
ประยุทธ์ไม่สัญญามีปฏิวัติหรือไม่ ชี้ทุกสถานการณ์ควรแก้ด้วยกฎหมาย หากไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีพิเศษ
วันที่ 28 ก.พ. ที่สนามมวยลุมพีนี ถนนรามอินทรา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเป็นประธานเปิดเวทีมวยลุมพีนีแห่งใหม่ ถึงกรณีที่มีรายชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนกลางเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองว่า อย่าไปพูดถึงยังไม่ไปถึงตรงนั้น
เมื่อถามว่า รู้สึกดีใจหรือไม่ที่เป็นที่ชื่นชมของประชาชนจนมีชื่อติดหนึ่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนกลาง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมคงไปดีใจหรือเสียใจไม่ได้ เพราะวันนี้สถานการณ์ตรึงเครียดและคงจะไม่มีความสุขกันเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร และ ตำรวจ รวมถึงประชาชนทั่วไป ทุกคนเป็นห่วงสถานการณ์ จึงอยากขอให้ทุกฝ่ายมีสติในการแก้ไขปัญหา
เมื่อถามว่า นายสุเทพ ต้องการให้มีการเจรจากับ นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยถ่ายทอดสดนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของท่านสองคนที่จะต้องคุยกัน และวันนี้ก็มีหลายฝ่ายมาเสนอหลายทาง รวมถึงกลุ่มอื่นๆ ที่อยากจะเข้าร่วมด้วย ซึ่งทุกอย่างต้องเป็นขั้นตอน ส่วนกองทัพจะเข้าไปมีส่วนร่วมหรือไม่นั้นก็แล้วแต่ แต่วันนี้เราอยู่ในฐานะบทบาทของเจ้าหน้าที่ที่ดูแลความปลอดภัย และรักษาสถานการณ์ความมั่นคง โดยรวมของประเทศ ส่วนนายกรัฐมนตรี ที่มีเงื่อนไขให้ยุติการชุมนุม และให้มีการเลือกตั้ง ก่อนคุยมีการเปิดโต๊ะคุยกันนั้น เป็นเรื่องธรรมดาของคู่เจรจา ซึ่งเป็นเงื่อนไขทุกภารกิจที่มีความขัดแย้งต่างฝ่ายต่างมีข้อเสนอของตนเอง แต่ถ้าหากปรับกันได้ก็คงจะลดราวาศอกกันไปเอง และคงจะพูดคุยกันได้บ้าง ซึ่งคงจะไม่ยุติภายในวันเดียว
เมื่อถามว่า ขณะนี้มีการใช้ระเบิดเอ็ม 79 ก่อเหตุเป็นจำนวนมาก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า กำลังตรวจสอบอยู่ แต่คงจะไม่ได้มาจากหน่วยทหาร เพราะอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ของกองทัพจะต้องอยู่ในคลัง และมีการตรวจเช็คกันทุกวัน ทั้งนี้การใช้อาวุธเอ็ม 79 ในขณะนี้เป็นการลักลอบเข้ามามากกว่า เพราะในห้วงที่ผ่านมาก็มีการจักกุมการลักลอบอาวุธสงครามได้ตลอด พอมีการชุมนุมทางการเมืองก็นำมาใช้ ซึ่งพวกนี้ไม่ค่อยมีจิตใจเป็นมนุษย์ เอ็ม 79 เอาไว้ใช้ในยามสงครามต่อสู้กับอริราชศัตรู แต่เอามายิงประชาชน ทั้งเด็ก ผู้หญิง และ คนชรา เสียชีวิตมากมาย เป็นสิ่งที่ต้องประณาม คนเหล่านี้จิตใจมันไม่ใช่มนุษย์ และหากจับกุมได้ก็จะต้องถูกดำเนินคดีในสถานหนัก
