ก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญมี คำสั่งวินิจฉัยว่า
การชุมนุมกลุ่ม กปปส. ไม่ได้เป็นการล้มล้างการปกครอง หรือกระทำเพื่อให้ได้มา
ซึ่งการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่
บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 68
แม้ต่อมาศาลแพ่งจะไม่มีคำสั่งยกเลิกการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
แต่ก็มีคำสั่งให้รัฐบาลและศรส.ระงับใช้มาตรการกับกลุ่มผู้ชุมนุม 9 ข้อ
โดยศาลแพ่งอ้างอิงคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวินิจฉัยว่า การชุมนุม กปปส.เป็นการ
ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ
อย่างไรก็ตามจากข้อมูลศูนย์เอราวัณ สำนักการแพทย์ กรุงเทพ มหานคร พบว่า
ตั้งแต่การชุมนุมเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว จนวันที่ 28 ก.พ.2557
มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 724 คน เสียชีวิต 20 ราย
โดยเฉพาะเหตุการณ์ยิงถล่มเวที กปปส.ตราด เมื่อวันที่ 22 ก.พ. และการยิงระเบิด
หน้าห้างบิ๊กซี ราชดำริ เมื่อวันที่ 23 ก.พ.
มีเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบเสียชีวิตรวมกัน 4 ราย
ไม่นับเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 รายวันในพื้นที่รอบบริเวณชุมนุม กปปส.หลายเวที
สถานที่ทำการศาล แม้กระทั่งสถานที่ตั้ง ศรส.
เหล่านี้บ่งชี้ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งได้ยกระดับความรุนแรงมากขึ้น มีการนำ
อาวุธสงครามมาใช้ก่อเหตุโดยไม่เลือกเป้าหมาย
ส่งผลให้เด็กและประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องตกเป็นเหยื่อ
แต่ที่น่าเศร้าสลดใจกว่านั้น คือกลุ่มบุคคลอันเป็นต้นเหตุแห่งความรุนแรง ไม่ได้
เสียใจในสิ่งที่กระทำลงไป ทั้งยังปลุกปั่นใส่ร้าย โยนความผิดให้ฝ่ายตรงข้าม
นำความสูญเสียของประชาชนมาเป็นเกมทำลายทางการเมือง
ทางด้านรัฐบาลหลังถูกสั่งห้ามสลายการ ชุมนุม
ก็ทำให้สถานการณ์พลิกตกเป็นรองฝ่าย กปปส.ทันที
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร วางโปรแกรมเดินสายตรวจงานภาคเหนือและอีสาน
หลบเลี่ยงเกมรุกไล่จากขบวนการฝ่ายตรงข้าม
แต่ถึงจะอยู่ในสภาพรวยริน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ไม่จำนนต่อกระแสกดดันด้วยวิธีนอกกติกา
"ที่ดิฉันอยู่วันนี้ก็เพื่อรักษาประชาธิปไตย ที่หลายคนออกมาเรียกร้องให้ลาออก
จึงอยากถามกลับไปว่าการลาออกคือคำตอบหรือ เพราะถ้าลาออกเพื่อ เปิดทาง
ให้เกิดสุญญากาศ ฉีกรัฐธรรมนูญ ไม่เป็น ประชาธิปไตย จะทำได้อย่างไร
ในฐานะประชาชนและผู้นำรัฐบาล ต้องรักษาประชาธิปไตย ประคับประคองไปให้ถึงรัฐบาล
ใหม่ แม้จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ดิฉันขอทำหน้าที่ของตนเองจนถึงนาทีสุดท้าย"
ส่วนที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ท้าทายให้มาเจรจากันแบบตัวต่อตัว
และให้ถ่ายทอดสดผ่านจอทีวี
น.ส.ยิ่งลักษณ์ยืนยันว่า เห็นด้วยกับการหาทางออกให้ประเทศด้วยการเจรจา
แต่การเจรจานั้นต้องเป็นไปตามกรอบรัฐธรรมนูญ
ถ้านอกกรอบก็ปฏิบัติไม่ได้
