช้ในเมืองไทย โดยเขากล่าวว่าอินเตอร์เน็ตคือ "มหาสมุทรแห่งความรู้" ที่ยิ่งเจาะก็ยิ่งเจอ
เมื่อบวกกับพรสวรรค์ที่ศึกษาเรื่องอะไรแล้วสามารถต่อยอดเอาความรู้ที่มีไปแตกแขนงจนคิดสูตรแว่นของตัวเองขึ้นมา ภายใต้ชื่อร้าน ไอซอพติก เปิดสาขาที่เอราวัณ แบงคอก มา 7 ปีแล้ว มีลูกค้าประจำ อาทิ ปรีชา ประกอบกิจ อดีตผู้บริหารมือพระกาฬ ของแอมเวย์ ประเทศไทย จุไรรัตน์ ดิศกุล ณ อยุธยา จากตระกูลภิรมย์ภักดี กรัณย์พล อัศวสุวรรณ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นต้น
ชื่อ โบบิ อันเป็นเอกลักษณ์นี้ มีที่มาคือ ลูกศิษย์ที่เรียนวิชาแว่นตาที่เมืองจีนเรียกชื่อภาษาอังกฤษของตน คือ บ็อบบี้ เพี้ยนเป็น โบ๋บี้ เมื่อตามมาที่เมืองไทยก็เรียกเหล่าซือโบ๋บี้ เมื่อลูกศิษย์คนไทยได้ยินเลยเรียกว่า โบบิ
ปัจจุบันแว่นสายตาไฮเอนด์ของไอซอฟติก สนนราคาตกอยู่ที่อันละ 8 หมื่น-9 ล้านบาท ตัวเลนส์จ้างโรเด็นสต๊อกผลิต ส่วนกรอบแว่น 90% คือ ยี่ห้อลินด์เบิร์ก ของเดนมาร์ก โดดเด่นที่ดีไซน์ และน้ำหนักเบา และสามารถสั่งตัดได้ตามโครงหน้าลูกค้า
"ที่สั่งผลิตเฉพาะบุคคล ตัวกรอบราคาประมาณ 3 แสนบาท ถึง 9 ล้านบาท แล้วแต่ว่าลูกค้าต้องการระดับไหน อย่างราคา 9 ล้าน จะมีพิงค์ไดมอนด์ติดอยู่ก้านละชิ้น ส่วนเลนส์ราคาอยู่ที่ 4 หมื่นบาท ถึง 4 แสนบาท ราคาต่ำสุด รวมเลนส์ รวบกรอบก็ต้องมี 7-8 หมื่น"
อ.โบบิบอกว่า ด้วยราคาที่สูงลิบ แน่นอนว่าต้องแตกต่างจากแว่นตามท้องตลาดทั่วไป เริ่มตั้งแต่การวัดสายตา ที่ต้องทำละเอียด 2 ชั่วโมง
เริ่มแรกต้องวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้สายตา จากนั้นก็คัดกรองการรับรู้สี เพราะหลายคนไม่ทราบว่าตัวเองรับรู้สีบกพร่อง
จากนั้นก็สแกนตา ตั้งแต่กระจกตาด้านนอก ช่องว่างระหว่างกระจกตาและช่องลูกตาด้านใน และเลนส์ตา สแกนไปถึงจอรับภาพ ทั้งหมดนำมาประมวลเพื่อที่จะมาพล็อตโครงสร้างเลนส์
และด้วยความพิถีพิถันตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนขั้นตอนสุดท้ายนี้ ทำให้แว่นตาแต่ละอันใช้เวลาทำถึง 2 เดือน ซึ่งลูกค้าส่วนมากก็ยินดีที่จะรอ
"แว่นผมต่างจากทั่วไปตรงที่ว่า เป็นเลนส์ที่ตรวจวัด แล้วก็ผลิตเฉพาะบุคคล เข้าหาตัวผู้ใช้แต่ละคน ดังนั้น จะเป็นแว่นที่ปรับเข้าหาคน ไม่ใช่คนปรับเข้าหาแว่น คนใส่แว่นจะรู้ เวลาเปลี่ยนแว่นทุกครั้งจะต้องปรับตัว บางทีต้องขืนใจตัวเอง ขืนสมอง ขืนสายตา ในที่สุดก็ปรับเข้าหาแว่นได้สำเร็จ แต่สิ่งที่เราสูญเสียไปคือความสามารถของสมองที่ควรจะไปทำงานด้านอื่น มันต้องพยายามเก็บพลังเอาไว้เพื่อปรับตัวเข้าหาแว่น ขณะที่แว่นของผมใส่เข้าไปปุ๊บมันไม่ต้องปรับ สมองก็จะว่างงานแล้วก็จะไปทำฟังก์ชั่นอื่นได้"
