ท่านสามารถอ่านบทความได้ทั้งหมดใน
http://www.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9560000125123
---------เริ่มตอนที่ 8-------
สอบที่มาคาถาชินบัญชร
คาถาชินบัญชรเป็นที่นับถือสวดกันแพร่หลาย กล่าวกันว่าเป็นของเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมฺรังสี) วัดระฆังโฆสิตาราม ครั้งหนึ่ง นายฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ ได้เคยนำมาขอให้สมเด็จพระสังฆราชฯ แปลเพื่อพิมพ์ในหนังสือประวัติของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ แต่ในฐานะที่สมเด็จฯ เชี่ยวชาญด้านปริยัติ ท่านพิจารณาแล้วยังเกิด “สงสัยในถ้อยคำและประโยคหลายแห่ง เพราะไม่อาจจับความได้ ทั้งเมื่อได้พบจากหลายสำนักเข้า ก็ได้พบคำที่ผิดเพี้ยนบ้างเกือบทุกฉบับ ไม่อาจตัดสินได้ว่าที่ถูกต้องเป็นอย่างใด ได้เคยนึกสงสัยมานานแล้วว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้เรียบเรียงขึ้นเองหรือได้ต้นฉบับมาจากไหน”
จนต่อมาเมื่อ ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้นำหนังสือ The Mirror of The Dhamma(กระจกธรรม) มาถวาย หนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสือขนาดเล็กๆ เรียบเรียงโดยภิกษุนารทมหาเถระและกัสสปเถระ พิมพ์ในประเทศศรีลังกา เมื่ออ่านคาถาชินบัญชรในหนังสือเล่มนั้นดูแล้ว ปรากฏว่า
“...ก็ได้พบคำและประโยคที่เคยสงสัยในฉบับที่สวดกันในเมืองไทย ซึ่งจับความได้หายความข้องใจ จึงคิดว่าจะคัดฉบับลังกามาพิมพ์เพื่อผู้ที่ต้องการทราบจะได้อ่านพิจารณา และคิดจะปรับปรุงฉบับที่สวดกันที่เมืองไทย อนุวัตรฉบับลังกาเฉพาะที่เห็นว่าสมควรจะปรับปรุงด้วย”
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบฉบับไทยและฉบับลังกาแล้ว สมเด็จพระญาณสังวรจึงสรุปได้ว่า “ต้นฉบับเดิมนั้นเป็นอันเดียวกันแน่ ฉบับลังกานั้นมี 22 บท ส่วนฉบับที่สวดกันในเมืองไทยมี 14 บท ก็คือ 14 บทข้างต้นของฉบับลังกานั่นเอง เพราะความเดียวกัน ถ้อยคำก็เป็นอันเดียวกันโดยมาก ส่วนคำอธิษฐานท้ายบทที่ 14 ของบทที่สวดกันในเมืองไทย ย่อตัดมาอย่างรวบรัดดีมาก บทคาถาที่ 9 ของฉบับไทย บรรทัดที่ 2 น่าจะเกินไป แต่จะคงไว้ก็ได้ ส่วนคาถาบทที่ 12 และ 13 สลับบรรทัดกัน เมื่อแก้ใหม่ตามฉบับที่ปรับปรุงแล้วนี้ จะถูกลำดับดี”
หนังสือเล่มนี้จึงเป็นการประชุมและชำระพระคาถาชินบัญชรสำนวนต่างๆ และให้ความรู้สมบูรณ์แปลกใหม่กว่าที่เคยทราบกันมา ภายหลังจากการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2518 ยังโปรดให้จัดสัมมนา ณโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดชียงใหม่ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2530 ก่อนจะตีพิมพ์ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 2 เพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเมื่อพิมพ์ครั้งแรกอีกด้วย
และต่อมาทรงได้รับข้อมูลจากพระเถระชาวพม่าคือท่านธัมมานันทะ ถึงได้ทราบจากหลักฐานของฝ่ายพม่าระบุว่า คาถาชินบัญชรแต่งในเมืองไทยในสมัยอาณาจักรล้านนาอยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์พม่า และชาวพม่าเชื่อว่าพระเถระล้านลาแต่งขึ้นตามพระประสงค์ของกษัตริย์พม่าที่ปกครองล้านนาในสมัยนั้น จึงทรงสันนิษฐานว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) น่าจะได้ฉบับเดิมมาตัดทินให้พอเหมาะพอดีตามที่ท่านต้องการ
