สวัสดีค่ะเพื่อนๆชาวพันทิปทุกคน
นี่เป็นกระทู้แรกของเราเลย เป็นเรื่องที่เราอยากจะแชร์มากที่สุด หลังจากที่เราเฝ้าติดตามและอ่านกระทู้ในพันทิปมาเนิ่นนาน
ก่อนอื่นขอแนะนำตัวเองก่อนค่ะ เราชื่อเหม่ยอิ๋ง(ชื่อจีนเราเอง) ตอนนี้เราเรียนอยู่ที่ปักกิ่ง มหาวิทยาลัยปักกิ่ง(หรือเรียกสั้นๆว่าเป่ยต้า) คณะนิเทศศาสตร์ ชั้นปีที่หนึ่ง เทอมสองค่ะ
เราเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อที่อยากจะแชร์แบ่งปันประสบการณ์ของเราให้กับเพื่อนๆ ที่สนใจอยากจะเรียนต่อประเทศจีนหรืออยากรู้ว่าการเรียนการสอนที่นั่นเป็นอย่างไร รวมถึงสภาพการใช้ชีวิตสังคมต่างๆ และกว่าจะมาเป็นวันนี้ของเรา เหมือนไดอารี่ทำนองนั้น เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการตัดสินใจนะคะ
ก่อนอื่นเราขอเล่าตั้งแต่ตอนมอปลายเลยแล้วกัน ตอนมอปลายเราเรียนศิลป์จีนค่ะ ซึ่งตอนแรกเราอยากจะเรียนศิลป์ญี่ปุ่น แต่าว่า ที่โรงเรียนไม่มีศิลป์ญี่ปุ่น เราก็เลยคิดว่า เอาวะ มันก็คงจะคล้ายๆกัน ก็ลงๆไป ไม่ได้อะไรกับภาษาจีนมากมาย แต่ก่อนจะขึ้นมอปลายเราก็ไปเรียนเตรียมภาษาจีนไว้แล้วล่ะค่ะ
เราเป็นคนชอบทวนกระแส เนื่องจากตั้งแต่เด็กๆแล้วจะได้ยินที่บ้านรวมถึงผู้ใหญ่บอกว่าให้เรียนสายวิทย์ แล้วก็เรียนจุฬาธรรมศาสตร์นะ ซึ่งในความคิดเราตอนนั้นแบบ ทำไมทุกคนต้องพูดเหมือนกันหมดเลย เราไม่เอาแล้วกัน ไม่เอาแบบนั้นสักอย่างเลย แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เรารักในสายศิลป์มากกว่าค่ะ มันมีความรู้สึกว่าฉันเนี่ยแหละเด็กศิลป์ ฉันจะเรียนศิลป์
แต่พอตอนมอสาม ที่ต้องเลือกสาย เอาเข้าจริงๆคิดหนักมาก เกือบจะเข้าสายวิทย์แล้ว เนื่องมากจากตอนนั้นเราก็ชอบวิทยาศาสตร์มากเหมือนกัน กำลังรุ่งโรจน์เลย แต่ว่าคณิตศาสตร์กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เราจำได้ตอนนั้นห้องเราเป็นห้องคิง เพื่อนในห้องทุกคนเลือกเรียนสายวิทย์หมด(ยกเว้นเพื่อนอีกคนเลือกเรียนศิลป์คำนวณ) และเราเลือกเรียนศิลป์จีน ซึ่งภาพศิลป์จีนในตอนนั้นมันต่ำมากๆในโรงเรียนเรา ตอนเราอยู่มาสามศิลป์จีนเพิ่งเปิดมาได้สองปี และก็มีข่าวว่าจะยุบศิลป์จีนอยู่รำไร ประกอบกับเพื่อนๆของเราที่เข้าวิทย์หมดเลย ที่บ้านก็อยากให้เรียนวิทย์(ซึ่งก็มีเหตุผลเบสิกที่เอาไว้ใช้บอกเราว่าทำไมควรเรียน) ตอนนั้นเราก็เลยเขวมาก ...หรือว่าจะเลือกเรียนวิทย์ดี แต่มันมีบางอย่างเรียกร้องอยู่ ก็เลย เอาวะ เจ๋งมาก เลือกศิลป์จีนคนเดียว ในห้อง จ๊าบสุดๆในความคิดเรา เก๋ๆ ซึ่งเราก็เลือกศิลป์จีนอันดับหนึ่ง และวิทยคณิตอันดับสอง อันที่จริงเราไม่จำเป้นต้องเขียนอันดับสองก็ได้ แต่เขียนให้ไว้เป็นประวัติศาสตร์จารึกไว้อย่างนั้น ให้คนรุ่นหลังกล่าวขาน อิอิ
ตอนนั้นเพื่อนๆก็ว่าเรา ว่าบ้าไปแล้ว ทำไมไม่เอาวิทย์คณิตไว้อันดับหนึ่ง ศิลปืจีนไว้อันดับสอง เราก็บอกว่า เกิดติดวิทย์คณิตขึ้นมาก็แย่ดิ ย้ายสายอีกเป็นเรื่องเป้นราว ถ้ารู้ว่าจะเรียนจีนแล้วมีเหตุผลไรที่จะเอาวิทย์คณิตไว้อันดับหนึ่ง เราก็บอกเพื่อนเราไปอย่างนี้
