สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 11
จาก คห.7 แพนภาพของคุณชายบางแค จริงๆแล้วควรจะมีคำอธิบายให้มากกว่านี้ คุณชายเล่นแปะแต่รูปแต่ไม่มีคำบรรยายเลย
ชึ่งผมก็ เข้าใจว่ามันคงยาวรายละเอียดก็คงเยอะ การการขึ้นสู่อำนาจของอิตเลอร์นี้ ต้องมีภูมิความรู้ประวัติศาตร์เยอรมันชั่วหลังสงครามโลกครั่งที่หนึ่ง จึงจะอธิบายให้เข้าใจใด้ แต่ผมจะขอสรุปย่อๆดังนี้
1.หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เยอรมันนี้แพ้สงคราม บ้านเมืองเสียหายเศรษฐกิจพังพินาศ และเกิดการเปลียนแปลงการปกตรองจากระบบ กษัตริย์มาเป็นสาธารณรัฐ
2.มีความไม่เป็นธรรมของสนธิสัญญาแวร์ชาย ที่บังคับให้เยอรมันต้องจ่ายเงินค่าปฎิกรณ์สงครามเป็นจำนวนมหาศาล ชึ่งบีบคั้นสภาพการเงินการคลังของประเทศเยอรมันเป็นอย่างมาก ประกอบกับเกิดวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำไปทั้งโลกในปี 1929 ทำให้ประชาชนต้องอยู่อย่างแรงแค้น สักษณะเช่นนี้จึงก่อให้เกิด พรรคการเมืองแนวสุดโต้ง คือ พรรคที่แนวคิดช้ายจัด และขวาจัด ซึ่งทั้งฝ่ายก็ขัดแย้งกันทางการเมือง ซ่ำเติมสถานการให้แย่ลงไปอีก
3.พรรคช้ายจัดนำโดยพรรคคอมมิวนิสต์มีแนวคิดต้องการปกครองแบบรัสเชีย (สมัยสตาลิน) พรรคขวาจัดนำโดยพรรค National Socialism (เยอรมัน Nationalsozialismus ย่อ NAZI )มีแนวคิดการปกครองแบบนาซี ชึ่งมองคนไม่เท่ากัน สองพรรคนี้เป็นศัตรกันในการชังชิงอำนาจทางการเมือง และในการเลือกตั้งแต่และครั้งตั้งแต่เปลียนแปลงการปกครองมาใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พรรคฝ่ายช้ายมักชนะใด้เป็นรัฐบาล ดังภาพที่ คห. 6 ตั้งแต่ปี 1920-1932 พรคฝ่ายจะรวมกันพรรคสายกลางจัดตั้งรัฐบาลเสมอ
พรรคการเมืองเหล่านี้ใด้แก่พรรค communist , Independent socialism , social Democrat ที่เหลือเป็นพรรคฝ่ายค้าน

4.พรรคนาซีซึ่งมี อดอฟ ฮิตเลอร์ เป็นหัวหน้าพรรค ถึงแม้จะไม่เคยชนะการเลือกตั้งใหญ่เลยแต่ก็ใด้รับความนิยมจากคนรวยๆและคนชั้นสูงในเยอรมันสมัยนั้นมาก และคนเหล่านี้อยู่รายร้อม ประธานาธิปดีซึ่งเป็นประมุขแห่งรัฐ และเป็นผู้คุมกำลังกองทัพเยอรมัน ซึ่งถูกจำกัดแสนยานุภาพ จากฝ่ายพันธมิตร ตาม สินธิสัญญาแวร์ชาย
5.ต่อมาเกิดการเปลียนแปลงครั้งสำคัญเมือประธานาธิปดีคนแรกของเยอรมันใด้เสียชิวิตลง มีการเลือกตั้ ปธน. ใหม่ ครั้งนี้ ฮิตเลอร์ก็ลงสมัคแต่แพ้ ถึงกระนั้นก็ตามก็ยังเป็นโชคของอิตเลอร์อยู่ดี ที่ประธานาธิปคนต่อมาเป็นคนหัวเอียงขวา และสบันสนุนแนวคิดที่จะพื้นพู อาณาจักรไรท์อันใหญ่กลับคือมา