อ่านเกมกันว่า การเป็นฝ่ายขอเจรจาผ่านจอทีวีนั้น นายสุเทพรู้ดีอยู่แล้วว่า
น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องปฏิเสธไม่รับคำท้า
เพราะเป็นเงื่อนไขขัดกับหลักสากล ที่การเจรจาความระดับประเทศ
ควรเป็นไปในทางลับเท่านั้น
การเจรจาหน้ากล้องทีวี มีเหตุการณ์เมื่อปี 2553 เป็นตัวอย่าง
ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เปิดโต๊ะเจรจากับแกนนำคนเสื้อแดง
ต่างคนต่างยื่นเงื่อนไข สุดท้ายตกลงกันไม่ได้
นำไปสู่เหตุการณ์ปราบปรามการชุมนุมในเดือนเม.ย.-พ.ค. มีผู้เสียชีวิต 99 ศพ
บาดเจ็บเกือบ 2,000 คน
อีกทั้งนายสุเทพ ยังมีสถานะเป็นผู้ต้องหาคดีร้ายแรงหลายคดี ทั้งคดีกบฏ
คดีฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินและคดี 99 ศพ
การที่นายกฯ จะไปจับเข่าเจรจาใดๆ เป็นเรื่องต้องคิดให้รอบคอบว่าเหมาะสม
หรือไม่ทั้งด้านนิตินัยและพฤตินัย
ที่สำคัญวิกฤตบ้านเมืองขณะนี้เกี่ยวพันกลุ่มคนหลายระดับทั้งที่อยู่เบื้องหน้า
และเบื้องหลัง จึงไม่ใช่ปัญหาที่คนสองคนจะตกลงกันเองได้
แต่ก็แน่นอนว่าการที่นายกฯ ปฏิเสธคำท้า จะเป็นช่องให้ถูกนำไปขยายผลได้ว่า
ฝ่ายรัฐบาลต่างหากที่ไม่ประสงค์ยุติปัญหาด้วยการเจรจา
รัฐบาลจึงได้พยายามเกทับ ด้วยการดึงคนกลางระดับโลกอย่าง
นายบัน คีมุน เลขาธิการยูเอ็น
มาเป็นตัวเชื่อมการเจรจาดับวิกฤตการเมืองไทย
ข้อดีอย่างหนึ่งในความรุนแรงที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
คือเป็นการกระตุกให้ประชาชนทุกภาคส่วนฉุกคิดได้ว่า ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ
มานาน 4 เดือน ก่อความเสียหายร้ายแรงต่อสังคมไทยในทุกมิติ
ถึงเวลาทุกฝ่ายซึ่งเป็นหุ้นส่วนความขัดแย้ง ต้องหันหน้ามาเจรจากันได้แล้วหรือยัง
เพราะแม้กปปส.จะเป็นม็อบมีเส้น
ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มชนชั้นสูง องค์กรอิสระ นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย
แพทย์ พยาบาล สื่อมวลชน และคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ จำนวนมาก
ทั้งยังได้รับความคุ้มครองจากคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญและศาลแพ่ง
แต่เวลาผ่านไป 4 เดือนก็ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุดของตนเองได้
แผนชัตดาวน์เริ่มฝ่อแฟบลงทั้งด้านกำลังคนและกำลังท่อน้ำเลี้ยง
มาตรการปิดล้อมสถานที่ราชการ บริษัทห้างร้านเอกชน ธุรกิจโรงแรม มือถือ
บ้านจัดสรร อ้างว่าเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงระบอบทักษิณ
ถึงจะมีกลุ่มแฟนพันธุ์แท้เข้าร่วมแต่ก็ไม่มากเท่าแต่ก่อน
ซึ่งมีการวิเคราะห์ไว้หลายสาเหตุ
บ้างก็ว่าเป็นเพราะมวลชนเบื่อหน่ายชัยชนะที่ไม่มีวันมาถึง
บ้างก็ว่าเพราะแผนชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อ บานปลายกลายเป็นความรุนแรง
ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บไปแล้วจำนวนมาก
รวมถึงความเสียหายด้านเศรษฐกิจการลงทุน ธุรกิจการค้า การท่องเที่ยว
ที่เริ่มปรากฏตัวเลขติดลบเป็นรูปธรรม
เป็นสิ่งย้อนกลับมาทำร้ายสร้างความหวาดผวาให้คนกรุงเทพฯ ทั้งในส่วนประชาชนทั่วไป