หลังจากนั้นมา เราก็สอบติดได้เป็นที่หนึ่งที่ติดสายศิลป์จีน
เราจำอารมณ์วันนั้นได้ดีเลย คือ เรารู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องติด เพราะคนเก่งๆมันไปเรียนวิทย์หมด วันนั้นบรรยากาศตอนประกาศผล มันลุ้นมากๆสำหรับเพื่อนเราหลายๆคน และบอร์ดที่ติดประกาศก็หักเป็นสองท่อนเนื่องจากนักเรียนพากันเฮไปดู และก็มีทั้งคนผิดหวัง คนสมหวัง ทั้งดีใจและร้องไห้ ใครที่เคยผ่านมาคงจะรู้ว่าบรรยากาศตอนนั้นมันอารมณ์ไหน แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือ มันเริ่มรู้สึกว่าเรากับเพื่อน(มอต้น) กำลังจะห่างกันไปทุกที เหมือนว่ามันมีบางอย่างที่เราไม่เหมือนกันแล้ว ตอนนั้นก็รู้สึกแบบบอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่เอาเป็นว่าเพื่อนเราทุกคน ก็ได้ตามอย่างที่ตัวเองต้องการ
สำหรับเรามันดีใจมาก ที่เราได้เรียนศิลป์จีนอย่างที่เราต้องการ และชีวิตหลังจากนั้น มันก็เปลี่ยนเราไปเป็นคนใหม่เลย เพราะการได้อยู่สายนี้ มันทำให้เราได้ประสบการณ์และได้เป็นอะไรในตำแหน่งที่เราไม่เคยคิดว่าเราจะได้เป็น
จากเด็กมอต้นที่เรียนธรรมดาๆเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในห้อง ไม่มีใครรู้จัก เมื่อมาอยู่มอปลาย มันเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อเลย
<<ประสบการณ์ชีวิตนักเรียนในเป่ยต้า>>ตอน1 เส้นทางชีวิตกับการเลือกสาย ม.ปลาย
นี่เป็นกระทู้แรกของเราเลย เป็นเรื่องที่เราอยากจะแชร์มากที่สุด หลังจากที่เราเฝ้าติดตามและอ่านกระทู้ในพันทิปมาเนิ่นนาน
ก่อนอื่นขอแนะนำตัวเองก่อนค่ะ เราชื่อเหม่ยอิ๋ง(ชื่อจีนเราเอง) ตอนนี้เราเรียนอยู่ที่ปักกิ่ง มหาวิทยาลัยปักกิ่ง(หรือเรียกสั้นๆว่าเป่ยต้า) คณะนิเทศศาสตร์ ชั้นปีที่หนึ่ง เทอมสองค่ะ
เราเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อที่อยากจะแชร์แบ่งปันประสบการณ์ของเราให้กับเพื่อนๆ ที่สนใจอยากจะเรียนต่อประเทศจีนหรืออยากรู้ว่าการเรียนการสอนที่นั่นเป็นอย่างไร รวมถึงสภาพการใช้ชีวิตสังคมต่างๆ และกว่าจะมาเป็นวันนี้ของเรา เหมือนไดอารี่ทำนองนั้น เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการตัดสินใจนะคะ
ก่อนอื่นเราขอเล่าตั้งแต่ตอนมอปลายเลยแล้วกัน ตอนมอปลายเราเรียนศิลป์จีนค่ะ ซึ่งตอนแรกเราอยากจะเรียนศิลป์ญี่ปุ่น แต่าว่า ที่โรงเรียนไม่มีศิลป์ญี่ปุ่น เราก็เลยคิดว่า เอาวะ มันก็คงจะคล้ายๆกัน ก็ลงๆไป ไม่ได้อะไรกับภาษาจีนมากมาย แต่ก่อนจะขึ้นมอปลายเราก็ไปเรียนเตรียมภาษาจีนไว้แล้วล่ะค่ะ
เราเป็นคนชอบทวนกระแส เนื่องจากตั้งแต่เด็กๆแล้วจะได้ยินที่บ้านรวมถึงผู้ใหญ่บอกว่าให้เรียนสายวิทย์ แล้วก็เรียนจุฬาธรรมศาสตร์นะ ซึ่งในความคิดเราตอนนั้นแบบ ทำไมทุกคนต้องพูดเหมือนกันหมดเลย เราไม่เอาแล้วกัน ไม่เอาแบบนั้นสักอย่างเลย แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เรารักในสายศิลป์มากกว่าค่ะ มันมีความรู้สึกว่าฉันเนี่ยแหละเด็กศิลป์ ฉันจะเรียนศิลป์
