สวัสดีเพื่อนๆชาว pantip ครับ วันนี้ผมมีบทความแปลกๆมาให้อ่าน เป็นเรื่องที่ผมไปเจอมาโดยบังเอิญระหว่างการทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องพฤติกรรมมนุษย์ที่อเมริกาครับ เป็นการทดลองแปลกๆที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา อาจจะยาวหน่อยแต่อยากให้ทุกท่านได้ลองอ่านให้จบ ได้แนวคิดอะไรหลายๆอย่าง ผมแปลมาให้เพื่อนๆได้อ่านกันครับ

------------------------------------------------------------------------
ปกติแล้วเรามักจะเคยได้ยินคำว่า การกระทำนั้นสำคัญกว่าคำพูด เพราะคนเรานั้นถึงแม้จะคุยโว โอ้อวดมากเท่าไร ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร หากมิได้ทำงานอะไรสำเร็จลุล่วงเป็นชิ้นเป็นอันให้ประจักษ์แก่สายตาของคนทั่วไป
แต่จากการทดลองของ Dr. Robert Kelly หัวหน้ากลุ่มวิจัยใน California ประเทศสหรัฐอเมริกา
ที่ขออาสาสมัครบุคคล 200 คน ซึ่งไม่รู้จักกันมาก่อน จากนั้นจึงแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งละ 100 คน
โดยฝั่งหนึ่งจะถูกมอบหมายให้ทำงานชิ้นหนึ่ง นั่นคือการวาดรูปสีน้ำมัน ทั้งนี้จะมีเพียง 50 คนใน 100 คนนั้นเองที่จะได้ทำงานจริงๆ
ส่วนอีก 50 คนจะถูกนำมาฝึกเรื่องศิลปะการพูด การวางท่าทางต่างๆแทน
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งที่มีสมาชิกที่เหลือ 100 คนนั้นจะได้รับหน้าที่เป็นผู้รับฟังการบรรยายงานศิลปะจากฝั่งที่ถูกมอบหมายให้วาดรูปแล้วระบุว่า
ใครที่เป็นผู้วาดรูปสีน้ำมันที่แท้จริง จากนั้นทำการบันทึกผลเทียบค่าระหว่าง “ผู้ที่วาดรูปสีน้ำมันจริงและถูกระบุว่าวาด” กับ
“ผู้ที่ไม่ได้วาดรูปสีน้ำมันแต่ถูกระบุว่าวาด”
ผลปรากฏว่า สมาชิกส่วนใหญ่ (97 ใน 100 คน) กลับให้คำตอบว่า “ผู้ที่ไม่ได้วาดรูปสีน้ำมัน”(ซึ่งถูกฝึกเรื่องศิลปะการพูด) เป็นผู้ที่วาดรูปจริงๆ เป็นจำนวนมากกว่า “ผู้ที่วาดรูปจริงๆ” เสียอีก ทั้งนี้เมื่อมีการทดลองต่อเนื่อง โดยการให้ทั้ง 100 คนที่ได้รับมอบหมายให้ทำงาน (ซึ่งจริงๆแล้วมีคนทำจริงเพียงแค่ 50 คน) มาทำท่าแสดงการวาดรูปให้ดู ผลกลับเป็นเช่นเดิมคือ สมาชิกส่วนใหญ่ยังคงให้คำตอบว่า “ผู้ที่ไม่ได้วาดรูปสีน้ำมัน” เป็นผู้ที่วาดรูป มากกว่า
“ผู้ที่วาดรูปจริงๆ” เช่นเดิม
Dr. Kelly ได้อธิบายว่า นั่นเป็นเพราะคนเรารับรู้และเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันด้วยการสื่อสารผ่านทางคำพูด มากกว่า การเห็นจากการกระทำ
และจิตใต้สำนึกของเราสั่งให้ไว้ใจหรือไม่ไว้ใจใครผ่านทาง สีหน้า ท่าทาง ที่มาพร้อมกับคำพูด ณ ตอนนั้น
