[อ้างอิงเท่านั้น] ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือ ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เท่านั้น ถึงจะเป็น "กบฎ"

มาตรา ๑๑๓  ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือ ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ
(๑) ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ
(๒) ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรือ อำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ
(๓) แบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือ จำคุกตลอดชีวิต

องค์ประกอบภายนอก
๑. ผู้ใด
๒. ใช้กำลังประทุษร้าย หรือ ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย

องค์ประกอบภายใน
๑. โดยเจตนา
๒. มูลเหตุชักจูงใจเพื่ออย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(๑) ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ
(๒) ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ หรือ ให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ
(๓) แบ่งแยกราชอาณาจักร หรือ ยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร

คำว่า “ใช้กำลังประทุษร้าย” หมายความว่า ทำการประทุษร้ายแก่กายหรือจิตใจของบุคคล  ไม่ว่าจะทำด้วยใช้แรงกายภาพหรือด้วยวิธีอื่นใด  และให้หมายความรวมถึงการกระทำใด ๆ ซึ่งเป็นเหตุให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้  ไม่ว่าจะโดยใช้ยาทำให้มึนเมา สะกดจิต หรือใช้วิธีอื่นใดอันคล้ายคลึงกัน

ดังนั้น  การใช้กำลังประทุษร้าย จะมีความหมาย สองประการ  คือ

ประการแรก  หมายความว่า ทำการประทุษร้ายแก่กายหรือจิตใจของบุคคล  ไม่ว่าจะทำด้วยใช้แรงกายภาพหรือด้วยวิธีอื่นใด  
ข้อควรสังเกตคือ “ใช้กำลังประทุษร้าย” ต้องกระทำต่อกายหรือจิตใจ ไม่รวมถึงกระทำต่อเสรีภาพ หรือกระทำต่อทรัพย์สิน ตัวอย่างเช่น

ฎีกาที่ ๘๓๐/๒๕๐๒,๑๕๔๖/๒๕๑๗ ใช้กำลังประทุษร้าย หมายความว่าทำการประทุษร้ายแก่กายหรือจิตใจของบุคคล มิใช่เป็นการกระทำต่อทรัพย์สิน  ชื่อเสียง เสรีภาพ หรืออื่น ๆ  ดังนั้นการจับอันเป็นการกระทำต่อเสรีภาพจึงมิใช่การใช้กำลังประทุษร้าย  ไม่ว่าเจ้าพนักงานจะจับหรือหลอกจับโดยไม่มีอำนาจก็ตาม

ฎีกาที่ ๖๙๗/๒๔๗๓ ใช้มีดตัดเชือกที่ผูกกระบือของผู้อื่น  กระบือไม่ยอมเดินจึงใช้มีดฟันกระบือเจ้าของทรัพย์มาเห็นเข้าพอดีต่างพากันวิ่งหนี  ในกรณีเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นการขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย

แนววินิจฉัยของศาลฎีกา “ใช้กำลังประทุษร้าย” ต้อง เป็นการกระทำแก่เนื้อตัวหรือกาย  เช่น
คำพิพากษาฎีกาที่ 361/2520 จำเลยปัดไฟฉายที่ผู้เสียหายถืออยู่จนหลุดจากมือ ผู้เสียหายก้มลงเก็บไฟฉาย จำเลยกระชากเอาสร้อยคอพาหนีไป “การปัดไฟฉาย” เป็นการกระทำแก่เนื้อตัวหรือกาย เป็นการใช้กำลังประทุษร้ายเป็นชิงทรัพย์
คำพิพากษาฎีกาที่ 501/2503 จำเลย “จับมือ และกอด” เด็กหญิงอายุ 14 ปี เป็นการใช้แรงกายภาพ ซึ่งเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย

คำพิพากษาฎีกาที่ 1279/2506 จำเลยจับนมผู้เสียหายในรถประจำทาง ซึ่งมีคนโดยสารแน่น เป็นการกระทำต่อหน้าธารกำนัล จำเลย “จับนม” โดยผู้เสียหายไม่ยินยอม เป็นการใช้กำลังประทุษร้ายตามมาตรา 278