และในส่วนที่เป็นฐานมวลชนให้กับ กปปส.เอง
ล่าสุด ศรส.โดยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ระบุมวลชนผู้เข้าร่วมชุมนุมกปปส.ทุกเวทีรวมกัน
เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ได้ลดระดับลงเหลือไม่ถึง 4,000 คน
ฉะนั้นในขณะที่ กปปส.อยู่ในภาวะถดถอย
รัฐบาลก็ไม่ได้อยู่ในสภาพดีกว่ากันเท่าไหร่
ที่ต้องการให้ กกต.จัดเลือกตั้งที่เหลือให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์โดยเร็ว เพื่อนำประเทศ
กลับสู่กฎกติกาประชาธิปไตย ก็เป็นเรื่องยากลำบาก แทบไม่มีความหวังใดเหลืออยู่
ขณะที่กลุ่ม นปช. คนเสื้อแดงเริ่มหมดความอดทน ประกาศลั่นกลองรบ
รวมพลรอสัญญาณกรีธาทัพเข้ากรุง เดินหน้าเข้าสู่สถานการณ์สู้รบแตกหัก
การเจรจาจึงเป็นหนทางเดียวที่จะปลดชนวนสงครามประชาชนไม่ให้เกิดขึ้น
ถ้าไม่เริ่มเสียแต่ตอนนี้ อาจไม่เหลือเวลาให้เจรจากันได้อีก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU16Y3pPREk0TkE9PQ==§ionid=
จุดชนวนอยากเจรจา เพื่อหาทาง ดิสเครดิตนายกฯเท่านั้นเองล
การเจรจา ต้องมีการให้เกียรติกัน แต่วาทะที่พูดถึงการเจรจา เต็มไปด้วย
การดูหมิ่น เหยียดหยาม นายกฯ มันหมายความว่าอะไร ...
อะไระจะเกิดก็คงต้อง เกิด จะเป็นสงครามกลางเมือง หรือ ปฏิวัติ
หากเลือกไม่ได้ ก็ต้องเป็น ไทยอดทนกันไป ตราบเท่าที่คนไทยยัง
เชื่อเรื่อง บ้านเมืองนี้ ไม่ได้เป็นของคนไทยทุกคน
การเจรจาที่ 2 ฝ่ายไม่มีความเท่าเทียมกัน ยังมีการดูหมิ่นเหยียดหยามกันอยู่
ก็คงจะเปล่าประโยชน์ ไม่เชื่อไปอ่านกระทู้ ของกองเชียร์ปปส. พูดถึงรัฐบาล
และฝ่ายสนับสนุนกันดูบ้าง
เร่งเกมเจรจา ดับชนวนสงคราม วิเคราะห์ ข่าวสดออนไลน์
ก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญมี คำสั่งวินิจฉัยว่า
การชุมนุมกลุ่ม กปปส. ไม่ได้เป็นการล้มล้างการปกครอง หรือกระทำเพื่อให้ได้มา
ซึ่งการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่
บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 68
แม้ต่อมาศาลแพ่งจะไม่มีคำสั่งยกเลิกการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
แต่ก็มีคำสั่งให้รัฐบาลและศรส.ระงับใช้มาตรการกับกลุ่มผู้ชุมนุม 9 ข้อ
โดยศาลแพ่งอ้างอิงคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวินิจฉัยว่า การชุมนุม กปปส.เป็นการ
ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ
อย่างไรก็ตามจากข้อมูลศูนย์เอราวัณ สำนักการแพทย์ กรุงเทพ มหานคร พบว่า
ตั้งแต่การชุมนุมเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว จนวันที่ 28 ก.พ.2557
มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 724 คน เสียชีวิต 20 ราย
โดยเฉพาะเหตุการณ์ยิงถล่มเวที กปปส.ตราด เมื่อวันที่ 22 ก.พ. และการยิงระเบิด
หน้าห้างบิ๊กซี ราชดำริ เมื่อวันที่ 23 ก.พ.
มีเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบเสียชีวิตรวมกัน 4 ราย
ไม่นับเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 รายวันในพื้นที่รอบบริเวณชุมนุม กปปส.หลายเวที
สถานที่ทำการศาล แม้กระทั่งสถานที่ตั้ง ศรส.