เมื่อถามถึง กรณีมีที่มีคำสั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดติดตามสถานการณ์การชุมนุมในพื้นที่แต่ละจังหวัด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นการใช้อำนาจในฐานะที่เป็น รอง ผอ.กอง.รมน. และตนได้นำเรียนให้นายกรัฐมนตรีได้รับทราบแล้ว ทั้งนี้ในคำสั่งไม่ได้ให้จับตาใครเป็นพิเศษ ให้ดูแลทุกกลุ่มที่ฝ่าฝืนกฎหมายความมั่นคง รวมถึงการพูดจาก็กำลังดูอยู่ว่าสิ่งไหนผิด บางอย่างต้องเข้าใจว่าเป็นคำพูด การกระทำยังไม่เกิด หากการกระทำที่สมบูรณ์ความผิดก็จะเกิดขึ้น และสามารถดำเนินคดีทางกฎหมายได้ ทุกอย่างเป็นเพียงคำพูดทั้งที่บอกว่า จะมีกบฏหรือการก่อการร้าย แต่พิสูจน์ไม่ได้ว่าทำหรือไม่ทำ
เมื่อถามว่า ถ้ามีการปลุกระดมและมีการนำคนเสื้อแดงเข้ามาใน กทม. พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่า มันผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะขณะนี้มีฝ่ายหนึ่งที่ทำผิดกฎหมายและดำเนินการทางกฎหมายอยู่ และมีอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาจะมาบอกว่าทางนี้เคลื่อนไหวได้ แล้วจะเคลื่อนไหวบ้างก็ผิดกันทุกกลุ่ม เมื่อมาเผชิญหน้ากันก็จะทำให้เกิดความรุนแรงและแก้ปัญหายาก วันนี้จะต้องหยุดทุกพวกทุกฝ่ายให้ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
“เรื่องไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม เป็นสิ่งที่มีปัญหามาก ทั้ง การทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ถ้าเราไม่ยึดถือสิ่งเหล่านี้จะแก้ไขปัญหายาก จะบอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็จะต้องไปพิสูจน์ทราบกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องมีพูดคุยกัน ให้โอกาสในการสู้คดี ถ้ามองว่าไม่ยุติธรรมทุกอย่างก็จบ แล้วจะมีกระบวนการยุติธรรมไว้ทำไม ศาลพิจารณาคดีหลายเรื่องไม่ใช่เฉพาะเรื่องการเมือง ถ้ามองว่าไม่ยุติธรรมคดีอื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองก็มาร้องเรียนกันหมด ศาลตัดสินทุกคดีทุกคดีตามหลักฐาน ใครจะมาบอกว่ามีการตั้งธงไว้ล่วงหน้า ผมคิดว่าทำไม่ได้และในฐานะที่ผมเป็นองค์กรหนึ่งที่จะไม่ก้าวล่วงศาลและกระบวนการยุติธรรม เรื่องความไม่เป็นธรรม ทุกคนสามารถคิดได้แต่ต้องเคารพกัน และต้องพิสูจน์ด้วยหลักฐาน หากหลักฐานชัดเจนก็เถียงไม่ได้” ผบ.ทบ.กล่าว