คำพิพากษาฎีกาที่ 2453/2515 การใช้กำลังกายกอดรัด และบีบเคล้นอวัยวะของสงวน บริเวณหน้าอกของผู้เสียหายจนระบมฟกช้ำ เป็นการประทุษร้ายต่อร่างกายซึ่งได้เกลื่อนกลืน เป็นการกระทำผิดกรรมเดียวกับการกระทำอนาจาร โดยใช้กำลังประทุษร้ายตาม ป. อาญา มาตรา 278 แล้ว หาเป็นมูลความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา 296 อีกบทหนึ่งไม่

คำพิพากษาฎีกาที่ 4487/2531 จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะแล่นตามหลังรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายและจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์เข้าชนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายอย่างแรง จนเสียหลักล้มลง แล้วจำเลยที่ 1 ซึ่งนั่งซ้อนท้ายได้กระชากสร้อยคอทองคำที่คอผู้เสียหายไป การกระทำของจำเลยทั้งสองถือได้ว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อความสะดวกในการลักทรัพย์ จึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์

คำพิพากษาฎีกาที่ 1620/2536 จำเลย “ถอดกางเกงผู้เสียหาย” แล้ว “จับอวัยวะเพศ” โดยผู้เสียหายพยายามต่อสู้ เป็นการใช้แรงกายกระทำต่อผู้เสียหาย อนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย    

คำพิพากษาฎีกาที่ 5479/2536 จำเลย “ใช้มือผลักหน้าอก” ร้อยตำรวจโท ป. ในขณะที่จะเข้าตรวจค้นบ้านจำเลยตามหมายค้น ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย จึงเป็นการขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย

คำพิพากษาฎีกาที่ 3708/2537 ขณะที่ผู้เสียหายขึ้นรถโดยสารประจำทาง ก็ถูกจำเลยซึ่งเข้ามาทางด้านหลังกระแทกตรงหัวไหล่ และจำเลยได้ล้วงเอากระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหาย เป็นการที่จำเลยใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย เพื่อสะดวกแก่การลักทรัพย์ของผู้เสียหายบนยวดยานสาธารณะซึ่งประชาชนใช้โดยสาร จำเลยจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสอง

คำพิพากษาฎีกาที่ 9212/2539   ก่อนเกิดเหตุ สิบตำรวจเอก พ. พบเห็นจำเลยมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่าจำเลยจะกระทำความผิด และพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดซึ่งหน้า แม้สิบตำรวจเอก พ. ไม่มีหมายจับ แต่ได้แสดงตัวว่าเป็นเจ้าพนักงานให้จำเลยทราบแล้ว สิบตำรวจเอก พ. จึงมีอำนาจตรวจค้น และจับจำเลยได้ ป.วิ.อาญา มาตรา 78 (1) (2) , 93 การที่จำเลยใช้มือกดอาวุธปืน ไม่ให้สิบตำรวจเอก พ. ดึงออกมาจากเอวจำเลย เพื่อยึดเป็นของกลาง จึงเป็นการขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยใช้กำลังประทุษร้าย ตาม ป.อาญา มาตรา 138 วรรคสอง

คำพิพากษาฎีกาที่ 2768/2540 การที่จำเลยกระชากลากผู้เสียหายออกมาจากบริเวณที่ผู้เสียหายยืนอยู่ใต้ชายคาบ้านของผู้เสียหาย แม้จำเลยจะยืนอยู่นอกบริเวณบ้านของผู้เสียหาย แต่จำเลยก็จะต้องเอื้อมมือเข้าไปภายในบริเวณบ้านของผู้เสียหาย เพื่อจับและฉุดกระชากลากตัวผู้เสียหายออกไป การเอื้อมมือเข้าไปฉุดกระชากฉากตัวผู้เสียหายออกไปในลักษณะนี้ ถือได้ว่าจำเลยเข้าไปกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุด โดยใช้กำลังประทุษร้าย เข้าองค์ประกอบแห่งความผิดฐานบุกรุกตาม ป.อ. มาตรา 362 และมาตรา 365 (1) แล้ว