เหล่านี้บ่งชี้ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งได้ยกระดับความรุนแรงมากขึ้น มีการนำ
อาวุธสงครามมาใช้ก่อเหตุโดยไม่เลือกเป้าหมาย
ส่งผลให้เด็กและประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องตกเป็นเหยื่อ
แต่ที่น่าเศร้าสลดใจกว่านั้น คือกลุ่มบุคคลอันเป็นต้นเหตุแห่งความรุนแรง ไม่ได้
เสียใจในสิ่งที่กระทำลงไป ทั้งยังปลุกปั่นใส่ร้าย โยนความผิดให้ฝ่ายตรงข้าม
นำความสูญเสียของประชาชนมาเป็นเกมทำลายทางการเมือง
ทางด้านรัฐบาลหลังถูกสั่งห้ามสลายการ ชุมนุม
ก็ทำให้สถานการณ์พลิกตกเป็นรองฝ่าย กปปส.ทันที
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร วางโปรแกรมเดินสายตรวจงานภาคเหนือและอีสาน
หลบเลี่ยงเกมรุกไล่จากขบวนการฝ่ายตรงข้าม
แต่ถึงจะอยู่ในสภาพรวยริน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ไม่จำนนต่อกระแสกดดันด้วยวิธีนอกกติกา
"ที่ดิฉันอยู่วันนี้ก็เพื่อรักษาประชาธิปไตย ที่หลายคนออกมาเรียกร้องให้ลาออก
จึงอยากถามกลับไปว่าการลาออกคือคำตอบหรือ เพราะถ้าลาออกเพื่อ เปิดทาง
ให้เกิดสุญญากาศ ฉีกรัฐธรรมนูญ ไม่เป็น ประชาธิปไตย จะทำได้อย่างไร
ในฐานะประชาชนและผู้นำรัฐบาล ต้องรักษาประชาธิปไตย ประคับประคองไปให้ถึงรัฐบาล
ใหม่ แม้จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ดิฉันขอทำหน้าที่ของตนเองจนถึงนาทีสุดท้าย"
ส่วนที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ท้าทายให้มาเจรจากันแบบตัวต่อตัว
และให้ถ่ายทอดสดผ่านจอทีวี
น.ส.ยิ่งลักษณ์ยืนยันว่า เห็นด้วยกับการหาทางออกให้ประเทศด้วยการเจรจา
แต่การเจรจานั้นต้องเป็นไปตามกรอบรัฐธรรมนูญ
ถ้านอกกรอบก็ปฏิบัติไม่ได้
อ่านเกมกันว่า การเป็นฝ่ายขอเจรจาผ่านจอทีวีนั้น นายสุเทพรู้ดีอยู่แล้วว่า
น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องปฏิเสธไม่รับคำท้า
เพราะเป็นเงื่อนไขขัดกับหลักสากล ที่การเจรจาความระดับประเทศ
ควรเป็นไปในทางลับเท่านั้น
การเจรจาหน้ากล้องทีวี มีเหตุการณ์เมื่อปี 2553 เป็นตัวอย่าง
ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เปิดโต๊ะเจรจากับแกนนำคนเสื้อแดง
ต่างคนต่างยื่นเงื่อนไข สุดท้ายตกลงกันไม่ได้
นำไปสู่เหตุการณ์ปราบปรามการชุมนุมในเดือนเม.ย.-พ.ค. มีผู้เสียชีวิต 99 ศพ
บาดเจ็บเกือบ 2,000 คน
อีกทั้งนายสุเทพ ยังมีสถานะเป็นผู้ต้องหาคดีร้ายแรงหลายคดี ทั้งคดีกบฏ
คดีฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินและคดี 99 ศพ
การที่นายกฯ จะไปจับเข่าเจรจาใดๆ เป็นเรื่องต้องคิดให้รอบคอบว่าเหมาะสม
หรือไม่ทั้งด้านนิตินัยและพฤตินัย
ที่สำคัญวิกฤตบ้านเมืองขณะนี้เกี่ยวพันกลุ่มคนหลายระดับทั้งที่อยู่เบื้องหน้า
และเบื้องหลัง จึงไม่ใช่ปัญหาที่คนสองคนจะตกลงกันเองได้
แต่ก็แน่นอนว่าการที่นายกฯ ปฏิเสธคำท้า จะเป็นช่องให้ถูกนำไปขยายผลได้ว่า
ฝ่ายรัฐบาลต่างหากที่ไม่ประสงค์ยุติปัญหาด้วยการเจรจา
รัฐบาลจึงได้พยายามเกทับ ด้วยการดึงคนกลางระดับโลกอย่าง
นายบัน คีมุน เลขาธิการยูเอ็น
มาเป็นตัวเชื่อมการเจรจาดับวิกฤตการเมืองไทย
ข้อดีอย่างหนึ่งในความรุนแรงที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