ซึ่งการกระทำที่แสดงให้เห็นในภายหลังกลับไม่มีผลอะไรเลยในการทดลองนี้ เพราะแม้ว่าจะมีการกระทำให้ดูในภายหลังแต่กลับไม่สามารถเปลี่ยนความคิดในจิตใต้สำนึกที่ได้ตัดสินจากคำพูดตั้งแต่แรกไปแล้ว
จากการทดลองนี้ ถึงแม้จะมีข้อถกเถียงในเรื่องของบุคลิกและท่าทางของอาสาสมัครแต่ละคนที่ต่างกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าเราน่าจะเรียนรู้ได้จากเรื่องนี้คือ
“ ถึงแม้ว่าในการทดลองนี้จะไม่สามารถให้ข้อสรุปที่เด่นชัดว่า คำพูดหรือการกระทำที่สำคัญกว่ากัน แต่หลายครั้งที่เรามักจะเชื่อถือในคำพูดที่ดูเป็นวิทยาศาสตร์ ดูมีหลักฐานรองรับ โดยไม่จำเป็นต้องไปเสาะหาถึงแหล่งที่มาว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นจริงหรือไม่ อย่างที่ผมทำอยู่ตอนนี้ เพราะสิ่งที่ผู้ทดลองพูดนั้นไม่เป็นความจริง บุคคลเหล่านั้นไม่มีจริง การทดลองนี้ไม่ได้เกิดขึ้น Dr. Kelly ไม่มีตัวตนจริง ผมไม่ได้ศึกษาเรื่องพฤติกรรมมนุษย์อะไรทั้งนั้น และเรื่องทั้งหมดผมแต่งขึ้นมาเอง
หลายท่านอ่านมาถึงตรงนี้อาจจะเคืองว่า ก็ผมเล่นหลอกคุณมาตั้งแต่แรกแล้ว ทำแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการโกหกทั้งเพ แต่อยากให้ลองคิดนะครับว่า ในชีวิตจริงๆ หากมีคนที่คิดจะอาศัยช่องโหว่เหล่านี้ในการหลอกลวงคุณเช่นเดียวกับที่ผมทำอยู่ในตอนนี้ เค้าจะหลอกคุณมาตั้งแต่แรกเหมือนผมหรือไม่ แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเขาจะไม่มีวันเฉลย … "
ขอบคุณครับ , Visavavit
"คำพูด" นั้นสำคัญกว่า "การกระทำ" ??
------------------------------------------------------------------------
ปกติแล้วเรามักจะเคยได้ยินคำว่า การกระทำนั้นสำคัญกว่าคำพูด เพราะคนเรานั้นถึงแม้จะคุยโว โอ้อวดมากเท่าไร ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร หากมิได้ทำงานอะไรสำเร็จลุล่วงเป็นชิ้นเป็นอันให้ประจักษ์แก่สายตาของคนทั่วไป
แต่จากการทดลองของ Dr. Robert Kelly หัวหน้ากลุ่มวิจัยใน California ประเทศสหรัฐอเมริกา
ที่ขออาสาสมัครบุคคล 200 คน ซึ่งไม่รู้จักกันมาก่อน จากนั้นจึงแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งละ 100 คน
โดยฝั่งหนึ่งจะถูกมอบหมายให้ทำงานชิ้นหนึ่ง นั่นคือการวาดรูปสีน้ำมัน ทั้งนี้จะมีเพียง 50 คนใน 100 คนนั้นเองที่จะได้ทำงานจริงๆ
ส่วนอีก 50 คนจะถูกนำมาฝึกเรื่องศิลปะการพูด การวางท่าทางต่างๆแทน
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งที่มีสมาชิกที่เหลือ 100 คนนั้นจะได้รับหน้าที่เป็นผู้รับฟังการบรรยายงานศิลปะจากฝั่งที่ถูกมอบหมายให้วาดรูปแล้วระบุว่า
