สวัสดีค่ะ กลับมาอีกแล้ว ว่างๆเหงาๆเช่นเคย เลยเอาเรื่องประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟังค่ะ
บันทึกแบบหมีๆฉบับที่ 3 เพื่อนร่วมแฟลตและเพื่อนร่วมคลาส
จากวันที่มาเหยียบประเทศผู้ดีอังกฤษ หมีมีเวลาเตรียมตัวไปมหาวิทยาลัยแค่1วัน...
ไม่ผิดค่ะ หนึ่งวันถ้วน เน้นๆเลย
คือ...ยังไงล่ะ ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจใช่ปะ มาถึงปั๊บอีกวันก็ไปเลย (ถึงอาทิตย์แรกจะเป็นแค่การปฐมนิเทศอะไรก็เหอะนะ) หลังจากยัดของเข้าที่ เอากระเป๋าเก็บใต้เตียง...เตียงที่หอเป็นแบบเอาฟูกขึ้นแล้วเปิดเก็บของใต้เตียงได้ เก๋สุด
โอเค จัดของเรียบร้อย ต่อสไกป์คุยกับพ่อแม่พักใหญ่ แอบปาดน้ำตาเล็กน้อยแล้วไปซื้อของใช้กัน
ต้องขอออกตัวก่อนว่า เอเจนท์ที่จองตั๋วเครื่องบินมาให้ ได้พิกัดน้ำหนักแค่ยี่สิบกิโล ซึ่ง..มันน้อยมากสำหรับการมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวและหมีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมได้น้ำหนักแค่นี้ทั้งที่วีซ่าก็เป็นนักเรียน นั่นแหละ...เลยไปซื้อของ ตอนแรกจะไปเทสโก้ใหญ่ใกล้ๆหอ โอเค ลั้ลล้า วันอาทิตย์ เดินไปลิบๆ เทสโก้จ๋า หมีมาแล้ว
ไปถึง...เห็นภาพพนักงานกำลังเก็บตะกร้า เช็คสต็อก ถึงกับช็อค
เดี๋ยว....เดี๋ยวนะ นี่ห้าโมงเย็น วันอาทิตย์ด้วยนะ แต่เทสโก้......ปิดแล้ว
ช็อคจ้ะ...
คือเคยชินกับห้างไทยไง เปิดมันยันสามสี่ทุ่ม ยิ่งเป็นวันศุกร์เสาร์อาทิตย์ก็ยาวไป เปิดเช้าปิดดึก เลยลืมไปว่าห้างร้านของที่นี่เขามีธรรมเรียมว่าวันอาทิตย์ปิดเร็ว
จ้ะ culture shock ตั้งแต่วันแรก
ก็ค่อยๆเดินออกมา...นึกถึงตอนไปออสเตรเลีย นั่นสินะ คงเพราะค่าแรงต่อชั่วโมงของพนักงานเขาแพงกว่า ถึงต้องมีวันปิดเร็ว ถ้าจำไม่ผิดบางห้างที่ออสเตรเลียจะปิดสองทุ่มในวันพฤหัสละมั้ง
พอนึกถึงตรงนี้ ในแง่ของผู้บริโภค นักช้อปไทยนี่โชคดีจริงๆ ยังไม่นับเรื่องอาหารการกินที่ถูก มีขายทั่วไปหาได้ง่าย ที่ออสเตรเลียในเมืองก็ยังพอไหว แต่ที่เบอร์มิงแฮมนี่ไม่เห็นร้านตั้งข้างถนนเลย มีแต่ร้านในห้าง หรือไม่ก็ตามเอาท์ดอร์มาเก็ตที่เป็นพวกเคบับ ไส้กรอก ฟิชแอนด์ชิป (หรือมีแต่เราหาไม่เจอก็ไม่รู้)
จากนั้นหมีก็เดินไปตามถนนเรื่อยๆ วันอาทิตย์ร้านปิดแทบจะทุกร้าน เดินไปเดินมาเจอ Sainsbury’s สาขาเล็กๆ (อารมณ์ประมาณบิ๊กซีบ้านเราได้ ถ้าเทสโก้คือโลตัสอะนะ) เลยได้น้ำลิตรมาสองขวดกับพวกน้ำยาล้างจาน ฟองน้ำ ของกินเล็กน้อย
มาถึงก็จัดเข้าตู้ ห้องครัวที่หอมีให้แค่ตู้เย็นเล็กสองอัน ตู้ฟรีซสอง ไมโครเวฟ เตาแก๊ส แค่นี้จริงๆ (ไม่นับรวมโซฟา อ่างล้างจาน โต๊ะเคาน์เตอร์กินข้าวนะ) หม้อชามรามไห เขียงมีดครกสาก จานชามช้อนส้อม ทุกอย่างต้องเอามาเองหมด ซึ่ง...ไม่ได้เอามาไง เลยจัดไป ประเดิมมื้อแรกด้วย นางสาว มาม่า ประเทศไทยส่งเข้าประกวด