6.ควรทราบว่าการเมืองเยอรมันในสมัยนี้มีความร้อนแรงมาก มีการก่อจราจล การประท้วงรุนแรงในเมืองหลวงเบอร์ลินหลายครั้ง และเกิดการสอบยิงหัวคะแนน ลอบสังหารแกนนำพรรคการเมืองเกิดขึ้นอยู่ทั่วไป ดังนั้นพรรคการเมืองต่างๆ จึงต้องมี"การ์ด " มาเป็นองค์รักษ์ค่อยคุ้มกัน การ์ด ของพรรคการเมืองเยอร์มันสมัยนั้นก็ทำหน้าที่คล้ายๆ การ์ด กปปส. สมัยนี้ และมีทั้งฝ่ายช้าย และฝ่ายขวา การ์ดของพรรคฝ่ายขวานาซี จะเรียกว่า หน่วย SS (Schutzstaffel )หรือแปลว่า Protection Squadron
SS นั้นนอกจากจะเป็นการ์ด ให้นักการเมืองแล้ว บางครั้งยังทำหน้าที่คุกครามผู้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง หรือผู้ที่มีแนวคิดทางการเมืองไม่ตรงกันก็มี และเป็นหน่วยที่ขึ้นตรงต่อฮิตเลอร์ เพราะถุกฮิตเลอร์ล้างสมองมาด้วยตัวเองกับมือ และทุกครั้งที่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองขึ้น ปธน. จะแก้ปัญหาด้วยการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ทำให้เกิดการเปลียนรัฐบาลบ่อยมาก การเมืองก็ไร่เสถียรภาพมั่นคง
7.เกิดความโชคดีอีกอย่างของฮิตเลอร์ที่ฝ่ายช้าย พวกคอมมิวนิสต์เกิดแตกคอกัน โดยฝ่ายช้ายจัดที่ต้องการเป็นคอมมิวนิตส์โดยสมบุรณ์แตกกับฝ่ายช้ายกลางที่ต้องการเป็น ประชาธิปไตยอยู่ ตรงข้ามกับฝ่ายขวาที่อิตเลอร์สามมารถกลุมอำนาจใด้อย่าเด็จขาดเพราะเป็นพรรคแบบอำนาจนิยม ที่ไม่ต้องการให้มีสายขวากลาง ขวาประชาธิปไตยอยู่ในพรรค เด็ดขาด ถ้ามีก็ต้องกำจัดออก ไม่ก็กดหัวเอาใว้อย่างให้เงยหน้าขึ้นมาใด้
8.เมือฝ่ายช้ายแตกกันในระหว่างปี 1929-1932ก็ทำให้ไม่สามารถตั้งรัฐบาลใด้ พรรคการเมืองที่ใด้เสียงอันดับสอง แต่ไม่มากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลใด้เพราะไม่เกิดกึ่งหนึ่งตามกฏหมาย คือพรรคนาซิ ก็พยายามหาซ่องทางที่จะตั้งรัฐบาลด้วยการวิ่งเต้นหาชนชี่นสุง ผู้รายรอบประธานาธิบดีอยู่ ซึ่งคนเหล่านี้ก็นิยมพรรคนาซิอยู่แล้ว ก็ช่วยพูดจากลับพรรคร่วมต่างๆโดยอ้างความประสงค์ของประธานาธิบดีและยืนข้อเสนอว่าจะยกเก่าอี้กระทรวงสำคัญๆให้ ถ้าโหวตเลือกฮิตเลอร์เป็นนายกรัฐมนตรี โดยวิธีการนี้ ฮิตเลอร์สามารถตั้งรํฐบาลเสียงข้างน้อยใด้สำเร็จเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 มกราคม 1933 โดยพรรคนาซีใด้เก้าอี้รัฐมนตรีแค่สามตัวเท่านั้น
9.หลังจากนั้นมีการยุบสภาอีก ฮิตเลอร์เป็นนายกรักษาการ และก่อนจะมีการเลือกตั้งใหม่ในเต้นดือนมีนาคม วันที่ 27กุมภาพันธ์ 1933 ก็เกิดเหตุเพลิงไหม้รัฐสภาเยอรมันเสียราบคาบฮิตเลอร์ฉวยโอกาสกล่าวโทษฝ่ายคอมมิวนิสต์ว่าเป็นผู้วางเพลิง และได้ประกาศใช้ กฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรช์สทัก ในวันถัดมา

10. กฤษฏีกานี้ มีสักษณะคล้าย พรบ.บริหารราชการในสถานการฉุกเฉิน คือให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐในการละเมิดสิทธิ์ประชาชนใด้ ตามประกาศ เช่นการ จับกุม คุมขัง การสอบสวน โดยไม่ต้องแจ้งข้อหา อาศัยกฏหมายความมั้นคงฉบับนี้ ฮิตเลอร์ใด้กวาดล้างนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามไปใด้เป็นจำนวนมาก เหตุการนี้ทำให้สมาชิกพรรคฝ่ายช้ายหลายคนต้องหลับหนีออกนอกประเทศเพราะถ้าถูกหน่อย SS จับใด้ จะถูกทรมานยิ้งกว่าตาย
