บางคนว่าบทยังไม่ดี แต่ผมคิดว่าเสน่ห์ของ "พี่ชาย | My Bromance" ส่วนหนึ่งมาจาก "บท-เนื้อเรื่อง-ประเด็น" นี่แหล่ะ
ถ้าไม่นับบทในส่วนของอาการป่วยของกอล์ฟกับการปลูกถ่ายอวัยวะให้แบงค์ที่ไม่ค่อยสมจริงในทางการแพทย์ บทในส่วนอื่นๆ มัน "จริง" ครับ
คือมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริง ในสังคม ในชีวิตของคนธรรมดาทั่วไปนี่แหล่ะ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันจนไม่มีทางเป็นไปได้ อาจจะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับใครสักคนใกล้ตัวเรานี่เอง
พ่อมีเมียใหม่ อยู่ดีๆ ก็มีน้องเพิ่มมาอีกคน กลัวจะถูกแย่งความรัก กลัวจะถูกแทนที่ กว่าแม่จะถูกพ่อลืม ทำให้เริ่มต้นด้วยความไม่พอใจ กลั่นแกล้ง แต่พออยู่กันไปก็ผูกพัน มองเห็นความดีของอีกฝ่าย เกิดการยอมรับ พัฒนาเป็นความรัก มีช่วงเวลาที่เป็นสุข แต่มีอุปสรรคที่คนในครอบครัวไม่ยอมรับ ต้องยุติความสัมพันธ์อย่างไม่เต็มใจ มีคนใหม่ หึงหวง โมโห ขาดสติ เกิดเหตุร้าย ลงท้ายด้วยการเสียสละด้วยความรัก
บทมันเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ทำให้คนดูรู้สึกเข้าถึงและคล้อยตามไปกับบทได้ไม่ยาก
อีกอย่างหนึ่ง ผมว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่กล้าพูดออกมาตรงๆ ว่า ตัวละครเป็นเกย์ รักกัน คบกัน เป็นแฟนกัน และเปิดเผยให้คนรอบข้างรับรู้ (แม้จะมีทั้งที่ยอมรับและไม่ได้รับการยอมรับ)
ไม่ต้องมากระมิดกระเมี้ยนให้คนดูไปคิดเองว่าตัวละครรู้สึกต่อกันอย่างไร รักกันหรือเปล่า ตกลงว่าเป็นอะไรกัน
อย่างเรื่องรักแห่งสยาม เรารู้ว่ามิวชอบโต้ง โต้งก็ชอบมิว แต่ชอบแบบไหน แล้วตกลงเขาเป็นอะไรกัน เป็นเพื่อนคนพิเศษ หรือเป็นแฟนกัน แล้วที่จูบกันนี่เพราะรักกัน หรือแค่เผลอไผลไปกับบรรยากาศ
เรื่องโฮมก็เหมือนกัน เนจะชอบบีมหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าชอบ ชอบแบบไหน ยิ่งทางฝั่งบีมยิ่งแล้วใหญ่ ไม่รู้เลยว่าคิดยังไงกับเน
มีเรื่องนี้แหล่ะ ที่เอาให้ชัดไปเลย ว่าเป็นคู่เกย์นะ รักกันนะ เปิดเผยด้วย แม้ตอนแรกจะไม่ได้ป่าวประกาศ แต่พอเพื่อนถามก็ไม่คิดปิดบัง พอตอนท้ายก็พูดอย่างชัดเจนในห้องเรียนต่อหน้าเพื่อนๆ ว่ารักน้องชายแบบไหน
--------------------------------------------------
ผมคิดว่า ประเด็นหนึ่งที่หนังต้องการจะสื่อ แต่หลายคนอาจจะมองข้ามไป เพราะไปมองเรื่องการพลัดพรากจากกันเป็นอารมณ์หลัก ก็คือเรื่อง "การยอมรับ" ซึ่งหนังเรื่องนี้นำเสนออยู่ตลอดทั้งเรื่อง
กอล์ฟกับแบงค์จะสุขหรือจะทุกข์ ก็มาจากการยอมรับหรือไม่ยอมรับของคนที่อยู่รอบตัวเขานี่เอง
แบงค์ไม่กล้าบอกรักพี่กอล์ฟในตอนแรก เพราะไม่รู้ใจพี่ กลัวพี่จะรังเกียจที่รักผู้ชายเหมือนกัน แถมยังเป็นพี่น้องกันอีก
กอล์ฟก็ไม่กล้าบอกรักแบงค์ ทั้งๆ ที่แน่ใจตัวเองว่าคิดอย่างไรกับแบงค์ ถึงกับซื้อแหวนคู่เตรียมไว้แล้ว ก็เพราะกลัวว่าแบงค์จะไม่ได้รักกอล์ฟในแบบเดียวกัน
ทั้งสองคนตกลงคบกันเป็นแฟน แต่ก็ยังไม่กล้าบอกเพื่อน ไม่กล้าแสดงออกให้เห็น กลัวเพื่อนจะรังเกียจ