นอกจากแว่นสายตาแล้ว อ.โบบิ ยังทำแว่นตาสำหรับคนเล่นหุ้นด้วย โดยอธิบายว่าเป็นแว่นสำหรับไว้ดูหน้าจอทีเดียว 16 จอ
"คนพอสายตายาว โฟกัสภาพจะช้า จะทำให้เกิดการดีเลย์ในการวิเคราะห์หุ้น แต่ด้วยแว่นของผมสามารถที่จะทำให้คนในวัย 60 สามารถที่จะดูหุ้นแล้วเห็นได้เร็วกว่าพวกเราอีก มันคือแว่นที่เร่งความเร็วของสมอง แว่นที่เพิ่มความสามารถในการทำงานของสมองได้ทันที" อ.โบบิบอกสรรพคุณ
ปัจจุบันนี้ อ.โบบิมั่นใจว่า ตนคือผู้ทำแว่นไฮเอนด์รายเดียว ไร้คู่แข่งมาเทียบฝีมือ และที่สำคัญก็ยังหาลูกศิษย์ที่จะถ่ายทอดวิชายังไม่ได้ หากเป็นอะไรไปตอนนี้ สิ่งที่น่าห่วงที่สุดคือลูกค้า เพราะไม่มีใครทำได้เหมือนตนเองแล้ว
แต่นี่ดูจะเป็นปัญหาเล็กจ้อย เมื่อเทียบกับมรสุมการเมืองโหมซัดธุรกิจของเขาในห้วงเวลานี้
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1393986808&grpid=01&catid=&subcatid=
อ. โบบิ หักหน้า 'ชาย ศรีวิกรณ์' ย่านราชประสงค์ได้รับผลกระทบเพียง 10-20% นั้น ไม่จริง
เมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่ผ่านมา ภาพของชายหนุ่มเสื้อกั๊กสีดำคาดศีรษะด้วยผ้ายืดลายธงชาติ ที่มาตั้งโต๊ะแถลงอย่างขึงขังแข่งกับเสียงบนเวที กปปส. ที่แยกราชประสงค์ ดูผิวเผินเหมือนเป็นคนชอบป่วนทั่วไป
แท้จริงแล้วชายวัย 48 ปี ผู้นี้คือ สมบูรณ์ นำทิพย์จันทาเจริญ หรือ อ.โบบิ ปรมาจารย์แว่นสายตาระดับไฮเอนด์ ผู้อำนวยการศูนย์แว่นตา ไอซอพติก ชั้น 4 เอราวัณ แบงคอก มีลูกค้าระดับอภิมหาเศรษฐีหลายราย ทำรายได้สูงถึงเดือนละ 10 ล้านบาท
ในวันนั้น อ.โบบิ ในฐานะผู้ประกอบการย่านราชประสงค์ ได้ออกมายื่นข้อเรียกร้องต่อกลุ่ม กปปส. มีเนื้อหาสาระว่า ไม่ต่อต้านการชุมนุม สนับสนุนให้คนตื่นตัวทางการเมืองอย่างสันติ ปราศจากอาวุธ และไม่ใช้ความรุนแรง
แต่ขอคัดค้านการชุมนุมทางการเมืองในย่านธุรกิจการค้าต่อเนื่องเกินกว่า 7 วันต่อเดือน
หากชุมนุมต่อเนื่องเกิน 7 วัน ขอโอกาสให้ผู้ประกอบการได้ขึ้นเวทีเพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ผู้ชุมนุมมาใช้บริการบ้าง
พร้อมกันนั้นยังได้ทำพิธีสาปแช่งผู้ที่สร้างความรุนแรงที่ผ่านมา โดยมีเหตุผลว่าไม่ชอบความรุนแรง
ซึ่งความกล้าบ้าบิ่นนี่เอง ทำให้วันนั้น อ.โบบิ หวุดหวิดจะปะทะกับกลุ่มของการ์ด กปปส.