วันแรกของการไปโรงเรียน ส่วนใหญ่ช่วงอาทิตย์แรกหมดไปกับการปฐมนิเทศของทางมหาวิทยาลัย เลยไม่ค่อยมีอะไรมาก เพื่อนร่วมชั้นก็จะเป็นจีนซะส่วนใหญ่ และเนื่องจากมาในเดือนมกราคมซึ่งเป็นอินเทคย่อย นักเรียนก็น้อยตามไปด้วย
หลังจากการไปเรียนได้สองสามวัน เลยรู้ว่าเพื่อนร่วมคลาสบางส่วน...เป็นเพื่อนร่วมแฟลตด้วย แต่แฟลตที่นี่ดีอย่างคือเป็นส่วนตัวมาก ห้องน้ำในตัว ใช้รวมแค่ห้องครัวกับห้องนั่งเล่น ซึ่ง....จีนก็ยึดไปครองจ้ะเนื่องจากเป็นประชากรส่วนมาก
ในบรรดาหนุ่มจีน มีหมีไทยกับหนุ่มเวียดนามชื่อฟง ที่หลุดมาในดงนี้ เราสองคนเลยค่อนข้างคุยกันมากกว่าคนอื่นๆ
ฟงเป็นเด็กเวียดนาม ที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแบบอินเตอร์เนชันแนล เรียนเป็นภาษาอังกฤษล้วน และเรียนป.ตรีด้านบริหารธุรกิจมาโดยตรง ดังนั้น ฮีจะเป็นคนเก่งมาก พูดอังกฤษฟังง่าย ฟงบอกว่ามันอยากมาเรียนโทที่อังกฤษแล้วทำงานที่นี่เลย ไม่อยากกลับเวียดนาม
หมีจะบอกว่าเด็กเวียดนามที่มาเรียนอังกฤษส่วนใหญ่บ้านจะค่อนข้างมีฐานะ(มาก) และเรียนมหาลัยอินเตอร์มาแทบทุกคน พูดอังกฤษกับแบบน้ำไหลไฟดับอะ เจอคนเวียดนามมาเรียนที่เดียวกันสองคน เก่งทั้งคู่ ภาษาอังกฤษเขาดีจริงๆ
มีอยู่วันนึง หมีกับหนุ่มญวนเดินไปซื้อของที่เทสโก้ด้วยกัน ตกลงกันว่าจะซื้อพวกหม้อ กระทะมาแล้วใช้ร่วมกัน เดินๆไป เวียดนามก็หันมา
ฟง : ปู่เราเคยไปเที่ยวไทยมา แล้วก็ไปเที่ยวกลางคืน...เอ่อ...แบบว่า ที่มีผู้หญิงมาโชว์อย่างว่าน่ะ
หมีมองหน้า นึกในใจ...เอาแล้วแงะ เปิดประเด็นมาแบบนี้หมายความว่าไงยะ แต่หมียังสติลยิ้ม ฮือฮึ ยิ้มหวานๆทำท่าเหมือนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ
ฟง : เห็นปู่เล่าว่า (ค่ะ เมิงอ้างปู่ อย่ามา ชั้นรู้..) มีโชว์แล้วก็ทำxxxให้xxxผู้ชายด้วย อย่างงี้ไม่ผิดกฎหมายเหรอ
ณ จุดๆนั้นควรทำยังไงดี 1.ตอบรับอย่างหน้าชื่นตาบาน 2.พยายามอธิบายปกป้องประเทศชาติ 3.ทำแบ๊วๆไม่รู้ไม่ชี้ หนูไม่รู้จ้า
ฟง : ว่าไงอะ ผู้หญิงทำแบบนั้นไม่ดีไม่ใช่เหรอ
หมียิ้มหวานทำท่าอ่อนโยนเหมือนครูอนุบาลยิ้มให้เด็กน้อยที่วิ่งมาฟ้องว่าฉี่ราดกางเกง แต่สายตากลับเหวี่ยง มุมปากเฉียงฉีกยิ้มเหี้ยม ภาษาอังกฤษตัวเองก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอกนะ แต่พอได้ยินแล้วสกิลการอธิบายมันพวยพุ่งประดุจดาร์คออร่าแผ่ซ่านมาจากภายใน
หมี : ก็ไม่รู้สินะ ก็ผิดกฏหมายแหละ แต่ปกติที่แบบนั้นคนไทยไม่ไปกันหรอก มีแต่นักท่องเที่ยวที่ชอบไป (เน้นคำว่านักท่องเที่ยวชอบด้วยเสียงเหี้ยมๆ)
หนุ่มเวียดนามร่างเล็กอึ้งไปนิด หยุดยืนมอง หมียังสติลยิ้มหวาน...