เมื่อถามว่า มีหลายฝ่ายมองว่าทหารเอียงเอนไปทางผู้ชุมนุม พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่า เอียงตรงไหน ถ้าเอียงก็ไปอยู่กับผู้ชุมนุมแล้ว ที่ส่งทหารไปอยู่ไม่ได้ไปอยู่ในม็อบ แต่อยู่ในพื้นที่รอบนอก เพื่อดูแลประชาชนทุกคน หากมีอันตรายมีการใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปประชาชนก็จะได้รับบาดเจ็บสูญเสีย จะเป็นกปปส.หรือ นปช. ก็คนไทยด้วยกัน ปัญหาอยู่ที่ว่าความขัดแย้งอยู่ ที่ไหน และใครเป็นผู้รับผิดชอบก็ไปแก้กัน ไม่ใช่ให้สังคมมาประฌามว่าเป็นทหาร หรือ ตำรวจ เละเทะกันไปหมด ศาลก็เจ๋ง และถามว่าจะแก้ไขกันด้วยอะไร จะให้ตนสั่งกำลังพลทั้งสองแสนถืออาวุธและมาปราบตนทำไม่ได้ เพราะ 1.เป็นคนไทยด้วยกันเอง 2. ความขัดแย้งก็เป็นเรื่องของเรากันเองก็จะต้องพูดกันให้รู้เรื่อง และ 3.ถ้าความจำเป็นที่จะต้องให้ทหารถืออาวุธมาปรามปราม ตนจะใช้ปฏิบัติกับกองกำลังที่ถืออาวุธ อย่างไรก็ตามขณะนี้กำลังดำเนินการสอบสวนและประสานงานร่วมกับตำรวจ หาคนที่ก่อเหตุรุนแรงซึ่งมีหลายกลุ่ม ให้ระวังตัวไว้ให้ดี
เมื่อถามว่า มีทหารไปในนามส่วนตัวและเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการชุมนุมหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ทหารไม่มีกฎห้ามชุมนุม หากไปนอกเวลาราชการ เขามีอิสระเของเขา จะไปไหนก็ได้ เพียงแต่ห้ามพกอาวุธทางราชการ หากตรวจพบก็ถูกจับดำเนินคดี แต่มีการเตือนให้วางตัวให้เหมาะสม แต่ถ้าใช้เวลาราชการพกอาวุธไปด้วยถูกจับได้ก็ต้องปลดออกราชการ ซึ่งทุกกองทัพก็เป็นแบบนี้หมด ส่วนกรณีที่ พรก.ฉุกเฉิน กำลังจะครบวาระการประกาศใช้นั้น เป็นเรื่องของ ศรส. ที่จะผู้พิจารณาว่าจะใช้ต่อหรือไม่ หรือถ้าไม่ใช่ก็จะกลับมาใช้ พรบ.ความมั่นคงเหมือนเดิม ส่วนโอกาสที่จะใช้กฎอัยการศึกนั้น ก็จะต้องรอให้เกิดจลาจล ถ้าไม่เกิดก็ใช้ไม่ได้
เมื่อถามว่า ได้คุยกับนายกรัฐมนตรี กรณีที่ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ขึ้นเวที นปช. ประกาศ ในนามรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย จะนำข้อเสนอ การแบ่งประเทศ และให้ประชาชนจับอาวุธต่อสู้มาปฏิบัติตาม พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เขาทำหรือยัง เป็นพวกกบฏน้ำลายทั้งนั้น ตามกฎหมายทำได้หรือไม่ ก็ทำไม่ได้ และถามว่าสื่อยอมให้มีการแบ่งแยกประเทศหรือไม่ ถ้าสื่อไม่ยอม ตนเองก็ไม่ยอม ส่วนกรณีที่มีการสวนสนามของตำรวจบางที่ใน จ.พะเยาว์ ที่ใช้ธงชาติแดง แทนธงชาติไทยนั้น เป็นการสวนสนามของตำรวจบ้าน แต่เรื่องนี้ตนได้สอบสวน และเตือนไปหมดแล้วว่าอย่าทำอย่างนั้นอีก
เมื่อถามว่า หากเกิดสงครามกลางเมืองจะรับมืออย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คงไม่รุนแรงขนาดนั้น เพียงแต่คนไทยขี้โมโหก็เหมือนกับตน ไม่นานก็หาย แต่อย่าไปเร่งเชื้อไฟจนตีกันแล้วหยุดไม่ได้ เพราะมันอันตราย คนไทยเป็นคนเลือดร้อนใจเร็ว ฉะนั้นจะต้องประคับประคองและไปกันให้ได้ พร้อมทั้งปฏิบัติตามกฎกติกา ทุกวันนี้ตนเอาทหารออกมา 56 กองร้อย มานอนอยู่บนถนนมันไม่ใช่น้อย ๆ แล้วจะให้ทำอย่างไรอีก จะให้ประกาศกฎอัยการศึก ก็ใช้กฎหมายเหมือนเดิมเพียงแต่ให้ทหารมาสั่งการ ซึ่งถ้าให้ตนสั่งการก็จะต้องสั่งการให้กลับบ้านกันหมดทุกพวกแล้วจะกลับกันหรือไม่