ใครที่เป็นผู้วาดรูปสีน้ำมันที่แท้จริง จากนั้นทำการบันทึกผลเทียบค่าระหว่าง “ผู้ที่วาดรูปสีน้ำมันจริงและถูกระบุว่าวาด” กับ
“ผู้ที่ไม่ได้วาดรูปสีน้ำมันแต่ถูกระบุว่าวาด”
ผลปรากฏว่า สมาชิกส่วนใหญ่ (97 ใน 100 คน) กลับให้คำตอบว่า “ผู้ที่ไม่ได้วาดรูปสีน้ำมัน”(ซึ่งถูกฝึกเรื่องศิลปะการพูด) เป็นผู้ที่วาดรูปจริงๆ เป็นจำนวนมากกว่า “ผู้ที่วาดรูปจริงๆ” เสียอีก ทั้งนี้เมื่อมีการทดลองต่อเนื่อง โดยการให้ทั้ง 100 คนที่ได้รับมอบหมายให้ทำงาน (ซึ่งจริงๆแล้วมีคนทำจริงเพียงแค่ 50 คน) มาทำท่าแสดงการวาดรูปให้ดู ผลกลับเป็นเช่นเดิมคือ สมาชิกส่วนใหญ่ยังคงให้คำตอบว่า “ผู้ที่ไม่ได้วาดรูปสีน้ำมัน” เป็นผู้ที่วาดรูป มากกว่า
“ผู้ที่วาดรูปจริงๆ” เช่นเดิม
Dr. Kelly ได้อธิบายว่า นั่นเป็นเพราะคนเรารับรู้และเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันด้วยการสื่อสารผ่านทางคำพูด มากกว่า การเห็นจากการกระทำ
และจิตใต้สำนึกของเราสั่งให้ไว้ใจหรือไม่ไว้ใจใครผ่านทาง สีหน้า ท่าทาง ที่มาพร้อมกับคำพูด ณ ตอนนั้น
ซึ่งการกระทำที่แสดงให้เห็นในภายหลังกลับไม่มีผลอะไรเลยในการทดลองนี้ เพราะแม้ว่าจะมีการกระทำให้ดูในภายหลังแต่กลับไม่สามารถเปลี่ยนความคิดในจิตใต้สำนึกที่ได้ตัดสินจากคำพูดตั้งแต่แรกไปแล้ว
จากการทดลองนี้ ถึงแม้จะมีข้อถกเถียงในเรื่องของบุคลิกและท่าทางของอาสาสมัครแต่ละคนที่ต่างกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าเราน่าจะเรียนรู้ได้จากเรื่องนี้คือ
“ ถึงแม้ว่าในการทดลองนี้จะไม่สามารถให้ข้อสรุปที่เด่นชัดว่า คำพูดหรือการกระทำที่สำคัญกว่ากัน แต่หลายครั้งที่เรามักจะเชื่อถือในคำพูดที่ดูเป็นวิทยาศาสตร์ ดูมีหลักฐานรองรับ โดยไม่จำเป็นต้องไปเสาะหาถึงแหล่งที่มาว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นจริงหรือไม่ อย่างที่ผมทำอยู่ตอนนี้ เพราะสิ่งที่ผู้ทดลองพูดนั้นไม่เป็นความจริง บุคคลเหล่านั้นไม่มีจริง การทดลองนี้ไม่ได้เกิดขึ้น Dr. Kelly ไม่มีตัวตนจริง ผมไม่ได้ศึกษาเรื่องพฤติกรรมมนุษย์อะไรทั้งนั้น และเรื่องทั้งหมดผมแต่งขึ้นมาเอง
หลายท่านอ่านมาถึงตรงนี้อาจจะเคืองว่า ก็ผมเล่นหลอกคุณมาตั้งแต่แรกแล้ว ทำแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการโกหกทั้งเพ แต่อยากให้ลองคิดนะครับว่า ในชีวิตจริงๆ หากมีคนที่คิดจะอาศัยช่องโหว่เหล่านี้ในการหลอกลวงคุณเช่นเดียวกับที่ผมทำอยู่ในตอนนี้ เค้าจะหลอกคุณมาตั้งแต่แรกเหมือนผมหรือไม่ แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเขาจะไม่มีวันเฉลย … "
ขอบคุณครับ , Visavavit