หมี : แล้วก็อีกอย่าง ผู้หญิงไทยไม่ได้ทำอย่างนั้นทุกคนหรอกนะ
หมีสวนกลับนิ่มๆแต่ฟงมันหน้าเสียเลยค่า รีบอ้อมแอ้มปฏิเสธ
ฟง : ใช่ๆ เรารู้ๆ ไม่ได้เหมารวม แต่อยากรู้เฉยๆ แล้วตำรวจไม่จับเหรอ
หมี : จับสิ บางทีก็จับนักท่องเที่ยวด้วย ถ้าจะไปเที่ยวก็ระวังๆแล้วกัน
อันที่จริงจับไม่จับ หรือจับแล้วปรับหมีก็ไม่รู้ค่ะ รู้แค่ว่าในฐานะคนไทย ต้องเล่นใหญ่เข้าไว้ ยอมเสียหน้าไม่ได้ หมีวางท่าขึงขังแต่แอบอมยิ้มนิดๆ ก็หนุ่มเวียดนามดันทำหน้าซีดๆ เล่นเอาเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา จากนั้นฟงก็เปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่น หมดหัวข้อจากปิงปองโชว์ไป
ป.ล. นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า รู้จริงไม่จริงก็ช่าง เล่นให้ใหญ่ไว้ เดี๋ยวก็มีคนเชื่อเอง
ป.ล.2 หลังจากนั้นอีฟงไม่เคยถามเรื่องพวกนี้อีกเลย........
มิสยูนะ ไทยแลนด์
หมี
(รูปไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องแต่อยากใส่ 55)
มีเพจด้วยน้า---
https://www.facebook.com/TheMeeStory อัพสัพเพเหระเรื่อยเปื่อยค่ะ ฮี่ๆ
UK หมี และstoryแบบไม่เม้ม 3 : คัลเจอร์ช็อค/เพื่อนร่วมแฟลต
บันทึกแบบหมีๆฉบับที่ 3 เพื่อนร่วมแฟลตและเพื่อนร่วมคลาส
จากวันที่มาเหยียบประเทศผู้ดีอังกฤษ หมีมีเวลาเตรียมตัวไปมหาวิทยาลัยแค่1วัน...
ไม่ผิดค่ะ หนึ่งวันถ้วน เน้นๆเลย
คือ...ยังไงล่ะ ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจใช่ปะ มาถึงปั๊บอีกวันก็ไปเลย (ถึงอาทิตย์แรกจะเป็นแค่การปฐมนิเทศอะไรก็เหอะนะ) หลังจากยัดของเข้าที่ เอากระเป๋าเก็บใต้เตียง...เตียงที่หอเป็นแบบเอาฟูกขึ้นแล้วเปิดเก็บของใต้เตียงได้ เก๋สุด
โอเค จัดของเรียบร้อย ต่อสไกป์คุยกับพ่อแม่พักใหญ่ แอบปาดน้ำตาเล็กน้อยแล้วไปซื้อของใช้กัน
ต้องขอออกตัวก่อนว่า เอเจนท์ที่จองตั๋วเครื่องบินมาให้ ได้พิกัดน้ำหนักแค่ยี่สิบกิโล ซึ่ง..มันน้อยมากสำหรับการมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวและหมีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมได้น้ำหนักแค่นี้ทั้งที่วีซ่าก็เป็นนักเรียน นั่นแหละ...เลยไปซื้อของ ตอนแรกจะไปเทสโก้ใหญ่ใกล้ๆหอ โอเค ลั้ลล้า วันอาทิตย์ เดินไปลิบๆ เทสโก้จ๋า หมีมาแล้ว
ไปถึง...เห็นภาพพนักงานกำลังเก็บตะกร้า เช็คสต็อก ถึงกับช็อค
เดี๋ยว....เดี๋ยวนะ นี่ห้าโมงเย็น วันอาทิตย์ด้วยนะ แต่เทสโก้......ปิดแล้ว
ช็อคจ้ะ...