"การแถลงข่าวที่บอกว่า ผู้ประกอบการย่านราชประสงค์ได้รับผลกระทบเพียง 10-20% นั้น ไม่จริง จะให้ผมพาไปเดินถามรายช็อปเลยก็ได้ว่ากระทบยังไง ส่วนของผมนี่โดนเต็มๆ 98-99%" อ.โบบิกล่าวอย่างเหลืออด
อ.โบบิกล่าวว่า พื้นที่ราชประสงค์ เป็นพื้นที่การค้าระดับไฮเอนด์ และทุกครั้งเวลามีความวุ่นวายทางการเมืองตั้งแต่ปี 2553 ก็ถูกใช้เป็นพื้นที่ชุมนุมทางการเมือง ทำให้ผู้ประกอบการเดือดร้อนทุกครั้ง
ซึ่งครั้งล่าสุดการชัตดาวน์กรุงเทพฯ มองว่าต้องยืดเยื้อ อาจยืดเยื้อมากกว่าปี 2553 ด้วยซ้ำ จึงได้พยายามรวมกลุ่มเพื่อเคลื่อนไหวแต่ก็ต่อไม่ติด เพราะทุกคนกลัว
"เวลามีการชุมนุมทีไร ยอดขายผมจากวันละ 1-5 ล้านบาท จะเหลืออยู่วันละ 10,000 บาท แล้วผมมีรายได้รออยู่เดือนละประมาณ 5 ล้านบาท หมายความว่าถ้าเกิดการชุมนุมยืดเยื้อไปแต่ละเดือน ความเสียหายของผมคือ เดือนละ 5 ล้านบาท นั่นคือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ถ้ารวมกำไร รวมธุรกิจด้วย ก็ตกเฉลี่ยเดือนละ 10 ล้านบาท นี่คือยอดที่ได้รับความเสียหายเฉพาะ 13 มกราคม-13 กุมภาพันธ์ ก่อน แล้วหลังจากนั้น ก็นับไปเดือนละ 10 ล้าน" อ.โบบิคำนวณอย่างคร่าวๆ
ขณะที่การชุมนุมที่ไม่มีใครมองเห็นว่าจะไปสิ้นสุดอย่างไร และเมื่อไหร่นั้น แต่สิ่งที่เห็นชัดเจนในเวลานี้ คือ ร้านค้าในย่านราชประสงค์เริ่มได้รับผลกระทบ และปิดตัวลงไปแล้วหลายร้าน เพียงแค่ชั้น 4 ที่ตึกเอราวัณ แบงคอก ก็หายไปแล้วถึง 3 ร้าน
"ธุรกิจผมตอนนี้ ภายในไม่เกิน 30 วัน ผมก็ต้องขอเข้าสู่การล้มละลาย คือ ผมจะทำ เพราะว่า ผมจะทำให้คดีของผมเป็นตัวอย่างว่า ผมเข้าสู่โครงการพิทักษ์ทรัพย์ แล้วผมพิสูจน์ได้ตามหลักฐานทางกฎหมาย ทางบัญชี ผมพิสูจน์ได้ว่าผมได้รับความเดือดร้อนจริง ว่าผมได้รับผลกระทบจริง ซึ่งมันจะทำให้เรื่องของผมเป็นข่าว ในระหว่างที่ผมเป็นบุคคลล้มละลาย ขอคำสั่งศาลคุ้มครองพิทักษ์ทรัพย์ ผมก็ยังทำแว่นของผมต่อไปได้เรื่อยๆ ยังทำได้เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเวลาเป็นข่าวออกสื่อไปมันจะเริ่มเห็นแล้วว่า มันไม่ใช่อย่างที่ กปปส. พยายามบิดเบือนแล้วนะ" อ.โบบิกล่าวถึงสภาพอนาคตอันใกล้ หากการชุมนุมยังคงยืดเยื้อ
อ.โบบิอธิบายว่า เมื่อใดที่การเมืองป่วน ลูกค้าระดับมหาเศรษฐีหายเมื่อนั้น เนื่องจากการเดินทางที่ไม่สะดวก
"ลูกค้าผมเป็นมหาเศรษฐี แล้วเขาไม่ยุ่งการเมือง ไม่เอาใครทั้งนั้น แล้วกลุ่มนี้ถ้ามีม็อบก็คือไม่มา จบ แค่นั้น คนกลุ่มนี้เขาไม่นั่งรถไฟฟ้า จะนั่งรถมีคนขับ ถ้าไม่บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 ก็เป็นเบนซ์ s class หรือไม่ก็เบนต์ลีย์ โรลสรอยซ์ ลูกค้าผมเป็นกลุ่มนี้ ดังนั้น เมื่อมีอะไรผมโดนเต็มๆ" เสียงโอดจากปรมาจารย์แว่นสายตา
อีกทั้งค่าใช้จ่ายที่รออยู่ข้างหน้า นั่นคือค่าเช่าที่ที่ต้องจ่ายในราคาตารางเมตรละ 2 พันบาท/เดือน ซึ่งในส่วนของร้านไอซอพติกมีค่าใช้จ่ายตกเดือนละประมาณ 1 ล้านบาทนั้น ปัจจุบัน อ.โบบิยังคงค้างชำระในส่วนของเดือนมกราคมอยู่
ซึ่ง อ.โบบิบอกว่า นี่คือการประท้วง
แน่นอนว่าวิธีการนี้ย่อมถูกมองว่าเป็นตัวป่วน อ.โบบิเองก็ยอมรับ เล่าว่า กลางคืนก็จะถูกกลั่นแกล้ง มีคนนำกระดาษ A4 มาปิดเต็มผนังหน้าร้าน ที่ อ.โบบิได้เปลี่ยนเป็นใบปลิวขนาดยักษ์ เนื้อหาแบบเดียวกันกับที่ยื่นให้กลุ่ม กปปส. ในวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมาด้วย
"เล่นเอาล่อเอาเถิดอย่างนี้ทุกวันน่ะครับ กลางคืนจะมีคนเอากระดาษมาระดมแปะๆ ตื่นเช้ามาผมก็ต้องคอยแกะออกทีละอัน คือ มันหน่ายมากกว่า ไม่ได้เหนื่อยหรอก"
แม้จะเกิดอาการหน่ายที่การเมืองพ่นพิษทำเอาเศรษฐกิจทรุด แต่ อ.โบบิบอกว่า เป็นการต่อสู้เพื่อคนที่โอกาสน้อยกว่า
"คือตั้งแต่ปี 2553 มาที่เสื้อแดงปิดล้อม ปี 2554 เราโดนน้ำท่วม ปี 2555 เจอโครงการประชานิยม ทำให้ต้นทุนต่างๆ สูงขึ้น ปี 2556 พิษจำนำข้าว ปี 2557 ก็โดน กปปส. เต็มๆ แล้วเราจะทำมาหากินยังไงครับ คือผมกำลังจะอธิบายว่า 10 ปีแล้ว ที่ผู้ประกอบการกับลูกจ้างไม่เคยได้ทำมาหากินได้เต็มที่สักปีหนึ่ง คนที่ทำงานกินเงินเดือนอาจจะไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าไหร่ แต่ลูกจ้างที่หมายถึงเด็กเสิร์ฟ คนที่รายได้ผูกพันกับยอดขายของธุรกิจ คนพวกนี้น่าสงสารที่สุด"
ล่าสุด อ.โบบิยังคงมุ่งมั่นที่จะไปทำกิจกรรมที่แยกราชประสงค์ทุกวันจันทร์ กิจกรรมที่ว่าคือการสาปแช่งผู้ที่ใช้ความรุนแรงเช่นเคย และทุกครั้งต้องมีการ์ดคอยประกบหน้าหลังถึง 10 คน ด้วยกันเพื่อความปลอดภัย
แม้ว่า อ.โบบิจะขัดแย้งกับกลุ่ม กปปส. แต่ใช่ว่าจะชอบอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เพราะจากการดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยนั้นก็ทำให้ความอดทนสิ้นสุดลงไปด้วย
เขาจึงตั้งกองทุนชื่อว่า กองทุนไล่ล่าทักษิณสุดขอบฟ้า 5,000 ล้านบาท ให้ใครก็ได้ที่พาอดีตนายกฯ กลับมารับโทษที่เมืองไทย
ขณะนี้มีผู้บริจาคแล้ว 6,000 บาท
อ.โบบิ เป็นคนจังหวัดตรัง เกิดมาในครอบครัว ร้านแว่นไฮเอนด์ ชื่อร้านสว่างการแว่น เรียนรู้การทำแว่นด้วยตัวเอง และหาความรู้จากอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่เริ่มมีการใช้ในเมืองไทย โดยเขากล่าวว่าอินเตอร์เน็ตคือ "มหาสมุทรแห่งความรู้" ที่ยิ่งเจาะก็ยิ่งเจอ
เมื่อบวกกับพรสวรรค์ที่ศึกษาเรื่องอะไรแล้วสามารถต่อยอดเอาความรู้ที่มีไปแตกแขนงจนคิดสูตรแว่นของตัวเองขึ้นมา ภายใต้ชื่อร้าน ไอซอพติก เปิดสาขาที่เอราวัณ แบงคอก มา 7 ปีแล้ว มีลูกค้าประจำ อาทิ ปรีชา ประกอบกิจ อดีตผู้บริหารมือพระกาฬ ของแอมเวย์ ประเทศไทย จุไรรัตน์ ดิศกุล ณ อยุธยา จากตระกูลภิรมย์ภักดี กรัณย์พล อัศวสุวรรณ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นต้น
ชื่อ โบบิ อันเป็นเอกลักษณ์นี้ มีที่มาคือ ลูกศิษย์ที่เรียนวิชาแว่นตาที่เมืองจีนเรียกชื่อภาษาอังกฤษของตน คือ บ็อบบี้ เพี้ยนเป็น โบ๋บี้ เมื่อตามมาที่เมืองไทยก็เรียกเหล่าซือโบ๋บี้ เมื่อลูกศิษย์คนไทยได้ยินเลยเรียกว่า โบบิ
ปัจจุบันแว่นสายตาไฮเอนด์ของไอซอฟติก สนนราคาตกอยู่ที่อันละ 8 หมื่น-9 ล้านบาท ตัวเลนส์จ้างโรเด็นสต๊อกผลิต ส่วนกรอบแว่น 90% คือ ยี่ห้อลินด์เบิร์ก ของเดนมาร์ก โดดเด่นที่ดีไซน์ และน้ำหนักเบา และสามารถสั่งตัดได้ตามโครงหน้าลูกค้า
"ที่สั่งผลิตเฉพาะบุคคล ตัวกรอบราคาประมาณ 3 แสนบาท ถึง 9 ล้านบาท แล้วแต่ว่าลูกค้าต้องการระดับไหน อย่างราคา 9 ล้าน จะมีพิงค์ไดมอนด์ติดอยู่ก้านละชิ้น ส่วนเลนส์ราคาอยู่ที่ 4 หมื่นบาท ถึง 4 แสนบาท ราคาต่ำสุด รวมเลนส์ รวบกรอบก็ต้องมี 7-8 หมื่น"