เมื่อถามว่า ปฏิวัติรัฐประหารเลิกคิดไปเลยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาพูดกันทุกวัน ส่วนใครจะมองว่า สถานการณ์จะไปสิ้นสุดด้วยการปฏิวัติก็มองได้ อยากให้ทหารทำอะไรก็บอกว่า การปฏิวัติที่ผ่านมา เพราะ มีเหตุการณ์รุนแรง ความไม่เป็นธรรม แต่ในวันนี้โลกเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน ประชาชนก็เปลี่ยน พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ไปถึงตรงนั้นเพราะเป็นเรื่องที่อันตาย และตนคงไม่สัญญาว่าการปฏิวัติจะมีหรือไม่มี แต่ก็ยอมรับว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในทางนิตินัย แต่การปฏิวัติทุกครั้ง ก็เพื่อให้สถานการณ์ยุติ แล้วยุติได้หรือไม่ ก็ต้องไปนั่งวิเคราะห์กัน ทุกสถานการณ์ก็จะต้องแก้ไขด้วยกฎหมาย หากแก้ไม่ได้ก็จะต้องใช้วิธีพิเศษ ส่วนจะเป็นวิธีพิเศษก็จะต้องไปว่ากัน อย่ามาโจมตีทหาร
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU16VTRNRFE0TWc9PQ%3D%3D&subcatid
ผบ.ทบ ลั่นไม่สัญญามี"ปฏิวัติ"หรือไม่?? ชี้หากแก้ด้วยกฎหมายไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีพิเศษ!!
ประยุทธ์ไม่สัญญามีปฏิวัติหรือไม่ ชี้ทุกสถานการณ์ควรแก้ด้วยกฎหมาย หากไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีพิเศษ
วันที่ 28 ก.พ. ที่สนามมวยลุมพีนี ถนนรามอินทรา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเป็นประธานเปิดเวทีมวยลุมพีนีแห่งใหม่ ถึงกรณีที่มีรายชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนกลางเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองว่า อย่าไปพูดถึงยังไม่ไปถึงตรงนั้น
เมื่อถามว่า รู้สึกดีใจหรือไม่ที่เป็นที่ชื่นชมของประชาชนจนมีชื่อติดหนึ่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนกลาง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมคงไปดีใจหรือเสียใจไม่ได้ เพราะวันนี้สถานการณ์ตรึงเครียดและคงจะไม่มีความสุขกันเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร และ ตำรวจ รวมถึงประชาชนทั่วไป ทุกคนเป็นห่วงสถานการณ์ จึงอยากขอให้ทุกฝ่ายมีสติในการแก้ไขปัญหา