คำพิพากษาฎีกาที่ 3752/2540   จำเลยใช้มือดึงกางเกงของผู้เสียหายลงมาถึงหน้าแข้ง แล้วใช้นิ้วแหย่เข้าไปในช่องคลอดของผู้เสียหาย ขยับนิ้วไปมาโดย ผู้เสียหายไม่ยินยอม “แม้เป็นวิธีการกระทำอนาจาร แต่ก็เป็นการใช้แรงกายภาพต่อผู้เสียหาย” เป็นการใช้กำลังประทุษร้าย ตาม ม 1 (6) จึงมีความผิดฐานกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย มาตรา 279 วรรค 2

คำพิพากษาฎีกาที่ 6833/2541 แม้จำเลยจะกระทำอนาจารผู้เสียหายซึ่งมีอายุไม่เกิน 15 ปี โดยใช้กำลังประทุษร้าย ด้วยการใช้แขนรัดคอ ใช้มือปิดปาก จับทรวงอก และพยายามปลดตะขอกางเกงของผู้เสียหาย พร้อมกับพูดขอให้ผู้เสียหายยอมให้จำเลยกระทำชำเราก็ตาม แต่จำเลยก็มิได้ใช้อาวุธทำการขู่เข็ญ หรือประทุษร้ายผู้เสียหาย ทั้งก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายกับจำเลยเคยติดต่อคบหากันอย่างคนรัก พฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายจึงไม่ร้ายแรงนัก

คำพิพากษาฎีกาที่ 602/2543 การที่จำเลยที่ 1 ยื้อแย่งไม้กวาดจากผู้เสียหายที่ 2 และเหวี่ยงกันไปมา โดยจำเลยที่ 1 ทำหน้าตาและส่งเสริมข่มขู่จะทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 ต่อเนื่องกับการที่จำเลยทั้งสองเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านของผู้เสียหาย เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์

ประการที่สอง หมายความว่า การกระทำใด ๆ ซึ่งเป็นเหตุให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้  เช่น

คำพิพากษาฎีกาที่ 529/2509 จำเลยใช้ยาทำให้ผู้เสียหายมึนเมา เป็นเหตุให้ตกอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถจะขัดขืนได้ จึงถือได้ว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้เป็นความสะดวกแก่การลักทรัพย์และพาทรัพย์นั้นไป เป็นกรรมเดียว ผิดฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339

คำพิพากษาฎีกาที่ 567/2537 จำเลยลอบใส่ยานอนหลับผสมลงในสุรา ให้ผู้เสียหายทั้งสองดื่ม จนหลับหมดสติ เป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสองตกอยู่ในภาวะไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วลักทรัพย์ของผู้เสียหาย ซึ่งอยู่ในความครอบครองของ ส. ผู้เสียหายอีกคนหนึ่งไป ถือได้ว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้เป็นความสะดวกแก่การลักทรัพย์และการพาทรัพย์นั้นไป เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์

คำพิพากษาฎีกาที่ 3562/2537 จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ยานอนหลับ ผสมลงในเครื่องดื่มเบียร์ให้ผู้เสียหายดื่ม จนไม่รู้สึกตัวหลับไป แล้วปลดเอาเครื่องประดับของผู้เสียหายไป เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ (ลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย)

คำพิพากษาฎีกาที่ 248/2543 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวก ร่วมกันปล้นทรัพย์ใช้กำลังประทุษร้าย โดยใช้ยาไดอาซีแพม ปลอมปนใส่ในเครื่องดื่มนมเปรี้ยวให้ผู้เสียหายดื่ม เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหมดสติ อยู่ในภาวะขัดขืนไม่ได้ แล้วเอาสร้อยพลอย 91 เส้น ของผู้เสียหายไป / แต่หลังเกิดเหตุได้ตรวจปัสสาวะของผู้เสียหายไม่พบยานอนหลับ ซึ่งเป็นยาระงับประสาทกลุ่มเบนโซไดอะซีฟิน แสดงว่าขณะเกิดเหตุบุคคลทั้งสองมิได้ดื่มนมที่มียาไดอาซีแพมปลอมปน ประกอบกับโจทก์ไม่สามารถนำผู้เสียหายซึ่งเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริง พยานโจทก์ไม่เพียงพอที่จะรับฟังว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์