100 ปีสมเด็จพระสังฆราช กับเรื่องที่ชาวพุทธ(อาจ)ยังไม่รู้ ตอนที่ 8 สอบที่มาคาถาชินบัญชร
http://www.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9560000125123
---------เริ่มตอนที่ 8-------
สอบที่มาคาถาชินบัญชร
คาถาชินบัญชรเป็นที่นับถือสวดกันแพร่หลาย กล่าวกันว่าเป็นของเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมฺรังสี) วัดระฆังโฆสิตาราม ครั้งหนึ่ง นายฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ ได้เคยนำมาขอให้สมเด็จพระสังฆราชฯ แปลเพื่อพิมพ์ในหนังสือประวัติของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ แต่ในฐานะที่สมเด็จฯ เชี่ยวชาญด้านปริยัติ ท่านพิจารณาแล้วยังเกิด “สงสัยในถ้อยคำและประโยคหลายแห่ง เพราะไม่อาจจับความได้ ทั้งเมื่อได้พบจากหลายสำนักเข้า ก็ได้พบคำที่ผิดเพี้ยนบ้างเกือบทุกฉบับ ไม่อาจตัดสินได้ว่าที่ถูกต้องเป็นอย่างใด ได้เคยนึกสงสัยมานานแล้วว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้เรียบเรียงขึ้นเองหรือได้ต้นฉบับมาจากไหน”
จนต่อมาเมื่อ ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้นำหนังสือ The Mirror of The Dhamma(กระจกธรรม) มาถวาย หนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสือขนาดเล็กๆ เรียบเรียงโดยภิกษุนารทมหาเถระและกัสสปเถระ พิมพ์ในประเทศศรีลังกา เมื่ออ่านคาถาชินบัญชรในหนังสือเล่มนั้นดูแล้ว ปรากฏว่า
“...ก็ได้พบคำและประโยคที่เคยสงสัยในฉบับที่สวดกันในเมืองไทย ซึ่งจับความได้หายความข้องใจ จึงคิดว่าจะคัดฉบับลังกามาพิมพ์เพื่อผู้ที่ต้องการทราบจะได้อ่านพิจารณา และคิดจะปรับปรุงฉบับที่สวดกันที่เมืองไทย อนุวัตรฉบับลังกาเฉพาะที่เห็นว่าสมควรจะปรับปรุงด้วย”
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบฉบับไทยและฉบับลังกาแล้ว สมเด็จพระญาณสังวรจึงสรุปได้ว่า “ต้นฉบับเดิมนั้นเป็นอันเดียวกันแน่ ฉบับลังกานั้นมี 22 บท ส่วนฉบับที่สวดกันในเมืองไทยมี 14 บท ก็คือ 14 บทข้างต้นของฉบับลังกานั่นเอง เพราะความเดียวกัน ถ้อยคำก็เป็นอันเดียวกันโดยมาก ส่วนคำอธิษฐานท้ายบทที่ 14 ของบทที่สวดกันในเมืองไทย ย่อตัดมาอย่างรวบรัดดีมาก บทคาถาที่ 9 ของฉบับไทย บรรทัดที่ 2 น่าจะเกินไป แต่จะคงไว้ก็ได้ ส่วนคาถาบทที่ 12 และ 13 สลับบรรทัดกัน เมื่อแก้ใหม่ตามฉบับที่ปรับปรุงแล้วนี้ จะถูกลำดับดี”
หนังสือเล่มนี้จึงเป็นการประชุมและชำระพระคาถาชินบัญชรสำนวนต่างๆ และให้ความรู้สมบูรณ์แปลกใหม่กว่าที่เคยทราบกันมา ภายหลังจากการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2518 ยังโปรดให้จัดสัมมนา ณโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดชียงใหม่ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2530 ก่อนจะตีพิมพ์ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 2 เพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเมื่อพิมพ์ครั้งแรกอีกด้วย
และต่อมาทรงได้รับข้อมูลจากพระเถระชาวพม่าคือท่านธัมมานันทะ ถึงได้ทราบจากหลักฐานของฝ่ายพม่าระบุว่า คาถาชินบัญชรแต่งในเมืองไทยในสมัยอาณาจักรล้านนาอยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์พม่า และชาวพม่าเชื่อว่าพระเถระล้านลาแต่งขึ้นตามพระประสงค์ของกษัตริย์พม่าที่ปกครองล้านนาในสมัยนั้น จึงทรงสันนิษฐานว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) น่าจะได้ฉบับเดิมมาตัดทินให้พอเหมาะพอดีตามที่ท่านต้องการ