เมื่อถามว่า นายสุเทพ ต้องการให้มีการเจรจากับ นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยถ่ายทอดสดนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของท่านสองคนที่จะต้องคุยกัน และวันนี้ก็มีหลายฝ่ายมาเสนอหลายทาง รวมถึงกลุ่มอื่นๆ ที่อยากจะเข้าร่วมด้วย ซึ่งทุกอย่างต้องเป็นขั้นตอน ส่วนกองทัพจะเข้าไปมีส่วนร่วมหรือไม่นั้นก็แล้วแต่ แต่วันนี้เราอยู่ในฐานะบทบาทของเจ้าหน้าที่ที่ดูแลความปลอดภัย และรักษาสถานการณ์ความมั่นคง โดยรวมของประเทศ ส่วนนายกรัฐมนตรี ที่มีเงื่อนไขให้ยุติการชุมนุม และให้มีการเลือกตั้ง ก่อนคุยมีการเปิดโต๊ะคุยกันนั้น เป็นเรื่องธรรมดาของคู่เจรจา ซึ่งเป็นเงื่อนไขทุกภารกิจที่มีความขัดแย้งต่างฝ่ายต่างมีข้อเสนอของตนเอง แต่ถ้าหากปรับกันได้ก็คงจะลดราวาศอกกันไปเอง และคงจะพูดคุยกันได้บ้าง ซึ่งคงจะไม่ยุติภายในวันเดียว
เมื่อถามว่า ขณะนี้มีการใช้ระเบิดเอ็ม 79 ก่อเหตุเป็นจำนวนมาก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า กำลังตรวจสอบอยู่ แต่คงจะไม่ได้มาจากหน่วยทหาร เพราะอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ของกองทัพจะต้องอยู่ในคลัง และมีการตรวจเช็คกันทุกวัน ทั้งนี้การใช้อาวุธเอ็ม 79 ในขณะนี้เป็นการลักลอบเข้ามามากกว่า เพราะในห้วงที่ผ่านมาก็มีการจักกุมการลักลอบอาวุธสงครามได้ตลอด พอมีการชุมนุมทางการเมืองก็นำมาใช้ ซึ่งพวกนี้ไม่ค่อยมีจิตใจเป็นมนุษย์ เอ็ม 79 เอาไว้ใช้ในยามสงครามต่อสู้กับอริราชศัตรู แต่เอามายิงประชาชน ทั้งเด็ก ผู้หญิง และ คนชรา เสียชีวิตมากมาย เป็นสิ่งที่ต้องประณาม คนเหล่านี้จิตใจมันไม่ใช่มนุษย์ และหากจับกุมได้ก็จะต้องถูกดำเนินคดีในสถานหนัก
เมื่อถามถึง กรณีมีที่มีคำสั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดติดตามสถานการณ์การชุมนุมในพื้นที่แต่ละจังหวัด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นการใช้อำนาจในฐานะที่เป็น รอง ผอ.กอง.รมน. และตนได้นำเรียนให้นายกรัฐมนตรีได้รับทราบแล้ว ทั้งนี้ในคำสั่งไม่ได้ให้จับตาใครเป็นพิเศษ ให้ดูแลทุกกลุ่มที่ฝ่าฝืนกฎหมายความมั่นคง รวมถึงการพูดจาก็กำลังดูอยู่ว่าสิ่งไหนผิด บางอย่างต้องเข้าใจว่าเป็นคำพูด การกระทำยังไม่เกิด หากการกระทำที่สมบูรณ์ความผิดก็จะเกิดขึ้น และสามารถดำเนินคดีทางกฎหมายได้ ทุกอย่างเป็นเพียงคำพูดทั้งที่บอกว่า จะมีกบฏหรือการก่อการร้าย แต่พิสูจน์ไม่ได้ว่าทำหรือไม่ทำ
เมื่อถามว่า ถ้ามีการปลุกระดมและมีการนำคนเสื้อแดงเข้ามาใน กทม. พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่า มันผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะขณะนี้มีฝ่ายหนึ่งที่ทำผิดกฎหมายและดำเนินการทางกฎหมายอยู่ และมีอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาจะมาบอกว่าทางนี้เคลื่อนไหวได้ แล้วจะเคลื่อนไหวบ้างก็ผิดกันทุกกลุ่ม เมื่อมาเผชิญหน้ากันก็จะทำให้เกิดความรุนแรงและแก้ปัญหายาก วันนี้จะต้องหยุดทุกพวกทุกฝ่ายให้ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