ถ้าสังเกตในฉากกองไฟ กอล์ฟกับแบงค์ไม่ได้นั่งข้างกันหรือพูดคุยหยอกล้อกันอย่างคนเป็นแฟนกัน แต่กลับนั่งคนละมุม ทำได้เพียงส่งสายตาถึงกัน ยิ่งพอในวงสนทนาพูดถึงเรื่องพี่ต้อมเป็นเกย์ และตื้ดพูดว่าผู้ชายกับผู้ชายรักกันเป็นเรื่องอุบาทว์ สายตาของแบงค์ที่มองกอล์ฟยิ่งดูเศร้าลงไปอีก มันคงเป็นความรู้สึกในใจที่ว่า แล้วจะทำยังไงกับความรักนี้ จะแสดงออกเหมือนคนอื่นได้มั๊ย แล้วเพื่อนจะยอมรับมั๊ย หรือว่าจะต้องปกปิดเป็นความลับไปตลอด (ผมคิดว่าเกย์หลายคนเคยมีประสบการณ์คล้ายๆ กันนี้)
จนเพื่อนสงสัยจึงมาถาม แม้แต่ตอนที่บอกออกไปแล้ว ก็ยังคงกลัวว่าเพื่อนจะเลิกคบ
เมื่อรู้ว่าเพื่อนยอมรับตัวตนที่เป็นได้นั่นแหล่ะ ถึงจะสามารถยิ้มอย่างมีความสุขได้ และสามารถแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าเป็นแฟนกันได้ (ฉากน้ำตก)
หนังเรื่องนี้จึงมีสองส่วน ส่วนแรกเป็นภาคความสุข เป็นความสุขจากการได้รับการยอมรับกันและกัน (และกลายเป็นความรัก) และการยอมรับจากเพื่อนๆ ส่วนหลังเป็นภาคความทุกข์ ทุกข์ที่เกิดจากการที่คนในครอบครัวไม่ยอมรับตัวตน ไม่ยอมรับความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น ปัญหาต่างๆ จึงตามมาอย่างที่เห็นในหนัง
ความทุกข์ทั้งหมดทั้งมวลในหนังเรื่องนี้ มีจุดเริ่มต้นมาจากการที่ไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัว เท่านั้นเอง
ผมคิดว่านี่เป็นปมใหญ่เรื่องหนึ่งของคนที่เป็นเกย์ คือความกลัวที่จะไม่ได้รับการยอมรับจากคนใกล้ตัวนี่แหล่ะครับ
--------------------------------------------------
แม้ว่าบทบางส่วนจะดูขัดความรู้สึก การตัดต่อที่ไม่ลื่นไหลจนบางครั้งทำให้งงว่าฉากนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร (เช่น ฉากนั่งร้องไห้กินไข่เจียว ผมยังงงอยู่อยู่ทำไมกอล์ฟมานั่งร้องไห้กินข้าวคนเดียว) แต่ถ้าเรามองภาพรวมของเรื่องทั้งหมด และจับประเด็นที่หนังต้องการจะสื่อ ผมว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดีเรื่องหนึ่งทีเดียวครับ เป็นหนังที่เมื่อเราดูจนจบแล้วยังมีอะไรติดออกมาจากโรงหนังด้วย มีอะไรให้เราเอากลับไปคิดต่อ ว่าถ้าเป็นเรา เราจะทำอย่างไร เราจะรู้สึกอย่างไร แล้วเราจะอยู่ต่อไปอย่างไร จะลืมเขาไหม จะมีคนใหม่ได้อีกหรือเปล่า ฯลฯ
--------------------------------------------------
สำหรับผม "พี่ชาย | My Bromance" ช่วยตอกย้ำให้ผมเชื่อในคำพูดที่ว่า "คนที่เรารัก ไม่อยู่กับเรานาน" มากขึ้นจริงๆ
เวลาที่เรามีอยู่ มีไว้เพื่อให้เราใช้ร่วมกัน มีความสุขด้วยกัน
อย่ามามัวเสียเวลาทำอะไรประชดประชันกันหรือทำในสิ่งที่จะทำให้อีกฝ่ายเป็นทุกข์ใจ
ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดเหมือนผมหรือเปล่า ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ทำให้คนที่มีแฟนรักแฟนมากขึ้น
หลังจากที่ดูหนังเรื่องนี้จบในรอบแรก (รอบแรกแอบไปดูคนเดียว) สิ่งแรกที่ผมทำ คือโทรศัพท์ไปหาแฟน บอกเขาว่า สัญญาว่าจะรักให้ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา
"พี่ชาย | My Bromance" มีจุดอ่อนที่บท?