แต่พอตอนมอสาม ที่ต้องเลือกสาย เอาเข้าจริงๆคิดหนักมาก เกือบจะเข้าสายวิทย์แล้ว เนื่องมากจากตอนนั้นเราก็ชอบวิทยาศาสตร์มากเหมือนกัน กำลังรุ่งโรจน์เลย แต่ว่าคณิตศาสตร์กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เราจำได้ตอนนั้นห้องเราเป็นห้องคิง เพื่อนในห้องทุกคนเลือกเรียนสายวิทย์หมด(ยกเว้นเพื่อนอีกคนเลือกเรียนศิลป์คำนวณ) และเราเลือกเรียนศิลป์จีน ซึ่งภาพศิลป์จีนในตอนนั้นมันต่ำมากๆในโรงเรียนเรา ตอนเราอยู่มาสามศิลป์จีนเพิ่งเปิดมาได้สองปี และก็มีข่าวว่าจะยุบศิลป์จีนอยู่รำไร ประกอบกับเพื่อนๆของเราที่เข้าวิทย์หมดเลย ที่บ้านก็อยากให้เรียนวิทย์(ซึ่งก็มีเหตุผลเบสิกที่เอาไว้ใช้บอกเราว่าทำไมควรเรียน) ตอนนั้นเราก็เลยเขวมาก ...หรือว่าจะเลือกเรียนวิทย์ดี แต่มันมีบางอย่างเรียกร้องอยู่ ก็เลย เอาวะ เจ๋งมาก เลือกศิลป์จีนคนเดียว ในห้อง จ๊าบสุดๆในความคิดเรา เก๋ๆ ซึ่งเราก็เลือกศิลป์จีนอันดับหนึ่ง และวิทยคณิตอันดับสอง อันที่จริงเราไม่จำเป้นต้องเขียนอันดับสองก็ได้ แต่เขียนให้ไว้เป็นประวัติศาสตร์จารึกไว้อย่างนั้น ให้คนรุ่นหลังกล่าวขาน อิอิ
ตอนนั้นเพื่อนๆก็ว่าเรา ว่าบ้าไปแล้ว ทำไมไม่เอาวิทย์คณิตไว้อันดับหนึ่ง ศิลปืจีนไว้อันดับสอง เราก็บอกว่า เกิดติดวิทย์คณิตขึ้นมาก็แย่ดิ ย้ายสายอีกเป็นเรื่องเป้นราว ถ้ารู้ว่าจะเรียนจีนแล้วมีเหตุผลไรที่จะเอาวิทย์คณิตไว้อันดับหนึ่ง เราก็บอกเพื่อนเราไปอย่างนี้
หลังจากนั้นมา เราก็สอบติดได้เป็นที่หนึ่งที่ติดสายศิลป์จีน
เราจำอารมณ์วันนั้นได้ดีเลย คือ เรารู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องติด เพราะคนเก่งๆมันไปเรียนวิทย์หมด วันนั้นบรรยากาศตอนประกาศผล มันลุ้นมากๆสำหรับเพื่อนเราหลายๆคน และบอร์ดที่ติดประกาศก็หักเป็นสองท่อนเนื่องจากนักเรียนพากันเฮไปดู และก็มีทั้งคนผิดหวัง คนสมหวัง ทั้งดีใจและร้องไห้ ใครที่เคยผ่านมาคงจะรู้ว่าบรรยากาศตอนนั้นมันอารมณ์ไหน แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือ มันเริ่มรู้สึกว่าเรากับเพื่อน(มอต้น) กำลังจะห่างกันไปทุกที เหมือนว่ามันมีบางอย่างที่เราไม่เหมือนกันแล้ว ตอนนั้นก็รู้สึกแบบบอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่เอาเป็นว่าเพื่อนเราทุกคน ก็ได้ตามอย่างที่ตัวเองต้องการ
สำหรับเรามันดีใจมาก ที่เราได้เรียนศิลป์จีนอย่างที่เราต้องการ และชีวิตหลังจากนั้น มันก็เปลี่ยนเราไปเป็นคนใหม่เลย เพราะการได้อยู่สายนี้ มันทำให้เราได้ประสบการณ์และได้เป็นอะไรในตำแหน่งที่เราไม่เคยคิดว่าเราจะได้เป็น
จากเด็กมอต้นที่เรียนธรรมดาๆเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในห้อง ไม่มีใครรู้จัก เมื่อมาอยู่มอปลาย มันเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อเลย