คือเคยชินกับห้างไทยไง เปิดมันยันสามสี่ทุ่ม ยิ่งเป็นวันศุกร์เสาร์อาทิตย์ก็ยาวไป เปิดเช้าปิดดึก เลยลืมไปว่าห้างร้านของที่นี่เขามีธรรมเรียมว่าวันอาทิตย์ปิดเร็ว
จ้ะ culture shock ตั้งแต่วันแรก
ก็ค่อยๆเดินออกมา...นึกถึงตอนไปออสเตรเลีย นั่นสินะ คงเพราะค่าแรงต่อชั่วโมงของพนักงานเขาแพงกว่า ถึงต้องมีวันปิดเร็ว ถ้าจำไม่ผิดบางห้างที่ออสเตรเลียจะปิดสองทุ่มในวันพฤหัสละมั้ง
พอนึกถึงตรงนี้ ในแง่ของผู้บริโภค นักช้อปไทยนี่โชคดีจริงๆ ยังไม่นับเรื่องอาหารการกินที่ถูก มีขายทั่วไปหาได้ง่าย ที่ออสเตรเลียในเมืองก็ยังพอไหว แต่ที่เบอร์มิงแฮมนี่ไม่เห็นร้านตั้งข้างถนนเลย มีแต่ร้านในห้าง หรือไม่ก็ตามเอาท์ดอร์มาเก็ตที่เป็นพวกเคบับ ไส้กรอก ฟิชแอนด์ชิป (หรือมีแต่เราหาไม่เจอก็ไม่รู้)
จากนั้นหมีก็เดินไปตามถนนเรื่อยๆ วันอาทิตย์ร้านปิดแทบจะทุกร้าน เดินไปเดินมาเจอ Sainsbury’s สาขาเล็กๆ (อารมณ์ประมาณบิ๊กซีบ้านเราได้ ถ้าเทสโก้คือโลตัสอะนะ) เลยได้น้ำลิตรมาสองขวดกับพวกน้ำยาล้างจาน ฟองน้ำ ของกินเล็กน้อย
มาถึงก็จัดเข้าตู้ ห้องครัวที่หอมีให้แค่ตู้เย็นเล็กสองอัน ตู้ฟรีซสอง ไมโครเวฟ เตาแก๊ส แค่นี้จริงๆ (ไม่นับรวมโซฟา อ่างล้างจาน โต๊ะเคาน์เตอร์กินข้าวนะ) หม้อชามรามไห เขียงมีดครกสาก จานชามช้อนส้อม ทุกอย่างต้องเอามาเองหมด ซึ่ง...ไม่ได้เอามาไง เลยจัดไป ประเดิมมื้อแรกด้วย นางสาว มาม่า ประเทศไทยส่งเข้าประกวด
วันแรกของการไปโรงเรียน ส่วนใหญ่ช่วงอาทิตย์แรกหมดไปกับการปฐมนิเทศของทางมหาวิทยาลัย เลยไม่ค่อยมีอะไรมาก เพื่อนร่วมชั้นก็จะเป็นจีนซะส่วนใหญ่ และเนื่องจากมาในเดือนมกราคมซึ่งเป็นอินเทคย่อย นักเรียนก็น้อยตามไปด้วย
หลังจากการไปเรียนได้สองสามวัน เลยรู้ว่าเพื่อนร่วมคลาสบางส่วน...เป็นเพื่อนร่วมแฟลตด้วย แต่แฟลตที่นี่ดีอย่างคือเป็นส่วนตัวมาก ห้องน้ำในตัว ใช้รวมแค่ห้องครัวกับห้องนั่งเล่น ซึ่ง....จีนก็ยึดไปครองจ้ะเนื่องจากเป็นประชากรส่วนมาก
ในบรรดาหนุ่มจีน มีหมีไทยกับหนุ่มเวียดนามชื่อฟง ที่หลุดมาในดงนี้ เราสองคนเลยค่อนข้างคุยกันมากกว่าคนอื่นๆ
ฟงเป็นเด็กเวียดนาม ที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแบบอินเตอร์เนชันแนล เรียนเป็นภาษาอังกฤษล้วน และเรียนป.ตรีด้านบริหารธุรกิจมาโดยตรง ดังนั้น ฮีจะเป็นคนเก่งมาก พูดอังกฤษฟังง่าย ฟงบอกว่ามันอยากมาเรียนโทที่อังกฤษแล้วทำงานที่นี่เลย ไม่อยากกลับเวียดนาม
หมีจะบอกว่าเด็กเวียดนามที่มาเรียนอังกฤษส่วนใหญ่บ้านจะค่อนข้างมีฐานะ(มาก) และเรียนมหาลัยอินเตอร์มาแทบทุกคน พูดอังกฤษกับแบบน้ำไหลไฟดับอะ เจอคนเวียดนามมาเรียนที่เดียวกันสองคน เก่งทั้งคู่ ภาษาอังกฤษเขาดีจริงๆ