“เรื่องไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม เป็นสิ่งที่มีปัญหามาก ทั้ง การทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ถ้าเราไม่ยึดถือสิ่งเหล่านี้จะแก้ไขปัญหายาก จะบอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็จะต้องไปพิสูจน์ทราบกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องมีพูดคุยกัน ให้โอกาสในการสู้คดี ถ้ามองว่าไม่ยุติธรรมทุกอย่างก็จบ แล้วจะมีกระบวนการยุติธรรมไว้ทำไม ศาลพิจารณาคดีหลายเรื่องไม่ใช่เฉพาะเรื่องการเมือง ถ้ามองว่าไม่ยุติธรรมคดีอื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองก็มาร้องเรียนกันหมด ศาลตัดสินทุกคดีทุกคดีตามหลักฐาน ใครจะมาบอกว่ามีการตั้งธงไว้ล่วงหน้า ผมคิดว่าทำไม่ได้และในฐานะที่ผมเป็นองค์กรหนึ่งที่จะไม่ก้าวล่วงศาลและกระบวนการยุติธรรม เรื่องความไม่เป็นธรรม ทุกคนสามารถคิดได้แต่ต้องเคารพกัน และต้องพิสูจน์ด้วยหลักฐาน หากหลักฐานชัดเจนก็เถียงไม่ได้” ผบ.ทบ.กล่าว
เมื่อถามว่า มีหลายฝ่ายมองว่าทหารเอียงเอนไปทางผู้ชุมนุม พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่า เอียงตรงไหน ถ้าเอียงก็ไปอยู่กับผู้ชุมนุมแล้ว ที่ส่งทหารไปอยู่ไม่ได้ไปอยู่ในม็อบ แต่อยู่ในพื้นที่รอบนอก เพื่อดูแลประชาชนทุกคน หากมีอันตรายมีการใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปประชาชนก็จะได้รับบาดเจ็บสูญเสีย จะเป็นกปปส.หรือ นปช. ก็คนไทยด้วยกัน ปัญหาอยู่ที่ว่าความขัดแย้งอยู่ ที่ไหน และใครเป็นผู้รับผิดชอบก็ไปแก้กัน ไม่ใช่ให้สังคมมาประฌามว่าเป็นทหาร หรือ ตำรวจ เละเทะกันไปหมด ศาลก็เจ๋ง และถามว่าจะแก้ไขกันด้วยอะไร จะให้ตนสั่งกำลังพลทั้งสองแสนถืออาวุธและมาปราบตนทำไม่ได้ เพราะ 1.เป็นคนไทยด้วยกันเอง 2. ความขัดแย้งก็เป็นเรื่องของเรากันเองก็จะต้องพูดกันให้รู้เรื่อง และ 3.ถ้าความจำเป็นที่จะต้องให้ทหารถืออาวุธมาปรามปราม ตนจะใช้ปฏิบัติกับกองกำลังที่ถืออาวุธ อย่างไรก็ตามขณะนี้กำลังดำเนินการสอบสวนและประสานงานร่วมกับตำรวจ หาคนที่ก่อเหตุรุนแรงซึ่งมีหลายกลุ่ม ให้ระวังตัวไว้ให้ดี
เมื่อถามว่า มีทหารไปในนามส่วนตัวและเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการชุมนุมหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ทหารไม่มีกฎห้ามชุมนุม หากไปนอกเวลาราชการ เขามีอิสระเของเขา จะไปไหนก็ได้ เพียงแต่ห้ามพกอาวุธทางราชการ หากตรวจพบก็ถูกจับดำเนินคดี แต่มีการเตือนให้วางตัวให้เหมาะสม แต่ถ้าใช้เวลาราชการพกอาวุธไปด้วยถูกจับได้ก็ต้องปลดออกราชการ ซึ่งทุกกองทัพก็เป็นแบบนี้หมด ส่วนกรณีที่ พรก.ฉุกเฉิน กำลังจะครบวาระการประกาศใช้นั้น เป็นเรื่องของ ศรส. ที่จะผู้พิจารณาว่าจะใช้ต่อหรือไม่ หรือถ้าไม่ใช่ก็จะกลับมาใช้ พรบ.ความมั่นคงเหมือนเดิม ส่วนโอกาสที่จะใช้กฎอัยการศึกนั้น ก็จะต้องรอให้เกิดจลาจล ถ้าไม่เกิดก็ใช้ไม่ได้