คือเป็นการกระตุกให้ประชาชนทุกภาคส่วนฉุกคิดได้ว่า ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ
มานาน 4 เดือน ก่อความเสียหายร้ายแรงต่อสังคมไทยในทุกมิติ
ถึงเวลาทุกฝ่ายซึ่งเป็นหุ้นส่วนความขัดแย้ง ต้องหันหน้ามาเจรจากันได้แล้วหรือยัง
เพราะแม้กปปส.จะเป็นม็อบมีเส้น
ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มชนชั้นสูง องค์กรอิสระ นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย
แพทย์ พยาบาล สื่อมวลชน และคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ จำนวนมาก
ทั้งยังได้รับความคุ้มครองจากคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญและศาลแพ่ง
แต่เวลาผ่านไป 4 เดือนก็ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุดของตนเองได้
แผนชัตดาวน์เริ่มฝ่อแฟบลงทั้งด้านกำลังคนและกำลังท่อน้ำเลี้ยง
มาตรการปิดล้อมสถานที่ราชการ บริษัทห้างร้านเอกชน ธุรกิจโรงแรม มือถือ
บ้านจัดสรร อ้างว่าเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงระบอบทักษิณ
ถึงจะมีกลุ่มแฟนพันธุ์แท้เข้าร่วมแต่ก็ไม่มากเท่าแต่ก่อน
ซึ่งมีการวิเคราะห์ไว้หลายสาเหตุ
บ้างก็ว่าเป็นเพราะมวลชนเบื่อหน่ายชัยชนะที่ไม่มีวันมาถึง
บ้างก็ว่าเพราะแผนชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อ บานปลายกลายเป็นความรุนแรง
ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บไปแล้วจำนวนมาก
รวมถึงความเสียหายด้านเศรษฐกิจการลงทุน ธุรกิจการค้า การท่องเที่ยว
ที่เริ่มปรากฏตัวเลขติดลบเป็นรูปธรรม
เป็นสิ่งย้อนกลับมาทำร้ายสร้างความหวาดผวาให้คนกรุงเทพฯ ทั้งในส่วนประชาชนทั่วไป
และในส่วนที่เป็นฐานมวลชนให้กับ กปปส.เอง
ล่าสุด ศรส.โดยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ระบุมวลชนผู้เข้าร่วมชุมนุมกปปส.ทุกเวทีรวมกัน
เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ได้ลดระดับลงเหลือไม่ถึง 4,000 คน
ฉะนั้นในขณะที่ กปปส.อยู่ในภาวะถดถอย
รัฐบาลก็ไม่ได้อยู่ในสภาพดีกว่ากันเท่าไหร่
ที่ต้องการให้ กกต.จัดเลือกตั้งที่เหลือให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์โดยเร็ว เพื่อนำประเทศ
กลับสู่กฎกติกาประชาธิปไตย ก็เป็นเรื่องยากลำบาก แทบไม่มีความหวังใดเหลืออยู่
ขณะที่กลุ่ม นปช. คนเสื้อแดงเริ่มหมดความอดทน ประกาศลั่นกลองรบ
รวมพลรอสัญญาณกรีธาทัพเข้ากรุง เดินหน้าเข้าสู่สถานการณ์สู้รบแตกหัก
การเจรจาจึงเป็นหนทางเดียวที่จะปลดชนวนสงครามประชาชนไม่ให้เกิดขึ้น
ถ้าไม่เริ่มเสียแต่ตอนนี้ อาจไม่เหลือเวลาให้เจรจากันได้อีก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU16Y3pPREk0TkE9PQ==§ionid=
จุดชนวนอยากเจรจา เพื่อหาทาง ดิสเครดิตนายกฯเท่านั้นเองล
การเจรจา ต้องมีการให้เกียรติกัน แต่วาทะที่พูดถึงการเจรจา เต็มไปด้วย
การดูหมิ่น เหยียดหยาม นายกฯ มันหมายความว่าอะไร ...
อะไระจะเกิดก็คงต้อง เกิด จะเป็นสงครามกลางเมือง หรือ ปฏิวัติ
หากเลือกไม่ได้ ก็ต้องเป็น ไทยอดทนกันไป ตราบเท่าที่คนไทยยัง
เชื่อเรื่อง บ้านเมืองนี้ ไม่ได้เป็นของคนไทยทุกคน
การเจรจาที่ 2 ฝ่ายไม่มีความเท่าเทียมกัน ยังมีการดูหมิ่นเหยียดหยามกันอยู่
ก็คงจะเปล่าประโยชน์ ไม่เชื่อไปอ่านกระทู้ ของกองเชียร์ปปส. พูดถึงรัฐบาล
และฝ่ายสนับสนุนกันดูบ้าง