ตัวอย่างกรณี ไม่เป็นการใช้กำลังประทุษร้าย

คำพิพากษาฎีกาที่ 1088/2520 จำเลยลูบคลำตามเสื้อกางเกงผู้เสียหาย และพูดขอแว่นตาที่ผู้เสียหายสวมอยู่ ผู้เสียหายไม่ให้ จำเลยแย่งแว่นตาไปจากผู้เสียหาย ผู้เสียหายแย่งคืนมาได้ จำเลยแย่งไปได้อีกแล้วพูดว่า "ถ้าเอ็งมีอาวุธกูแทงเสียแล้ว" และเอามือล้วงใต้เสื้อตรงขอบกางเกงหน้าท้อง ดังนี้ เป็นการวิ่งราวแว่นตา แต่ไม่เป็นการขู่ว่าจะทำร้าย โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยฉกฉวย เอาทรัพย์ไปซึ่งหน้า ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ ศาลลงโทษแต่ฐานลักทรัพย์

คำพิพากษาฎีกาที่ 509/2529 จำเลยหลอกเด็กชายอายุไม่เกิน 13 ปี ว่าดวงไม่ดีต้องสะเดาะเคราะห์ แล้วใช้ของลับสอดใส่ทวารหนัก (ไม่เป็นการขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ ) ไม่เป็นการใช้กำลังประทุษร้าย หรืออยู่ในภาวะที่ไม่อาจขัดขืนได้ (ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ จำเลยจะมีความผิดฐานกระทำชำเราเด็ก ตามมาตรา ๒๗๗)

คำพิพากษาฎีกาที่ 5837/2530 ผู้เสียหายยอมให้จำเลยซึ่งเป็นแพทย์แผนโบราณ กระทำอนาจารโดยโง่เขลาเบาปัญญาหลงเชื่ออย่างงมงาย ว่าจำเลยทำการรักษาโรคให้ได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการขู่เข็ญโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญจนผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ผู้เสียหายมีอายุเกินกว่า 13 ปี จึงไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 278

คำพิพากษาฎีกาที่ 831/2532 จำเลยที่ 1 ใช้มือซ้ายกระชากคอเสื้อผู้เสียหาย แล้วใช้มือขวา กระชากสร้อยคอทองคำหนัก 1 สลึง ของผู้เสียหายขาดออกจากกัน และเอาสร้อยคอกับพระเลี่ยมทองคำซึ่งแขวนอยู่ 1 องค์ไป เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันในทันใด เพื่อประสงค์จะเอาสร้อยคอของผู้เสียหายเป็นสำคัญ และเป็นเพียงวิธีการเอาทรัพย์ของผู้เสียหายเท่านั้น มิใช่เป็นการใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย อันจะเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่เป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ โจทก์มิได้บรรยายองค์ประกอบความผิดฐานนี้มา และคำขอท้ายฟ้องก็มิได้ขอให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ คงลงโทษจำเลยได้เฉพาะลักทรัพย์เท่านั้น

สำหรับ “มูลเหตุชักจูงใจ” ในการกระทำนั้น ต้องเป็นกรณีใดกรณีหนึ่งตามที่กฎหมายบัญญัติไว้  ซึ่งอาจแยกพิจารณาได้เป็น ๒ ส่วน กล่าวคือ ความผิดตาม (๑) และ (๒) ส่วนหนึ่ง  และความผิดตาม (๓) อีกส่วนหนึ่ง

ความผิดตาม (๑) และ(๒) อาจเรียกว่า “ความผิดฐานกบฏรัฐธรรมนูญ” ซึ่งมีคุณธรรมทางกฎหมายหรือสิ่งที่กฎหมายมุ่งคุ้มครองคือ “กติกาของรัฐธรรมนูญ” และการกระทำคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
ส่วนความผิดตาม (๓) อาจเรียกว่าเป็น “ความผิดฐานกบฏดินแดน” ซึ่งมี “ความคงอยู่ของดินแดนแห่งรัฐ” เป็นคุณธรรมทางกฎหมาย  และการกระทำคือ การแบ่งแยกหรือยึดดินแดนโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
ที่มา: แนวหน้า


ดังนั้น ภาพการแสดงออกเชิงสัญญลักษณ์ เป็น กบฎ ต่อแผ่นดินหรือไม่

[img]http://f.ptcdn.info/294/016/000/1393
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่