เมื่อถามว่า ได้คุยกับนายกรัฐมนตรี กรณีที่ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ขึ้นเวที นปช. ประกาศ ในนามรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย จะนำข้อเสนอ การแบ่งประเทศ และให้ประชาชนจับอาวุธต่อสู้มาปฏิบัติตาม พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เขาทำหรือยัง เป็นพวกกบฏน้ำลายทั้งนั้น ตามกฎหมายทำได้หรือไม่ ก็ทำไม่ได้ และถามว่าสื่อยอมให้มีการแบ่งแยกประเทศหรือไม่ ถ้าสื่อไม่ยอม ตนเองก็ไม่ยอม ส่วนกรณีที่มีการสวนสนามของตำรวจบางที่ใน จ.พะเยาว์ ที่ใช้ธงชาติแดง แทนธงชาติไทยนั้น เป็นการสวนสนามของตำรวจบ้าน แต่เรื่องนี้ตนได้สอบสวน และเตือนไปหมดแล้วว่าอย่าทำอย่างนั้นอีก
เมื่อถามว่า หากเกิดสงครามกลางเมืองจะรับมืออย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คงไม่รุนแรงขนาดนั้น เพียงแต่คนไทยขี้โมโหก็เหมือนกับตน ไม่นานก็หาย แต่อย่าไปเร่งเชื้อไฟจนตีกันแล้วหยุดไม่ได้ เพราะมันอันตราย คนไทยเป็นคนเลือดร้อนใจเร็ว ฉะนั้นจะต้องประคับประคองและไปกันให้ได้ พร้อมทั้งปฏิบัติตามกฎกติกา ทุกวันนี้ตนเอาทหารออกมา 56 กองร้อย มานอนอยู่บนถนนมันไม่ใช่น้อย ๆ แล้วจะให้ทำอย่างไรอีก จะให้ประกาศกฎอัยการศึก ก็ใช้กฎหมายเหมือนเดิมเพียงแต่ให้ทหารมาสั่งการ ซึ่งถ้าให้ตนสั่งการก็จะต้องสั่งการให้กลับบ้านกันหมดทุกพวกแล้วจะกลับกันหรือไม่
เมื่อถามว่า ปฏิวัติรัฐประหารเลิกคิดไปเลยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาพูดกันทุกวัน ส่วนใครจะมองว่า สถานการณ์จะไปสิ้นสุดด้วยการปฏิวัติก็มองได้ อยากให้ทหารทำอะไรก็บอกว่า การปฏิวัติที่ผ่านมา เพราะ มีเหตุการณ์รุนแรง ความไม่เป็นธรรม แต่ในวันนี้โลกเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน ประชาชนก็เปลี่ยน พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ไปถึงตรงนั้นเพราะเป็นเรื่องที่อันตาย และตนคงไม่สัญญาว่าการปฏิวัติจะมีหรือไม่มี แต่ก็ยอมรับว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในทางนิตินัย แต่การปฏิวัติทุกครั้ง ก็เพื่อให้สถานการณ์ยุติ แล้วยุติได้หรือไม่ ก็ต้องไปนั่งวิเคราะห์กัน ทุกสถานการณ์ก็จะต้องแก้ไขด้วยกฎหมาย หากแก้ไม่ได้ก็จะต้องใช้วิธีพิเศษ ส่วนจะเป็นวิธีพิเศษก็จะต้องไปว่ากัน อย่ามาโจมตีทหาร
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU16VTRNRFE0TWc9PQ%3D%3D&subcatid