ถ้าไม่นับบทในส่วนของอาการป่วยของกอล์ฟกับการปลูกถ่ายอวัยวะให้แบงค์ที่ไม่ค่อยสมจริงในทางการแพทย์ บทในส่วนอื่นๆ มัน "จริง" ครับ
คือมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริง ในสังคม ในชีวิตของคนธรรมดาทั่วไปนี่แหล่ะ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันจนไม่มีทางเป็นไปได้ อาจจะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับใครสักคนใกล้ตัวเรานี่เอง
พ่อมีเมียใหม่ อยู่ดีๆ ก็มีน้องเพิ่มมาอีกคน กลัวจะถูกแย่งความรัก กลัวจะถูกแทนที่ กว่าแม่จะถูกพ่อลืม ทำให้เริ่มต้นด้วยความไม่พอใจ กลั่นแกล้ง แต่พออยู่กันไปก็ผูกพัน มองเห็นความดีของอีกฝ่าย เกิดการยอมรับ พัฒนาเป็นความรัก มีช่วงเวลาที่เป็นสุข แต่มีอุปสรรคที่คนในครอบครัวไม่ยอมรับ ต้องยุติความสัมพันธ์อย่างไม่เต็มใจ มีคนใหม่ หึงหวง โมโห ขาดสติ เกิดเหตุร้าย ลงท้ายด้วยการเสียสละด้วยความรัก
บทมันเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ทำให้คนดูรู้สึกเข้าถึงและคล้อยตามไปกับบทได้ไม่ยาก
อีกอย่างหนึ่ง ผมว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่กล้าพูดออกมาตรงๆ ว่า ตัวละครเป็นเกย์ รักกัน คบกัน เป็นแฟนกัน และเปิดเผยให้คนรอบข้างรับรู้ (แม้จะมีทั้งที่ยอมรับและไม่ได้รับการยอมรับ)
ไม่ต้องมากระมิดกระเมี้ยนให้คนดูไปคิดเองว่าตัวละครรู้สึกต่อกันอย่างไร รักกันหรือเปล่า ตกลงว่าเป็นอะไรกัน
อย่างเรื่องรักแห่งสยาม เรารู้ว่ามิวชอบโต้ง โต้งก็ชอบมิว แต่ชอบแบบไหน แล้วตกลงเขาเป็นอะไรกัน เป็นเพื่อนคนพิเศษ หรือเป็นแฟนกัน แล้วที่จูบกันนี่เพราะรักกัน หรือแค่เผลอไผลไปกับบรรยากาศ
เรื่องโฮมก็เหมือนกัน เนจะชอบบีมหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าชอบ ชอบแบบไหน ยิ่งทางฝั่งบีมยิ่งแล้วใหญ่ ไม่รู้เลยว่าคิดยังไงกับเน
มีเรื่องนี้แหล่ะ ที่เอาให้ชัดไปเลย ว่าเป็นคู่เกย์นะ รักกันนะ เปิดเผยด้วย แม้ตอนแรกจะไม่ได้ป่าวประกาศ แต่พอเพื่อนถามก็ไม่คิดปิดบัง พอตอนท้ายก็พูดอย่างชัดเจนในห้องเรียนต่อหน้าเพื่อนๆ ว่ารักน้องชายแบบไหน
--------------------------------------------------
ผมคิดว่า ประเด็นหนึ่งที่หนังต้องการจะสื่อ แต่หลายคนอาจจะมองข้ามไป เพราะไปมองเรื่องการพลัดพรากจากกันเป็นอารมณ์หลัก ก็คือเรื่อง "การยอมรับ" ซึ่งหนังเรื่องนี้นำเสนออยู่ตลอดทั้งเรื่อง
กอล์ฟกับแบงค์จะสุขหรือจะทุกข์ ก็มาจากการยอมรับหรือไม่ยอมรับของคนที่อยู่รอบตัวเขานี่เอง
แบงค์ไม่กล้าบอกรักพี่กอล์ฟในตอนแรก เพราะไม่รู้ใจพี่ กลัวพี่จะรังเกียจที่รักผู้ชายเหมือนกัน แถมยังเป็นพี่น้องกันอีก
กอล์ฟก็ไม่กล้าบอกรักแบงค์ ทั้งๆ ที่แน่ใจตัวเองว่าคิดอย่างไรกับแบงค์ ถึงกับซื้อแหวนคู่เตรียมไว้แล้ว ก็เพราะกลัวว่าแบงค์จะไม่ได้รักกอล์ฟในแบบเดียวกัน
ทั้งสองคนตกลงคบกันเป็นแฟน แต่ก็ยังไม่กล้าบอกเพื่อน ไม่กล้าแสดงออกให้เห็น กลัวเพื่อนจะรังเกียจ
