สวัสดีครับทุกท่าน
ถ้าถามว่า ตอนนี้ไปลงทุนในอะไรดี ... คำตอบว่าอะไรดีกว่าอะไร มันก็อยู่ที่ว่า คุณถามใคร?
ถ้าถามโบรกเกอร์ คำตอบก็คือ ถึงการเมืองจะเสี่ยง แต่เจ้ามือก็ลากหุ้นไทยให้เห็นทุกวัน ฉะนั้นยืนหยัดหุ้นไทย
ถ้าถามผู้จัดการธนาคาร คำตอบก็คือ ดอกเบี้ยต่ำๆอย่างนี้ มาฝากกองทุนตราสารหนี้กับเราสิครับ
ถ้าถามเพื่อน คำตอบก็คือ กรูไม่รู้ - -"
ดังนั้น ผมมองว่า มันอยู่ที่มุมมองนะ ว่าผู้ตอบเชี่ยวชาญในมุมไหน แต่ผมขอออกตัวก่อน ว่าไม่ได้เชี่ยวชาญอะไร แค่มีข้อมูลอะไรน่าสนใจ ก็อยากจะมาแชร์ให้เห็น และทุกครั้งที่มาอัพเดทเรื่องเศรษฐกิจ และการลงทุน ส่วนใหญ่ ผมก็จะมาเล่าใน
ภาพที่เกิดขึ้นไปแล้ว ซึ่งไม่ได้แปลว่า อนาคตข้างหน้ามันจะเป็นอย่างนั้นต่อไปนะครับ โปรดเข้าใจด้วย
คราวนี้ ถ้ามีใครถามผมว่า ตอนนี้ไปลงทุนในอะไรดี?
นี่คืออีกหนึ่งทางเลือก ที่ บลจ. หลายแห่ง เลือกที่จะวิ่งไปพร้อมๆกัน ด้วยการลงทุนผ่านกองทุนรวม ที่ไปลงทุนในภูมิภาคที่ชื่อ
"ยุโรป"
ถ้านับเฉพาะตั้งแต่ต้นปี 2014 ผ่านมาเกือบๆจะ 2 เดือน ผลตอบแทนทุกสินทรัพย์เป็นอย่างไรบ้าง ก็เป็นอย่างที่เห็นนะครับ
นับตั้งแต่ต้นปีมา สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดคือ
“ทอง” โดยรวมแล้ว ตลาดหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูง ยังคงทำผลตอบแทนได้ดี เว้นแต่ตลาดหุ้น Nikkei ของญี่ปุ่น ที่เจอแรงขายค่อนข้างรุนแรง ทำให้ติดลบไป -8.9% ส่วนฝั่ง Emerging Markets ทั้งตราสารหนี้ ทั้งหุ้น ก็ยังไม่ฟื้นครับ ตามสภาพ
ทั้งนี้ STOXX Europe 600 ของยุโรป ให้ผลตอบแทนเป็นบวกอยู่ที่ 3.0%
งั้นไปดูกันว่า ยุโรปเป็นยังไง
มุมมองต่อเศรษฐกิจยูโรโซนจากการรวบรวมข้อมูลของ Eurostat พบว่า ในปี 2014 นี้ทุกประเทศใน Euro Zone จะกลับมามี GDP Growth เป็นบวก ยกเว้นก็เพียงแค่ประเทศไซปรัสประเทศเดียว ที่ยังมีปัญหาสถาบันการเงินในประเทศ
กลุ่ม EU 28 ประเทศ น่าจะขยายตัวได้ 1.4% ในขณะที่กลุ่มยูโรโซน 17 ประเทศ จะขยายตัวได้ 1.1% จึงถือว่าโดยทางเทคนิค ยุโรป ฟื้นตัวจากการถดถอยทางเศรษฐกิจเรียบร้อยแล้ว
1. เศรษฐกิจยุโรปเทียบกับโลก
ดัชนีที่ใช้บ่งบอกกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่นักเศรษฐศาสตร์นิยมใช้ตัวหนึ่งก็คือ ดัชนี PMI ซึ่งมีทั้งภาคบริการ และการผลิต
จากตัวเลข PMI ภาคการผลิตของทั้งโลก จะเห็นว่า ณ ปัจจุบัน อังกฤษ และยูโรโซน มีดัชนี PMI สูงสุด เมื่อเทียบกับอเมริกา และญี่ปุ่น สะท้อนเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
ในขณะที่หากเจาะลึกเข้าไปในกลุ่มยูโรโซนเอง ก็พบว่า มีเพียงฝรั่งเศสประเทศเดียวที่ PMI ต่ำกว่า 50 จุด แต่นอกนั้นทั้งเยอรมัน และกลุ่ม PIIGS ที่เคยมีปัญหาหนี้ ภาคการผลิตก็ฟื้นตัวกลับมากันหมดแล้ว