11.เมือวันเลือกตั้งผ่านพ้นไปถึงแม่จะใช้อำนาจนอกระบบโดยการหนุนหลังของชนชั้นสุง บวกกับการก่อกวนการเลือกตั้งของหน่วย SS พรรคนาซีของฮิตเลอร์ก็ยังไม่ชนะเลือกตั้ง ไม่ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งพอที่จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวใด้อยู่ดี(ใด้44%) ถึงแม้จะรวมกับพรรคฝ่ายขวาเล็กเสียงยังสูสีกับฝ่ายช้าย
12.เวลานั้น สภามี ส.ส.647 คน เป็นคนของพรรคคอมมิวนิสต์ 81 คน เป็นของพรรค SDP(social democrat party )อีกร้อยกว่าคนตามรูปที่หนึ่ง(ปี1933) พวกนี้จำนวนหนึ่งถูกตามล่าจากนาซี หนีออกไปนอกประเทศมาประชุมไม่ได้ ในบรรดาฝ่ายซ้ายถ้ารวมกันแล้วบวกกับ ส.ส.จากพรรคอื่นอีก 15 คนร่วมกันบอยคอตไม่มาประชุม เพียงเท่านี้ก็จะไม่มีทางผ่านกฎหมายได้แล้ว ดังนั้น ก่อนวันประชุมฮิตเลอร์เสนอให้แก้ระเบียบการประชุมสภาผู้แทนฯ ว่า ใครก็ตามที่ไม่มาประชุมโดยไม่มีเหตุอันสมควรให้ถือว่ามาประชุม และให้นับว่าคนนั้นเป็นองค์ประชุมร่วม เท่ากับบีบให้พวก SPD ต้องมา แต่พวกพรรคคอมมิวนิสต์มาไม่ได้มาเพราะโดนจับไปหมด คำนวณแล้วพรรค SPD พรรคเดียวไม่เพียงพอที่จะต้านการออกกฎหมายนี้ได้ และผลก็คือ มีคนออกเสียงเห็นด้วย 444 คน ไม่เห็นด้วย 94 คนซึ่งล้วนเป็นคนของพรรค SPD ทั้งหมด ส่งผลให้สภาโหวตเลือกฮิตเลอร์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่สอง
หลังจากขึ้นเป็นนายกอีกสมัยแล้ว ที่ 23 มีนาคม 1933 รัฐสภาเยอรมนีก็ลงมติสองในสามผ่านกฎหมายที่ให้อำนาจเต็มแก่ฮิตเลอร์พร้อม ทั้งอนุญาตให้คณะรัฐมนตรีสามารถผ่านกฎหมายได้โดยไม่ต้องผ่านรัฐสภาเป็นเวลา 4 ปี (Ermächtigungsgesetz) โดยพรรคฝ่ายค้านสายกลางๆ ร่วมลงมติเห็นชอบด้วยจะมีก็แต่สมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยแห่งเยอรมนีและพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเยอรมนีที่สมาซิกบางส่วนยังไม่ถูกอุ้มไปเท่านั้นที่ลงคะแนนเสียงคัดค้าน ผลงานของพรรคนาซีหลังจากนั้นก็มีมากมายทั้งการคว่ำบาตรนักธุรกิจชาวยิวงาน เผาหนังสือ การสั่งห้ามพรรคการเมืองต่างๆ รวมถึงออกกฎหมายห้ามตั้งพรรคใหม่นอกจากนั้นก็มีการเลือกตั้งในเดือน พฤศจิกายน 1933 โดยมีพรรคนาซีเพียงพรรคเดียวอยู่บนบัตรเลือกตั้งแน่นอนพวกเขาชนะด้วยคะแนน เสียงล้นหลามและมีการลงประชามติว่าจะรับรองหรือไม่รับรองการตัดสินใจของ รัฐบาลเยอรมันในการถอนตัวออกจากความผูกพันตามสนธิสัญญาแวร์ซายส์ที่จำกัด กำลังทหารของเยอรมันโดยได้รับคะแนนรับรองหรือเห็นชอบด้วยคะแนนสูงถึงร้อยละ 95 และเยอรมันก็เข้าสู้สงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุด
ชึ่งผมก็ เข้าใจว่ามันคงยาวรายละเอียดก็คงเยอะ การการขึ้นสู่อำนาจของอิตเลอร์นี้ ต้องมีภูมิความรู้ประวัติศาตร์เยอรมันชั่วหลังสงครามโลกครั่งที่หนึ่ง จึงจะอธิบายให้เข้าใจใด้ แต่ผมจะขอสรุปย่อๆดังนี้
1.หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เยอรมันนี้แพ้สงคราม บ้านเมืองเสียหายเศรษฐกิจพังพินาศ และเกิดการเปลียนแปลงการปกตรองจากระบบ กษัตริย์มาเป็นสาธารณรัฐ
2.มีความไม่เป็นธรรมของสนธิสัญญาแวร์ชาย ที่บังคับให้เยอรมันต้องจ่ายเงินค่าปฎิกรณ์สงครามเป็นจำนวนมหาศาล ชึ่งบีบคั้นสภาพการเงินการคลังของประเทศเยอรมันเป็นอย่างมาก ประกอบกับเกิดวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำไปทั้งโลกในปี 1929 ทำให้ประชาชนต้องอยู่อย่างแรงแค้น สักษณะเช่นนี้จึงก่อให้เกิด พรรคการเมืองแนวสุดโต้ง คือ พรรคที่แนวคิดช้ายจัด และขวาจัด ซึ่งทั้งฝ่ายก็ขัดแย้งกันทางการเมือง ซ่ำเติมสถานการให้แย่ลงไปอีก
3.พรรคช้ายจัดนำโดยพรรคคอมมิวนิสต์มีแนวคิดต้องการปกครองแบบรัสเชีย (สมัยสตาลิน) พรรคขวาจัดนำโดยพรรค National Socialism (เยอรมัน Nationalsozialismus ย่อ NAZI )มีแนวคิดการปกครองแบบนาซี ชึ่งมองคนไม่เท่ากัน สองพรรคนี้เป็นศัตรกันในการชังชิงอำนาจทางการเมือง และในการเลือกตั้งแต่และครั้งตั้งแต่เปลียนแปลงการปกครองมาใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พรรคฝ่ายช้ายมักชนะใด้เป็นรัฐบาล ดังภาพที่ คห. 6 ตั้งแต่ปี 1920-1932 พรคฝ่ายจะรวมกันพรรคสายกลางจัดตั้งรัฐบาลเสมอ
พรรคการเมืองเหล่านี้ใด้แก่พรรค communist , Independent socialism , social Democrat ที่เหลือเป็นพรรคฝ่ายค้าน

4.พรรคนาซีซึ่งมี อดอฟ ฮิตเลอร์ เป็นหัวหน้าพรรค ถึงแม้จะไม่เคยชนะการเลือกตั้งใหญ่เลยแต่ก็ใด้รับความนิยมจากคนรวยๆและคนชั้นสูงในเยอรมันสมัยนั้นมาก และคนเหล่านี้อยู่รายร้อม ประธานาธิปดีซึ่งเป็นประมุขแห่งรัฐ และเป็นผู้คุมกำลังกองทัพเยอรมัน ซึ่งถูกจำกัดแสนยานุภาพ จากฝ่ายพันธมิตร ตาม สินธิสัญญาแวร์ชาย
5.ต่อมาเกิดการเปลียนแปลงครั้งสำคัญเมือประธานาธิปดีคนแรกของเยอรมันใด้เสียชิวิตลง มีการเลือกตั้ ปธน. ใหม่ ครั้งนี้ ฮิตเลอร์ก็ลงสมัคแต่แพ้ ถึงกระนั้นก็ตามก็ยังเป็นโชคของอิตเลอร์อยู่ดี ที่ประธานาธิปคนต่อมาเป็นคนหัวเอียงขวา และสบันสนุนแนวคิดที่จะพื้นพู อาณาจักรไรท์อันใหญ่กลับคือมา
6.ควรทราบว่าการเมืองเยอรมันในสมัยนี้มีความร้อนแรงมาก มีการก่อจราจล การประท้วงรุนแรงในเมืองหลวงเบอร์ลินหลายครั้ง และเกิดการสอบยิงหัวคะแนน ลอบสังหารแกนนำพรรคการเมืองเกิดขึ้นอยู่ทั่วไป ดังนั้นพรรคการเมืองต่างๆ จึงต้องมี"การ์ด " มาเป็นองค์รักษ์ค่อยคุ้มกัน การ์ด ของพรรคการเมืองเยอร์มันสมัยนั้นก็ทำหน้าที่คล้ายๆ การ์ด กปปส. สมัยนี้ และมีทั้งฝ่ายช้าย และฝ่ายขวา การ์ดของพรรคฝ่ายขวานาซี จะเรียกว่า หน่วย SS (Schutzstaffel )หรือแปลว่า Protection Squadron
SS นั้นนอกจากจะเป็นการ์ด ให้นักการเมืองแล้ว บางครั้งยังทำหน้าที่คุกครามผู้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง หรือผู้ที่มีแนวคิดทางการเมืองไม่ตรงกันก็มี และเป็นหน่วยที่ขึ้นตรงต่อฮิตเลอร์ เพราะถุกฮิตเลอร์ล้างสมองมาด้วยตัวเองกับมือ และทุกครั้งที่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองขึ้น ปธน. จะแก้ปัญหาด้วยการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ทำให้เกิดการเปลียนรัฐบาลบ่อยมาก การเมืองก็ไร่เสถียรภาพมั่นคง
7.เกิดความโชคดีอีกอย่างของฮิตเลอร์ที่ฝ่ายช้าย พวกคอมมิวนิสต์เกิดแตกคอกัน โดยฝ่ายช้ายจัดที่ต้องการเป็นคอมมิวนิตส์โดยสมบุรณ์แตกกับฝ่ายช้ายกลางที่ต้องการเป็น ประชาธิปไตยอยู่ ตรงข้ามกับฝ่ายขวาที่อิตเลอร์สามมารถกลุมอำนาจใด้อย่าเด็จขาดเพราะเป็นพรรคแบบอำนาจนิยม ที่ไม่ต้องการให้มีสายขวากลาง ขวาประชาธิปไตยอยู่ในพรรค เด็ดขาด ถ้ามีก็ต้องกำจัดออก ไม่ก็กดหัวเอาใว้อย่างให้เงยหน้าขึ้นมาใด้
8.เมือฝ่ายช้ายแตกกันในระหว่างปี 1929-1932ก็ทำให้ไม่สามารถตั้งรัฐบาลใด้ พรรคการเมืองที่ใด้เสียงอันดับสอง แต่ไม่มากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลใด้เพราะไม่เกิดกึ่งหนึ่งตามกฏหมาย คือพรรคนาซิ ก็พยายามหาซ่องทางที่จะตั้งรัฐบาลด้วยการวิ่งเต้นหาชนชี่นสุง ผู้รายรอบประธานาธิบดีอยู่ ซึ่งคนเหล่านี้ก็นิยมพรรคนาซิอยู่แล้ว ก็ช่วยพูดจากลับพรรคร่วมต่างๆโดยอ้างความประสงค์ของประธานาธิบดีและยืนข้อเสนอว่าจะยกเก่าอี้กระทรวงสำคัญๆให้ ถ้าโหวตเลือกฮิตเลอร์เป็นนายกรัฐมนตรี โดยวิธีการนี้ ฮิตเลอร์สามารถตั้งรํฐบาลเสียงข้างน้อยใด้สำเร็จเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 มกราคม 1933 โดยพรรคนาซีใด้เก้าอี้รัฐมนตรีแค่สามตัวเท่านั้น
9.หลังจากนั้นมีการยุบสภาอีก ฮิตเลอร์เป็นนายกรักษาการ และก่อนจะมีการเลือกตั้งใหม่ในเต้นดือนมีนาคม วันที่ 27กุมภาพันธ์ 1933 ก็เกิดเหตุเพลิงไหม้รัฐสภาเยอรมันเสียราบคาบฮิตเลอร์ฉวยโอกาสกล่าวโทษฝ่ายคอมมิวนิสต์ว่าเป็นผู้วางเพลิง และได้ประกาศใช้ กฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรช์สทัก ในวันถัดมา

10. กฤษฏีกานี้ มีสักษณะคล้าย พรบ.บริหารราชการในสถานการฉุกเฉิน คือให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐในการละเมิดสิทธิ์ประชาชนใด้ ตามประกาศ เช่นการ จับกุม คุมขัง การสอบสวน โดยไม่ต้องแจ้งข้อหา อาศัยกฏหมายความมั้นคงฉบับนี้ ฮิตเลอร์ใด้กวาดล้างนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามไปใด้เป็นจำนวนมาก เหตุการนี้ทำให้สมาชิกพรรคฝ่ายช้ายหลายคนต้องหลับหนีออกนอกประเทศเพราะถ้าถูกหน่อย SS จับใด้ จะถูกทรมานยิ้งกว่าตาย