มีอยู่วันนึง หมีกับหนุ่มญวนเดินไปซื้อของที่เทสโก้ด้วยกัน ตกลงกันว่าจะซื้อพวกหม้อ กระทะมาแล้วใช้ร่วมกัน เดินๆไป เวียดนามก็หันมา
ฟง : ปู่เราเคยไปเที่ยวไทยมา แล้วก็ไปเที่ยวกลางคืน...เอ่อ...แบบว่า ที่มีผู้หญิงมาโชว์อย่างว่าน่ะ
หมีมองหน้า นึกในใจ...เอาแล้วแงะ เปิดประเด็นมาแบบนี้หมายความว่าไงยะ แต่หมียังสติลยิ้ม ฮือฮึ ยิ้มหวานๆทำท่าเหมือนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ
ฟง : เห็นปู่เล่าว่า (ค่ะ เมิงอ้างปู่ อย่ามา ชั้นรู้..) มีโชว์แล้วก็ทำxxxให้xxxผู้ชายด้วย อย่างงี้ไม่ผิดกฎหมายเหรอ
ณ จุดๆนั้นควรทำยังไงดี 1.ตอบรับอย่างหน้าชื่นตาบาน 2.พยายามอธิบายปกป้องประเทศชาติ 3.ทำแบ๊วๆไม่รู้ไม่ชี้ หนูไม่รู้จ้า
ฟง : ว่าไงอะ ผู้หญิงทำแบบนั้นไม่ดีไม่ใช่เหรอ
หมียิ้มหวานทำท่าอ่อนโยนเหมือนครูอนุบาลยิ้มให้เด็กน้อยที่วิ่งมาฟ้องว่าฉี่ราดกางเกง แต่สายตากลับเหวี่ยง มุมปากเฉียงฉีกยิ้มเหี้ยม ภาษาอังกฤษตัวเองก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอกนะ แต่พอได้ยินแล้วสกิลการอธิบายมันพวยพุ่งประดุจดาร์คออร่าแผ่ซ่านมาจากภายใน
หมี : ก็ไม่รู้สินะ ก็ผิดกฏหมายแหละ แต่ปกติที่แบบนั้นคนไทยไม่ไปกันหรอก มีแต่นักท่องเที่ยวที่ชอบไป (เน้นคำว่านักท่องเที่ยวชอบด้วยเสียงเหี้ยมๆ)
หนุ่มเวียดนามร่างเล็กอึ้งไปนิด หยุดยืนมอง หมียังสติลยิ้มหวาน...
หมี : แล้วก็อีกอย่าง ผู้หญิงไทยไม่ได้ทำอย่างนั้นทุกคนหรอกนะ
หมีสวนกลับนิ่มๆแต่ฟงมันหน้าเสียเลยค่า รีบอ้อมแอ้มปฏิเสธ
ฟง : ใช่ๆ เรารู้ๆ ไม่ได้เหมารวม แต่อยากรู้เฉยๆ แล้วตำรวจไม่จับเหรอ
หมี : จับสิ บางทีก็จับนักท่องเที่ยวด้วย ถ้าจะไปเที่ยวก็ระวังๆแล้วกัน
อันที่จริงจับไม่จับ หรือจับแล้วปรับหมีก็ไม่รู้ค่ะ รู้แค่ว่าในฐานะคนไทย ต้องเล่นใหญ่เข้าไว้ ยอมเสียหน้าไม่ได้ หมีวางท่าขึงขังแต่แอบอมยิ้มนิดๆ ก็หนุ่มเวียดนามดันทำหน้าซีดๆ เล่นเอาเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา จากนั้นฟงก็เปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่น หมดหัวข้อจากปิงปองโชว์ไป
ป.ล. นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า รู้จริงไม่จริงก็ช่าง เล่นให้ใหญ่ไว้ เดี๋ยวก็มีคนเชื่อเอง
ป.ล.2 หลังจากนั้นอีฟงไม่เคยถามเรื่องพวกนี้อีกเลย........
มิสยูนะ ไทยแลนด์
หมี
(รูปไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องแต่อยากใส่ 55)
มีเพจด้วยน้า--- https://www.facebook.com/TheMeeStory อัพสัพเพเหระเรื่อยเปื่อยค่ะ ฮี่ๆ