2. อัตราการว่างงานในยุโรป
อีกหนึ่งปัญหาที่เป็นที่รบกวนจิตใจนักลงทุนที่จะหันหน้าหนีไม่ลงทุนในยุโรปก็คือ อัตราการว่างงานที่อยู่ระดับสูง ซึ่งก็พบว่า ทั้งกรีซ และสเปน ที่มีปัญหาการว่างงานรุนแรงนั้น ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข อัตราการว่างงานยังทรงตัวในระดับสูงที่ 28% และ 25.8% ตามลำดับ
แต่สำหรับประเทศอื่นๆในยูโรโซนนั้น นับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2013 เป็นต้นมา จากข้อมูลก็พบว่า อัตรการว่างงานลดลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะโปรตุเกส และ ไอร์แลนด์ ในขณะที่ปัญหาการเมืองภายในของอิตาลี ก็ยังทำให้มีการว่างงานสูงขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบัน อยู่ที่ระดับ 12.7%
3. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี
อีกดัชนีที่ใช้ชี้วัดความเสี่ยงของกลุ่มยูโรโซนก็คือ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรอายุยาวๆ (10 ปี) โดยนับตั้งแต่เกิด Euro Crisis และ กรีซ ขอเงินช่วยเหลือในช่วงปี 2009 จนมาลุกลามเป็นหนี้ในกลุ่ม PIIGS ในปี 2011 นั้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของกลุ่ม PIIGS ก็ลดลงต่อเนื่อง สะท้อนความเสี่ยงของประเทศที่ลดลงจากมาตรการรัดเข็มขัด และได้เงินช่วยเหลือจาก IMF และ ECB
4. งบดุลของธนาคารกลางยุโรป (ECB)
จากมาตรการอัดฉีดเงินช่วยเหลือของ ECB ที่ได้ต้นแบบการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมาจาก ธนาคารกลางสหรัฐฯนั้น ส่งผลให้งบดุลของ ECB โตขึ้นกว่า 3 เท่าใน 5 ปีที่ผ่านมา แต่หลังจากปี 2012 เป็นต้นมา เรากลับพบว่า งบดุลของธนาคารกลางยุโรปนั้นมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ จากความสามารถในการคืนเงินกู้จากโครงการ LTROs ของกลุ่มประเทศสมาชิก ที่พยายามรักษาวินัยทางการคลังได้ดีขึ้นอย่างน่าประทับใจ
5. ความเสี่ยงที่นักลงทุนมองยุโรป
วิธีวัดความเสี่ยงอีกแบบที่นักลงทุนนินมนำมาพิจารณาว่า ประเทศไหน หรือบริษัทใดที่มีความเสี่ยงจะผิดนัดชำระหนี้ ก็คือ การวัดความเสี่ยงผ่านราคา CDS
ซึ่งถ้าดูสถาบันการเงินใหญ่ที่สุดในยุโรป 17 แห่ง จะพบว่า CDS ณ ราคาปัจจุบันของทุกธนาคารห่างจากราคาเมื่อตอนที่ทำจุดสูงสุดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาค่อนข้างมาก สะท้อนว่า ณ ตอนนี้ นักลงทุนไม่ได้กังวลกับปัญหาหนี้เสีย หรือมองว่าธุรกิจธนาคารในยุโรปปัจจุบันค่อนข้างปลอดภัย สบายใจได้ฮ๊าฟฟฟ
6. เงินเฟ้อ
จุดหนึ่งที่ถือเป็นความเสี่ยงก็คือ ตัวเลขเงินเฟ้อของยูโรโซนนั้นทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2014 จนปัจจุบัน CPI อยู่ที่ 0.8% ทั้งๆที่เป้าหมายเงินเฟ้อที่ มาริโอ ดรากิ ประธาน ECB มองไว้คืออยู่ที่ 2.0%
ถ้าสมมติเงินเฟ้อไม่ปรับตัวขึ้น ยูโรโซนอาจประสบปัญหา เงินฝืด (เงินเฟ้อติดลบ) อย่างที่ญี่ปุ่นเคยเจอ และไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ทั้งนี้ ในปัจจัยลบ ก็อาจนำมาซึ่งปัจจัยบวกนะครับ เพราะ ปัจจุบัน ดอกเบี้ยนโยบายของ ECB อยู่ที่ 0.25% ซึ่งธนาคารกลางยังเหลือกระสุนให้ลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกรอบ หรือถ้ายังไม่ได้อีก ก็ยังกลับมาใช้มาตรการอัดฉีดเงินอีกรอบก็ได้ จึงมองว่า ความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อ ถึงมีอยู่ แต่ก็เสี่ยงน้อย
และมีโอกาสออกมาตรการอะไรบางอย่างมาดันตลาดหุ้นให้พุ่งพรวดได้ไม่ยากเย็นอะไร
7. มุมมองกำไรสุทธิของตลาดหุ้นยุโรป เทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก
หากดูการคาดการณ์กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก โดยแบ่งตามภูมิภาค จะพบว่า ในปี 2014 นี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กลุ่มยุโรป (รวมอังกฤษ) จะมีกำไรโต 13% เทียบกับปีก่อนหน้า และให้เงินปันผลสูงสุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นที่ 3.6% ซึ่งหากรวม EPS Growth และ Dividend Yield เข้าด้วยกัน ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปยังมี Upside อีก 16.60% นับจากสิ้นปี 2013 (หากวิ่งที่ระดับ P/E Ratio เท่าเดิมนะ)
8. มุมมองนักวิเคราะห์ทั่วโลก
สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นความเสี่ยงอีกมุมหนึ่งก็คือ มุมมองนักวิเคราะห์ต่อดัชนีตลาดหุ้นยุโรปอย่าง STOXX 600 ซึ่งเป็นดัชนีที่นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้เป็น Benchmark ในการดูตลาดหุ้นยุโรป พบว่า
จากนักวิเคราะห์ทั่วโลกทั้งหมด 47 แห่ง ให้เป้าหมายดัชนี STOXX600 เฉลี่ยอยู่ที่ 349 จุด หรือคิดเป็น Upside Potential จากระดับปัจจุบันเพียงแค่ 3.21% เท่านั้น
แต่หากตัดนักวิเคราะห์ที่มีมุมมอง Bearish (Contrarian) ต่อตลาดหุ้นยุโรปออกไป 4 แห่ง จะพบว่า เฉลี่ยอยู่ที่ 4.9% หากนับรวมผลตอบแทนจากเงินปันผลที่คาดว่าจะจ่ายได้ 3.6% จะเท่ากับว่า ตลาดหุ้นยุโรป จะมีผลตอบแทนในรูป Total Return อยู่ที่ 8.5%
9. มุมมองทางเทคนิค (ผ่านกราฟ Weekly)
STOXX 600 ถือเป็น 1 ใน 3 ดัชนีหลักของโลกที่ยังไม่สามารถผ่านจุดสูงสุดเดิมเมื่อปี 2007 ได้
นับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา เคลื่อนไหวในกรอบ Sideway Up มาอย่างดี
คาดว่า มีโอกาสทดสอบระดับ 360-365 จุด ภายในปีนี้
คิดเป็น Upside Potential = 6.5% - 7.9%
-------------------------------------------------------
พอมองครบ 9 ข้อ แล้ว ก็จะรู้สึกว่า เฮ้ย!! ยุโรป มันดูดีจริงๆนะเนี่ย เริ่มคันมือกันแล้วใช่ไหมครับ?
ให้ข้อคิดอย่างหนึ่ง
"อะไรที่ดูดีเกินจริง อาจไม่ดีจริงก็ได้"
จริงๆแล้ว ความเสี่ยงของการไปลงทุนในยุโรปก็มีอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าไม่มี
ประเด็นแรกก็คือ ในช่วงนับตั้งแต่ต้นปี 2014 เป็นต้นมา เราเริ่มเห็นว่า ตัวเลขเศรษฐกิจของอเมริกา และยุโรปที่รายงานออกมา ถึงแม้ดีกว่าปีที่แล้ว แต่ก็ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ทำให้ Economic Surprise Index (ESI) ของทั้ง 2 แห่ง ปรับตัวลดลง ซึ่งหากยังประกาศตัวเลขเศรษฐกิจออกมาต่ำกว่าที่คาดยาวนานกว่านี้ อาจทำให้ตลาดมีการปรับฐานตามมา ซึ่งจะโทษใครก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นผลมาจากการที่ทุกคนในตลาดมองว่า มันจะดีไปเรื่อยๆ ดีมากขึ้นไปอีก จึงปรับประมาณการณ์ยอดขายเพิ่ม กำไรเพิ่ม ปรับ Upside ราคาหุ้นเพิ่ม ซึ่งยังไงเสีย มันก็ต้องมีวันที่ไปไม่ถึงเป้า เป็นเรื่องปกติของตลาดหุ้นนะครับ
ประเด็นที่สอง ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนของยุโรป ยังในเกณฑ์ต่ำ เมื่อเทียบกับบริษัทในสหรัฐฯ เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังใช้เงินทุนของตัวเองในระดับสูง อัตราการปล่อยกู้ของสถาบันการเงินยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากยังไม่ไว้วางใจเศรษฐกิจในภูมิภาค
จริงๆ นลท. หลายคน ก็อยากเห็นต่าง คือ อาจมองเป็นโอกาสที่ทำให้ประสิทธิภาพการบริหารงานของบริษัทในยุโรปดีขึ้นก็ได้ หากมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเงิน และผลักดันกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างจริงจังผ่านการกระตุ้นทางนโยบายการเงิน และการคลังต่อเนื่อง
ซึ่งหากใครที่ติดตามตลาดหุ้นเมืองนอกมาซักพัก ก็จะเข้าใจว่า เหตุใดตลาดหุ้นยุโรปถึงเทรดที่ PE discount เมื่อเทียบกับฝั่งอเมริกา มาตลอด นั้นเป็นเพราะ ความสามารถในการรีดกำไร ลดต้นทุน ทั้งๆที่ยอดขายเพิ่มขึ้นไม่เยอะ ของบริษัทในอเมริกา นั้นมีมากกว่ายุโรป นั้นเอง
สรุปนะครับ เล่ามายาวมากกกกกกกกก
ตลาดหุ้นยุโรป ที่หลายๆคนมองว่า เงินน่าจะยังไหลเข้าไปลงทุนนั้น โดยพื้นฐานทางเศรษฐกิจแล้ว ดีจริง โอกาสมีจริง แต่ข้อสังเกตสำหรับผมก็คือ ปีที่แล้ว ตลาดหุ้นยุโรปก็วิ่งไปไม่ต่ำกว่า 20% แถมช่วงไหนที่ บลจ. แห่กันไปลงทุนพร้อมๆกัน โดยเอา Performance ย้อนหลังมาอวดมาโชว์ ตอนนั้น มันมักจะเหลือให้วิ่งอีกไม่เท่าไหร่แล้วก็ได้
ฉะนั้น ใครจะวาง Asset Allocation ไปยุโรป ผมมองว่า คาดหวังผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลหน่อย ไอ้ที่เกิน 20% เนี่ย ผมว่าไม่เห็นในปีนี้
ตอนเขาเชียร์ซื้อ ซื้อตามก็ไม่ผิด แต่ตอนขายออก ไม่มีใครเขาเชียร์นะครับ ต้องดูกันเอง แล้วจะหาว่าผมไม่เตือน ^^
ขอบคุณข้อมูลจาก
บลจ.กรุงศรี, Reuters, Citi Research และ Deutsche Bank Research
-----------------------------
โชคดีในการลงทุนครับ
$$... อัพเดทเศรษฐกิจยุโรปแบบ 360 องศา ...$$
ถ้าถามว่า ตอนนี้ไปลงทุนในอะไรดี ... คำตอบว่าอะไรดีกว่าอะไร มันก็อยู่ที่ว่า คุณถามใคร?
ถ้าถามโบรกเกอร์ คำตอบก็คือ ถึงการเมืองจะเสี่ยง แต่เจ้ามือก็ลากหุ้นไทยให้เห็นทุกวัน ฉะนั้นยืนหยัดหุ้นไทย
ถ้าถามผู้จัดการธนาคาร คำตอบก็คือ ดอกเบี้ยต่ำๆอย่างนี้ มาฝากกองทุนตราสารหนี้กับเราสิครับ
ถ้าถามเพื่อน คำตอบก็คือ กรูไม่รู้ - -"
ดังนั้น ผมมองว่า มันอยู่ที่มุมมองนะ ว่าผู้ตอบเชี่ยวชาญในมุมไหน แต่ผมขอออกตัวก่อน ว่าไม่ได้เชี่ยวชาญอะไร แค่มีข้อมูลอะไรน่าสนใจ ก็อยากจะมาแชร์ให้เห็น และทุกครั้งที่มาอัพเดทเรื่องเศรษฐกิจ และการลงทุน ส่วนใหญ่ ผมก็จะมาเล่าในภาพที่เกิดขึ้นไปแล้ว ซึ่งไม่ได้แปลว่า อนาคตข้างหน้ามันจะเป็นอย่างนั้นต่อไปนะครับ โปรดเข้าใจด้วย
คราวนี้ ถ้ามีใครถามผมว่า ตอนนี้ไปลงทุนในอะไรดี?
นี่คืออีกหนึ่งทางเลือก ที่ บลจ. หลายแห่ง เลือกที่จะวิ่งไปพร้อมๆกัน ด้วยการลงทุนผ่านกองทุนรวม ที่ไปลงทุนในภูมิภาคที่ชื่อ "ยุโรป"
ถ้านับเฉพาะตั้งแต่ต้นปี 2014 ผ่านมาเกือบๆจะ 2 เดือน ผลตอบแทนทุกสินทรัพย์เป็นอย่างไรบ้าง ก็เป็นอย่างที่เห็นนะครับ
นับตั้งแต่ต้นปีมา สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดคือ
“ทอง” โดยรวมแล้ว ตลาดหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูง ยังคงทำผลตอบแทนได้ดี เว้นแต่ตลาดหุ้น Nikkei ของญี่ปุ่น ที่เจอแรงขายค่อนข้างรุนแรง ทำให้ติดลบไป -8.9% ส่วนฝั่ง Emerging Markets ทั้งตราสารหนี้ ทั้งหุ้น ก็ยังไม่ฟื้นครับ ตามสภาพ
ทั้งนี้ STOXX Europe 600 ของยุโรป ให้ผลตอบแทนเป็นบวกอยู่ที่ 3.0%
งั้นไปดูกันว่า ยุโรปเป็นยังไง
มุมมองต่อเศรษฐกิจยูโรโซนจากการรวบรวมข้อมูลของ Eurostat พบว่า ในปี 2014 นี้ทุกประเทศใน Euro Zone จะกลับมามี GDP Growth เป็นบวก ยกเว้นก็เพียงแค่ประเทศไซปรัสประเทศเดียว ที่ยังมีปัญหาสถาบันการเงินในประเทศ
กลุ่ม EU 28 ประเทศ น่าจะขยายตัวได้ 1.4% ในขณะที่กลุ่มยูโรโซน 17 ประเทศ จะขยายตัวได้ 1.1% จึงถือว่าโดยทางเทคนิค ยุโรป ฟื้นตัวจากการถดถอยทางเศรษฐกิจเรียบร้อยแล้ว
1. เศรษฐกิจยุโรปเทียบกับโลก
ดัชนีที่ใช้บ่งบอกกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่นักเศรษฐศาสตร์นิยมใช้ตัวหนึ่งก็คือ ดัชนี PMI ซึ่งมีทั้งภาคบริการ และการผลิต
จากตัวเลข PMI ภาคการผลิตของทั้งโลก จะเห็นว่า ณ ปัจจุบัน อังกฤษ และยูโรโซน มีดัชนี PMI สูงสุด เมื่อเทียบกับอเมริกา และญี่ปุ่น สะท้อนเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
ในขณะที่หากเจาะลึกเข้าไปในกลุ่มยูโรโซนเอง ก็พบว่า มีเพียงฝรั่งเศสประเทศเดียวที่ PMI ต่ำกว่า 50 จุด แต่นอกนั้นทั้งเยอรมัน และกลุ่ม PIIGS ที่เคยมีปัญหาหนี้ ภาคการผลิตก็ฟื้นตัวกลับมากันหมดแล้ว
2. อัตราการว่างงานในยุโรป
อีกหนึ่งปัญหาที่เป็นที่รบกวนจิตใจนักลงทุนที่จะหันหน้าหนีไม่ลงทุนในยุโรปก็คือ อัตราการว่างงานที่อยู่ระดับสูง ซึ่งก็พบว่า ทั้งกรีซ และสเปน ที่มีปัญหาการว่างงานรุนแรงนั้น ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข อัตราการว่างงานยังทรงตัวในระดับสูงที่ 28% และ 25.8% ตามลำดับ
แต่สำหรับประเทศอื่นๆในยูโรโซนนั้น นับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2013 เป็นต้นมา จากข้อมูลก็พบว่า อัตรการว่างงานลดลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะโปรตุเกส และ ไอร์แลนด์ ในขณะที่ปัญหาการเมืองภายในของอิตาลี ก็ยังทำให้มีการว่างงานสูงขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบัน อยู่ที่ระดับ 12.7%
3. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี
อีกดัชนีที่ใช้ชี้วัดความเสี่ยงของกลุ่มยูโรโซนก็คือ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรอายุยาวๆ (10 ปี) โดยนับตั้งแต่เกิด Euro Crisis และ กรีซ ขอเงินช่วยเหลือในช่วงปี 2009 จนมาลุกลามเป็นหนี้ในกลุ่ม PIIGS ในปี 2011 นั้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของกลุ่ม PIIGS ก็ลดลงต่อเนื่อง สะท้อนความเสี่ยงของประเทศที่ลดลงจากมาตรการรัดเข็มขัด และได้เงินช่วยเหลือจาก IMF และ ECB
4. งบดุลของธนาคารกลางยุโรป (ECB)
จากมาตรการอัดฉีดเงินช่วยเหลือของ ECB ที่ได้ต้นแบบการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมาจาก ธนาคารกลางสหรัฐฯนั้น ส่งผลให้งบดุลของ ECB โตขึ้นกว่า 3 เท่าใน 5 ปีที่ผ่านมา แต่หลังจากปี 2012 เป็นต้นมา เรากลับพบว่า งบดุลของธนาคารกลางยุโรปนั้นมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ จากความสามารถในการคืนเงินกู้จากโครงการ LTROs ของกลุ่มประเทศสมาชิก ที่พยายามรักษาวินัยทางการคลังได้ดีขึ้นอย่างน่าประทับใจ
5. ความเสี่ยงที่นักลงทุนมองยุโรป
วิธีวัดความเสี่ยงอีกแบบที่นักลงทุนนินมนำมาพิจารณาว่า ประเทศไหน หรือบริษัทใดที่มีความเสี่ยงจะผิดนัดชำระหนี้ ก็คือ การวัดความเสี่ยงผ่านราคา CDS
ซึ่งถ้าดูสถาบันการเงินใหญ่ที่สุดในยุโรป 17 แห่ง จะพบว่า CDS ณ ราคาปัจจุบันของทุกธนาคารห่างจากราคาเมื่อตอนที่ทำจุดสูงสุดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาค่อนข้างมาก สะท้อนว่า ณ ตอนนี้ นักลงทุนไม่ได้กังวลกับปัญหาหนี้เสีย หรือมองว่าธุรกิจธนาคารในยุโรปปัจจุบันค่อนข้างปลอดภัย สบายใจได้ฮ๊าฟฟฟ
6. เงินเฟ้อ
จุดหนึ่งที่ถือเป็นความเสี่ยงก็คือ ตัวเลขเงินเฟ้อของยูโรโซนนั้นทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2014 จนปัจจุบัน CPI อยู่ที่ 0.8% ทั้งๆที่เป้าหมายเงินเฟ้อที่ มาริโอ ดรากิ ประธาน ECB มองไว้คืออยู่ที่ 2.0%
ถ้าสมมติเงินเฟ้อไม่ปรับตัวขึ้น ยูโรโซนอาจประสบปัญหา เงินฝืด (เงินเฟ้อติดลบ) อย่างที่ญี่ปุ่นเคยเจอ และไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ทั้งนี้ ในปัจจัยลบ ก็อาจนำมาซึ่งปัจจัยบวกนะครับ เพราะ ปัจจุบัน ดอกเบี้ยนโยบายของ ECB อยู่ที่ 0.25% ซึ่งธนาคารกลางยังเหลือกระสุนให้ลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกรอบ หรือถ้ายังไม่ได้อีก ก็ยังกลับมาใช้มาตรการอัดฉีดเงินอีกรอบก็ได้ จึงมองว่า ความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อ ถึงมีอยู่ แต่ก็เสี่ยงน้อย
และมีโอกาสออกมาตรการอะไรบางอย่างมาดันตลาดหุ้นให้พุ่งพรวดได้ไม่ยากเย็นอะไร
7. มุมมองกำไรสุทธิของตลาดหุ้นยุโรป เทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก
หากดูการคาดการณ์กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก โดยแบ่งตามภูมิภาค จะพบว่า ในปี 2014 นี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กลุ่มยุโรป (รวมอังกฤษ) จะมีกำไรโต 13% เทียบกับปีก่อนหน้า และให้เงินปันผลสูงสุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นที่ 3.6% ซึ่งหากรวม EPS Growth และ Dividend Yield เข้าด้วยกัน ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปยังมี Upside อีก 16.60% นับจากสิ้นปี 2013 (หากวิ่งที่ระดับ P/E Ratio เท่าเดิมนะ)
8. มุมมองนักวิเคราะห์ทั่วโลก
สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นความเสี่ยงอีกมุมหนึ่งก็คือ มุมมองนักวิเคราะห์ต่อดัชนีตลาดหุ้นยุโรปอย่าง STOXX 600 ซึ่งเป็นดัชนีที่นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้เป็น Benchmark ในการดูตลาดหุ้นยุโรป พบว่า
จากนักวิเคราะห์ทั่วโลกทั้งหมด 47 แห่ง ให้เป้าหมายดัชนี STOXX600 เฉลี่ยอยู่ที่ 349 จุด หรือคิดเป็น Upside Potential จากระดับปัจจุบันเพียงแค่ 3.21% เท่านั้น
แต่หากตัดนักวิเคราะห์ที่มีมุมมอง Bearish (Contrarian) ต่อตลาดหุ้นยุโรปออกไป 4 แห่ง จะพบว่า เฉลี่ยอยู่ที่ 4.9% หากนับรวมผลตอบแทนจากเงินปันผลที่คาดว่าจะจ่ายได้ 3.6% จะเท่ากับว่า ตลาดหุ้นยุโรป จะมีผลตอบแทนในรูป Total Return อยู่ที่ 8.5%
9. มุมมองทางเทคนิค (ผ่านกราฟ Weekly)
STOXX 600 ถือเป็น 1 ใน 3 ดัชนีหลักของโลกที่ยังไม่สามารถผ่านจุดสูงสุดเดิมเมื่อปี 2007 ได้
นับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา เคลื่อนไหวในกรอบ Sideway Up มาอย่างดี
คาดว่า มีโอกาสทดสอบระดับ 360-365 จุด ภายในปีนี้
คิดเป็น Upside Potential = 6.5% - 7.9%
-------------------------------------------------------
พอมองครบ 9 ข้อ แล้ว ก็จะรู้สึกว่า เฮ้ย!! ยุโรป มันดูดีจริงๆนะเนี่ย เริ่มคันมือกันแล้วใช่ไหมครับ?
ให้ข้อคิดอย่างหนึ่ง "อะไรที่ดูดีเกินจริง อาจไม่ดีจริงก็ได้"
จริงๆแล้ว ความเสี่ยงของการไปลงทุนในยุโรปก็มีอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าไม่มี
ประเด็นแรกก็คือ ในช่วงนับตั้งแต่ต้นปี 2014 เป็นต้นมา เราเริ่มเห็นว่า ตัวเลขเศรษฐกิจของอเมริกา และยุโรปที่รายงานออกมา ถึงแม้ดีกว่าปีที่แล้ว แต่ก็ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ทำให้ Economic Surprise Index (ESI) ของทั้ง 2 แห่ง ปรับตัวลดลง ซึ่งหากยังประกาศตัวเลขเศรษฐกิจออกมาต่ำกว่าที่คาดยาวนานกว่านี้ อาจทำให้ตลาดมีการปรับฐานตามมา ซึ่งจะโทษใครก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นผลมาจากการที่ทุกคนในตลาดมองว่า มันจะดีไปเรื่อยๆ ดีมากขึ้นไปอีก จึงปรับประมาณการณ์ยอดขายเพิ่ม กำไรเพิ่ม ปรับ Upside ราคาหุ้นเพิ่ม ซึ่งยังไงเสีย มันก็ต้องมีวันที่ไปไม่ถึงเป้า เป็นเรื่องปกติของตลาดหุ้นนะครับ
ประเด็นที่สอง ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนของยุโรป ยังในเกณฑ์ต่ำ เมื่อเทียบกับบริษัทในสหรัฐฯ เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังใช้เงินทุนของตัวเองในระดับสูง อัตราการปล่อยกู้ของสถาบันการเงินยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากยังไม่ไว้วางใจเศรษฐกิจในภูมิภาค
จริงๆ นลท. หลายคน ก็อยากเห็นต่าง คือ อาจมองเป็นโอกาสที่ทำให้ประสิทธิภาพการบริหารงานของบริษัทในยุโรปดีขึ้นก็ได้ หากมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเงิน และผลักดันกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างจริงจังผ่านการกระตุ้นทางนโยบายการเงิน และการคลังต่อเนื่อง
ซึ่งหากใครที่ติดตามตลาดหุ้นเมืองนอกมาซักพัก ก็จะเข้าใจว่า เหตุใดตลาดหุ้นยุโรปถึงเทรดที่ PE discount เมื่อเทียบกับฝั่งอเมริกา มาตลอด นั้นเป็นเพราะ ความสามารถในการรีดกำไร ลดต้นทุน ทั้งๆที่ยอดขายเพิ่มขึ้นไม่เยอะ ของบริษัทในอเมริกา นั้นมีมากกว่ายุโรป นั้นเอง
สรุปนะครับ เล่ามายาวมากกกกกกกกก
ตลาดหุ้นยุโรป ที่หลายๆคนมองว่า เงินน่าจะยังไหลเข้าไปลงทุนนั้น โดยพื้นฐานทางเศรษฐกิจแล้ว ดีจริง โอกาสมีจริง แต่ข้อสังเกตสำหรับผมก็คือ ปีที่แล้ว ตลาดหุ้นยุโรปก็วิ่งไปไม่ต่ำกว่า 20% แถมช่วงไหนที่ บลจ. แห่กันไปลงทุนพร้อมๆกัน โดยเอา Performance ย้อนหลังมาอวดมาโชว์ ตอนนั้น มันมักจะเหลือให้วิ่งอีกไม่เท่าไหร่แล้วก็ได้
ฉะนั้น ใครจะวาง Asset Allocation ไปยุโรป ผมมองว่า คาดหวังผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลหน่อย ไอ้ที่เกิน 20% เนี่ย ผมว่าไม่เห็นในปีนี้
ตอนเขาเชียร์ซื้อ ซื้อตามก็ไม่ผิด แต่ตอนขายออก ไม่มีใครเขาเชียร์นะครับ ต้องดูกันเอง แล้วจะหาว่าผมไม่เตือน ^^
ขอบคุณข้อมูลจาก
บลจ.กรุงศรี, Reuters, Citi Research และ Deutsche Bank Research
-----------------------------
โชคดีในการลงทุนครับ