อ.โบบิบอกว่า ด้วยราคาที่สูงลิบ แน่นอนว่าต้องแตกต่างจากแว่นตามท้องตลาดทั่วไป เริ่มตั้งแต่การวัดสายตา ที่ต้องทำละเอียด 2 ชั่วโมง
เริ่มแรกต้องวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้สายตา จากนั้นก็คัดกรองการรับรู้สี เพราะหลายคนไม่ทราบว่าตัวเองรับรู้สีบกพร่อง
จากนั้นก็สแกนตา ตั้งแต่กระจกตาด้านนอก ช่องว่างระหว่างกระจกตาและช่องลูกตาด้านใน และเลนส์ตา สแกนไปถึงจอรับภาพ ทั้งหมดนำมาประมวลเพื่อที่จะมาพล็อตโครงสร้างเลนส์
และด้วยความพิถีพิถันตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนขั้นตอนสุดท้ายนี้ ทำให้แว่นตาแต่ละอันใช้เวลาทำถึง 2 เดือน ซึ่งลูกค้าส่วนมากก็ยินดีที่จะรอ
"แว่นผมต่างจากทั่วไปตรงที่ว่า เป็นเลนส์ที่ตรวจวัด แล้วก็ผลิตเฉพาะบุคคล เข้าหาตัวผู้ใช้แต่ละคน ดังนั้น จะเป็นแว่นที่ปรับเข้าหาคน ไม่ใช่คนปรับเข้าหาแว่น คนใส่แว่นจะรู้ เวลาเปลี่ยนแว่นทุกครั้งจะต้องปรับตัว บางทีต้องขืนใจตัวเอง ขืนสมอง ขืนสายตา ในที่สุดก็ปรับเข้าหาแว่นได้สำเร็จ แต่สิ่งที่เราสูญเสียไปคือความสามารถของสมองที่ควรจะไปทำงานด้านอื่น มันต้องพยายามเก็บพลังเอาไว้เพื่อปรับตัวเข้าหาแว่น ขณะที่แว่นของผมใส่เข้าไปปุ๊บมันไม่ต้องปรับ สมองก็จะว่างงานแล้วก็จะไปทำฟังก์ชั่นอื่นได้"
นอกจากแว่นสายตาแล้ว อ.โบบิ ยังทำแว่นตาสำหรับคนเล่นหุ้นด้วย โดยอธิบายว่าเป็นแว่นสำหรับไว้ดูหน้าจอทีเดียว 16 จอ
"คนพอสายตายาว โฟกัสภาพจะช้า จะทำให้เกิดการดีเลย์ในการวิเคราะห์หุ้น แต่ด้วยแว่นของผมสามารถที่จะทำให้คนในวัย 60 สามารถที่จะดูหุ้นแล้วเห็นได้เร็วกว่าพวกเราอีก มันคือแว่นที่เร่งความเร็วของสมอง แว่นที่เพิ่มความสามารถในการทำงานของสมองได้ทันที" อ.โบบิบอกสรรพคุณ
ปัจจุบันนี้ อ.โบบิมั่นใจว่า ตนคือผู้ทำแว่นไฮเอนด์รายเดียว ไร้คู่แข่งมาเทียบฝีมือ และที่สำคัญก็ยังหาลูกศิษย์ที่จะถ่ายทอดวิชายังไม่ได้ หากเป็นอะไรไปตอนนี้ สิ่งที่น่าห่วงที่สุดคือลูกค้า เพราะไม่มีใครทำได้เหมือนตนเองแล้ว
แต่นี่ดูจะเป็นปัญหาเล็กจ้อย เมื่อเทียบกับมรสุมการเมืองโหมซัดธุรกิจของเขาในห้วงเวลานี้
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1393986808&grpid=01&catid=&subcatid=