ถ้าสังเกตในฉากกองไฟ กอล์ฟกับแบงค์ไม่ได้นั่งข้างกันหรือพูดคุยหยอกล้อกันอย่างคนเป็นแฟนกัน แต่กลับนั่งคนละมุม ทำได้เพียงส่งสายตาถึงกัน ยิ่งพอในวงสนทนาพูดถึงเรื่องพี่ต้อมเป็นเกย์ และตื้ดพูดว่าผู้ชายกับผู้ชายรักกันเป็นเรื่องอุบาทว์ สายตาของแบงค์ที่มองกอล์ฟยิ่งดูเศร้าลงไปอีก มันคงเป็นความรู้สึกในใจที่ว่า แล้วจะทำยังไงกับความรักนี้ จะแสดงออกเหมือนคนอื่นได้มั๊ย แล้วเพื่อนจะยอมรับมั๊ย หรือว่าจะต้องปกปิดเป็นความลับไปตลอด (ผมคิดว่าเกย์หลายคนเคยมีประสบการณ์คล้ายๆ กันนี้)
จนเพื่อนสงสัยจึงมาถาม แม้แต่ตอนที่บอกออกไปแล้ว ก็ยังคงกลัวว่าเพื่อนจะเลิกคบ
เมื่อรู้ว่าเพื่อนยอมรับตัวตนที่เป็นได้นั่นแหล่ะ ถึงจะสามารถยิ้มอย่างมีความสุขได้ และสามารถแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าเป็นแฟนกันได้ (ฉากน้ำตก)
หนังเรื่องนี้จึงมีสองส่วน ส่วนแรกเป็นภาคความสุข เป็นความสุขจากการได้รับการยอมรับกันและกัน (และกลายเป็นความรัก) และการยอมรับจากเพื่อนๆ ส่วนหลังเป็นภาคความทุกข์ ทุกข์ที่เกิดจากการที่คนในครอบครัวไม่ยอมรับตัวตน ไม่ยอมรับความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น ปัญหาต่างๆ จึงตามมาอย่างที่เห็นในหนัง
ความทุกข์ทั้งหมดทั้งมวลในหนังเรื่องนี้ มีจุดเริ่มต้นมาจากการที่ไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัว เท่านั้นเอง
ผมคิดว่านี่เป็นปมใหญ่เรื่องหนึ่งของคนที่เป็นเกย์ คือความกลัวที่จะไม่ได้รับการยอมรับจากคนใกล้ตัวนี่แหล่ะครับ
--------------------------------------------------
แม้ว่าบทบางส่วนจะดูขัดความรู้สึก การตัดต่อที่ไม่ลื่นไหลจนบางครั้งทำให้งงว่าฉากนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร (เช่น ฉากนั่งร้องไห้กินไข่เจียว ผมยังงงอยู่อยู่ทำไมกอล์ฟมานั่งร้องไห้กินข้าวคนเดียว) แต่ถ้าเรามองภาพรวมของเรื่องทั้งหมด และจับประเด็นที่หนังต้องการจะสื่อ ผมว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดีเรื่องหนึ่งทีเดียวครับ เป็นหนังที่เมื่อเราดูจนจบแล้วยังมีอะไรติดออกมาจากโรงหนังด้วย มีอะไรให้เราเอากลับไปคิดต่อ ว่าถ้าเป็นเรา เราจะทำอย่างไร เราจะรู้สึกอย่างไร แล้วเราจะอยู่ต่อไปอย่างไร จะลืมเขาไหม จะมีคนใหม่ได้อีกหรือเปล่า ฯลฯ
--------------------------------------------------
สำหรับผม "พี่ชาย | My Bromance" ช่วยตอกย้ำให้ผมเชื่อในคำพูดที่ว่า "คนที่เรารัก ไม่อยู่กับเรานาน" มากขึ้นจริงๆ
เวลาที่เรามีอยู่ มีไว้เพื่อให้เราใช้ร่วมกัน มีความสุขด้วยกัน
อย่ามามัวเสียเวลาทำอะไรประชดประชันกันหรือทำในสิ่งที่จะทำให้อีกฝ่ายเป็นทุกข์ใจ
ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดเหมือนผมหรือเปล่า ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ทำให้คนที่มีแฟนรักแฟนมากขึ้น
หลังจากที่ดูหนังเรื่องนี้จบในรอบแรก (รอบแรกแอบไปดูคนเดียว) สิ่งแรกที่ผมทำ คือโทรศัพท์ไปหาแฟน บอกเขาว่า สัญญาว่าจะรักให้ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา