บทความนี้มาจากการวิเคราะห์ของคุณ mk จากเว็บ
http://www.blognone.com/node/53709 ครับ
ข่าวใหญ่ของงาน MWC 2014 รอบนี้คงหนีไม่พ้น
Nokia X และ
Nokia XL ซึ่งถือว่ามีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากเป็นก้าวแรกของโนเกียสู่โลกของ Android
โนเกียเคยปรามาส Android เอาไว้ตั้งแต่ปี 2010 (ช่วงปลายยุครุ่งเรือง)
ว่าการเปลี่ยนมาใช้ Android เปรียบเหมือนการฉี่รดกางเกงให้อบอุ่นในฤดูหนาว แต่เพราะเหตุใด เวลาผ่านไปเพียง 3 ปีกว่าๆ โนเกียจึงกลับลำมาทำ Android เสียเอง
เรื่องนี้อธิบายค่อนข้างยากแต่จะพยายามครับ
It's all about the ecosystem
ผมนั่งดู
วิดีโอแถลงข่าวของ Stephen Elop ที่งาน MWC 2014 อย่างละเอียด ก็พบว่าภาพที่สำคัญที่สุดในงานคือภาพนี้
แอพ แอพ และแอพ จำนวนมหาศาล
ผมเชื่อว่าผู้อ่าน Blognone ที่ติดตามข่าวเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิด คงเคยหยิบจับสัมผัสมือถือของโนเกีย ทั้ง Lumia และ Asha มาบ้าง ซึ่งความรู้สึกของหลายๆ คนก็น่าจะเหมือนกันว่า "แอพมันน้อย" เมื่อเทียบกับ Android/iOS
ลองคิดในมุมของโนเกียดูบ้างครับ คนของโนเกียคงเจอกับคำถามประเภทว่า "มีแอพ ... ไหม" ซึ่งคำตอบก็คือ "ไม่มี" และกรณีแบบนี้มักจบด้วยการที่ลูกค้าตัดสินใจไม่ซื้อ
ในโลกยุคสมาร์ทโฟน ยุคที่ซอฟต์แวร์เป็นใหญ่ ฟีเจอร์ด้านฮาร์ดแวร์ไม่มีน้ำหนักเท่าฟีเจอร์ด้านซอฟต์แวร์หรือบริการ (ซึ่งเราเรียกมันรวมๆ กันว่า ecosystem) ต่อให้เครื่องดีสเปกแรง ออกแบบสวยงามแค่ไหน แต่ถ้ามันไม่ใช้งานบริการที่ลูกค้าต้องการได้ มันก็ขายไม่ได้
ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เราเห็นความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าของโนเกีย ไมโครซอฟท์ ซัมซุง เอชพี แบล็คเบอร์รี และผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการมือถือรายเล็กทั้งหลาย ในการตีตลาดสมาร์ทโฟนด้วยระบบปฏิบัติการแปลกใหม่ มีฟีเจอร์น่าสนใจ แต่ก็ไม่สำเร็จสักรายเพราะ "ไม่มีแอพ" (ขนาดไมโครซอฟท์ใหญ่โตมโหฬาร มีทรัพยากรมากมาย ยังกระอัก)
การที่ Nokia X หันมาใช้ Android สามารถเข้าถึง ecosystem ที่มีแอพ "หลักแสนราย" (จากคำพูดของ Elop เอง) ย่อมทำให้ปัญหาเรื่องแอพของโนเกียหมดไป
บทวิเคราะห์ Nokia X "It's all about the ecosystem" จาก Blognone.com
ข่าวใหญ่ของงาน MWC 2014 รอบนี้คงหนีไม่พ้น Nokia X และ Nokia XL ซึ่งถือว่ามีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากเป็นก้าวแรกของโนเกียสู่โลกของ Android
โนเกียเคยปรามาส Android เอาไว้ตั้งแต่ปี 2010 (ช่วงปลายยุครุ่งเรือง) ว่าการเปลี่ยนมาใช้ Android เปรียบเหมือนการฉี่รดกางเกงให้อบอุ่นในฤดูหนาว แต่เพราะเหตุใด เวลาผ่านไปเพียง 3 ปีกว่าๆ โนเกียจึงกลับลำมาทำ Android เสียเอง
เรื่องนี้อธิบายค่อนข้างยากแต่จะพยายามครับ
It's all about the ecosystem
ผมนั่งดู วิดีโอแถลงข่าวของ Stephen Elop ที่งาน MWC 2014 อย่างละเอียด ก็พบว่าภาพที่สำคัญที่สุดในงานคือภาพนี้
แอพ แอพ และแอพ จำนวนมหาศาล
ผมเชื่อว่าผู้อ่าน Blognone ที่ติดตามข่าวเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิด คงเคยหยิบจับสัมผัสมือถือของโนเกีย ทั้ง Lumia และ Asha มาบ้าง ซึ่งความรู้สึกของหลายๆ คนก็น่าจะเหมือนกันว่า "แอพมันน้อย" เมื่อเทียบกับ Android/iOS
ลองคิดในมุมของโนเกียดูบ้างครับ คนของโนเกียคงเจอกับคำถามประเภทว่า "มีแอพ ... ไหม" ซึ่งคำตอบก็คือ "ไม่มี" และกรณีแบบนี้มักจบด้วยการที่ลูกค้าตัดสินใจไม่ซื้อ
ในโลกยุคสมาร์ทโฟน ยุคที่ซอฟต์แวร์เป็นใหญ่ ฟีเจอร์ด้านฮาร์ดแวร์ไม่มีน้ำหนักเท่าฟีเจอร์ด้านซอฟต์แวร์หรือบริการ (ซึ่งเราเรียกมันรวมๆ กันว่า ecosystem) ต่อให้เครื่องดีสเปกแรง ออกแบบสวยงามแค่ไหน แต่ถ้ามันไม่ใช้งานบริการที่ลูกค้าต้องการได้ มันก็ขายไม่ได้
ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เราเห็นความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าของโนเกีย ไมโครซอฟท์ ซัมซุง เอชพี แบล็คเบอร์รี และผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการมือถือรายเล็กทั้งหลาย ในการตีตลาดสมาร์ทโฟนด้วยระบบปฏิบัติการแปลกใหม่ มีฟีเจอร์น่าสนใจ แต่ก็ไม่สำเร็จสักรายเพราะ "ไม่มีแอพ" (ขนาดไมโครซอฟท์ใหญ่โตมโหฬาร มีทรัพยากรมากมาย ยังกระอัก)
การที่ Nokia X หันมาใช้ Android สามารถเข้าถึง ecosystem ที่มีแอพ "หลักแสนราย" (จากคำพูดของ Elop เอง) ย่อมทำให้ปัญหาเรื่องแอพของโนเกียหมดไป