11.เมือวันเลือกตั้งผ่านพ้นไปถึงแม่จะใช้อำนาจนอกระบบโดยการหนุนหลังของชนชั้นสุง บวกกับการก่อกวนการเลือกตั้งของหน่วย SS พรรคนาซีของฮิตเลอร์ก็ยังไม่ชนะเลือกตั้ง ไม่ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งพอที่จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวใด้อยู่ดี(ใด้44%) ถึงแม้จะรวมกับพรรคฝ่ายขวาเล็กเสียงยังสูสีกับฝ่ายช้าย
12.เวลานั้น สภามี ส.ส.647 คน เป็นคนของพรรคคอมมิวนิสต์ 81 คน เป็นของพรรค SDP(social democrat party )อีกร้อยกว่าคนตามรูปที่หนึ่ง(ปี1933) พวกนี้จำนวนหนึ่งถูกตามล่าจากนาซี หนีออกไปนอกประเทศมาประชุมไม่ได้ ในบรรดาฝ่ายซ้ายถ้ารวมกันแล้วบวกกับ ส.ส.จากพรรคอื่นอีก 15 คนร่วมกันบอยคอตไม่มาประชุม เพียงเท่านี้ก็จะไม่มีทางผ่านกฎหมายได้แล้ว ดังนั้น ก่อนวันประชุมฮิตเลอร์เสนอให้แก้ระเบียบการประชุมสภาผู้แทนฯ ว่า ใครก็ตามที่ไม่มาประชุมโดยไม่มีเหตุอันสมควรให้ถือว่ามาประชุม และให้นับว่าคนนั้นเป็นองค์ประชุมร่วม เท่ากับบีบให้พวก SPD ต้องมา แต่พวกพรรคคอมมิวนิสต์มาไม่ได้มาเพราะโดนจับไปหมด คำนวณแล้วพรรค SPD พรรคเดียวไม่เพียงพอที่จะต้านการออกกฎหมายนี้ได้ และผลก็คือ มีคนออกเสียงเห็นด้วย 444 คน ไม่เห็นด้วย 94 คนซึ่งล้วนเป็นคนของพรรค SPD ทั้งหมด ส่งผลให้สภาโหวตเลือกฮิตเลอร์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่สอง
หลังจากขึ้นเป็นนายกอีกสมัยแล้ว ที่ 23 มีนาคม 1933 รัฐสภาเยอรมนีก็ลงมติสองในสามผ่านกฎหมายที่ให้อำนาจเต็มแก่ฮิตเลอร์พร้อม ทั้งอนุญาตให้คณะรัฐมนตรีสามารถผ่านกฎหมายได้โดยไม่ต้องผ่านรัฐสภาเป็นเวลา 4 ปี (Ermächtigungsgesetz) โดยพรรคฝ่ายค้านสายกลางๆ ร่วมลงมติเห็นชอบด้วยจะมีก็แต่สมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยแห่งเยอรมนีและพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเยอรมนีที่สมาซิกบางส่วนยังไม่ถูกอุ้มไปเท่านั้นที่ลงคะแนนเสียงคัดค้าน ผลงานของพรรคนาซีหลังจากนั้นก็มีมากมายทั้งการคว่ำบาตรนักธุรกิจชาวยิวงาน เผาหนังสือ การสั่งห้ามพรรคการเมืองต่างๆ รวมถึงออกกฎหมายห้ามตั้งพรรคใหม่นอกจากนั้นก็มีการเลือกตั้งในเดือน พฤศจิกายน 1933 โดยมีพรรคนาซีเพียงพรรคเดียวอยู่บนบัตรเลือกตั้งแน่นอนพวกเขาชนะด้วยคะแนน เสียงล้นหลามและมีการลงประชามติว่าจะรับรองหรือไม่รับรองการตัดสินใจของ รัฐบาลเยอรมันในการถอนตัวออกจากความผูกพันตามสนธิสัญญาแวร์ซายส์ที่จำกัด กำลังทหารของเยอรมันโดยได้รับคะแนนรับรองหรือเห็นชอบด้วยคะแนนสูงถึงร้อยละ 95 และเยอรมันก็เข้าสู้สงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุด
แสดงความคิดเห็น
จริงหรือเปล่าครับที่ฮิตเลอร์มาจากนายกคนกลาง