อาทิตย์อับแสง (บทที่ 14) โดย มานัส

กระทู้สนทนา
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 14)



บทรักของภูเก็ตไม่เหมือนผู้ชายคนอื่นที่เธอเคยพานพบ

ไม่เหมือนอิมอล์

ไม่เหมือนณัฐ...

ภูเก็ตอ่อนหวานด้วยคารมและอารมณ์ ไม่ดิบหยาบเฉดเช่นอิมอล์หรือณัฐที่ทำให้เธอชินชาจนเกือบเป็นความเคยชินที่เกาะกินหัวใจ

อัญชลีอ่อนไหวไปกับ...เทพบุตรของสำนักงานใหญ่...จนเสมือนว่าเธอยินยอมเขาด้วยหัวใจจริงๆ

เพียงแต่ว่า…

‘มันเป็นเสือผู้หญิง มันพรากคนที่พี่รักที่สุดไป…เพราะมันโกหก หลอกลวง!’

เธอจำประโยคนี้ได้ตั้งแต่ตอนที่เธออายุเพียงยี่สิบปี

ภาพของ…พี่ชาย ผู้เป็นลูกเลี้ยงของบิดา ประจักษ์ในความทรงจำของหญิงสาว

วันนั้นที่…นิวยอร์ค

พี่ณัฐ…เหลือเพียงลมหายใจแผ่วๆ

และความหวังลางๆ ที่เปี่ยมล้นด้วยความเกลียดชัง

‘เพราะมัน…มันคนเดียว…’

อัญชลีรับรู้เพียงเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นณัฐก็ไม่เคยพูดอะไรอีกเลย นอกเสียจากว่า

…ภูเก็ต…มันเลว!

และนั่นคือสิ่งที่หญิงสาวจำฝังใจตลอดหกปีที่ผ่านมา เพียงแต่ว่าวันนี้…

“แอนนี่สวย ผมอยากจะรู้จักแอนนี่ให้มากกว่านี้” นั่นคือคำที่เขาบอกก่อนและหลัง…ความสัมพันธ์ โดยไม่ลืมที่จะย้ำ “แต่อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่าผมไม่ใช่คนดีนัก ผมไม่มีคนเผื่อเลือก ผมผูกมัดไม่ได้”

“ค่ะ แอนนี่เข้าใจ”

หญิงสาวเข้าใจง่ายๆ รู้หรอกว่าเทพบุตรของสำนักงานใหญ่มีสาวๆ ติดเกรียวนัก แล้วไหนจะคู่รักอย่างเป็นทางการของเขา ผู้หญิงคนนั้น...ชินนภา ที่แม้เธอจะแค่ได้ยินกิตติศัพท์ แต่ก็ขยาดนักเชียว

“แน่ใจ?”

แม้ว่าทุกอย่างล่วงเลยมาถึงขนาดนี้ แต่ภูเก็ตย้ำถามเพื่อให้...แน่ใจ อีกครั้ง

และเมื่อเธอยืนยันว่า...แน่ใจ ทุกอย่างจึงเลยตามเลย

เทพบุตรของสำนักงานใหญ่ ที่สาวๆ หลายคนต้องการ ใฝ่ฝันถึง แต่ไม่มีใครเคยได้ จึงตกมาอยู่ในอ้อมกอดของเธอคนเดียวในคืนนี้ และในอีกหลายสองสามคืนหลังจากนั้น

อ้อมกอด…ที่แม้ไม่ผูกมัด แต่อบอุ่น

และจริงใจ…ในความเป็นจริง

ทว่าความเป็นจริงนี้ก็เลือนรางห่างหายไปในเวลาไม่ถึงเดือนต่อมา เมื่อคนที่ไม่...ผูกมัด...เช่นภูเก็ตค่อยๆ ห่างหายไป

ในที่สุดชีวิตของเธอจึงเหลือเพียงอิมอล์และณัฐเหมือนเดิม

“บอกแล้วไงว่าผมผูกมัดไม่ได้”

และนั่นคือสิ่งที่ภูเก็ตยืนยันกับเธอ…ครั้งสุดท้าย ในโรงแรมแถวชานเมืองแห่งหนึ่ง

รอยยิ้ม

ความจริงใจ

ความอ่อนหวาน

มันก็ดีกว่าสิ่งที่อิมอล์และณัฐยัดเยียดให้เธอยิ่งนัก

ไม่แปลกเลยที่ใครจะรักมั่นกับผู้ชายอย่างภูเก็ตด้วยหัวใจ








“เป็นอะไร”

คำถามของณัฐในอีกไม่กี่วันต่อมาทำให้อัญชลีสะดุ้ง ไม่มีคำตอบใดๆ

ถ้าณัฐรู้ว่าเธอกำลังคิดถึง…ภูเก็ต

แค่คิดตรงนี้ หญิงสาวก็จำต้องหยุดความคิดทั้งหมด ดวงหน้าของเธอที่หันมอง…พี่ชาย บ่งบอกถึงความเหนื่อยหน่าย

“เปล่า” คำปฏิเสธไร้ความหมาย เพราะเจ้าตัวรู้มันเป็นการโกหก

“ที่สาขามีปัญหาหรือเปล่า”

“ไม่” เธอตอบแผ่วเบาไม่เต็มคำ ก็เหมือนเช่นทุกครั้งที่เธอสนทนากับณัฐ

ช่างต่างจากตอนที่อยู่กับภูเก็ตนัก แต่นั่นอาจเพราะว่า เทพบุตรของสำนักงานใหญ่ ช่างสรรหาเรื่องคุย หาเรื่องเล่ามากมาย หรือไม่ก็การฮำเพลงของเขาที่ฟังดูสดใส จึงทำให้การอยู่ด้วยกันทุกครั้งมันไม่น่าเมื่อ

ในตอนที่อยู่ด้วยกัน ภูเก็ตมักทำให้เธอรู้สึกว่าเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขา ถึงแม้ว่าในความเป็นจริง มันจะไม่ใช่เช่นนั้น เพรามีครึ่งหนึ่งที่เขาเคยหลุดปาก

‘ผมยังไม่เคยรักใครเท่ากับ…’

ผู้หญิงคนนั้นสำคัญกับเขา จนแม้แต่การะเอ่ยชื่อยังติดขัดด้วยความรู้สึกมากมาย

“อีกไม่นาน เราก็จะสบายกันแล้ว”

เสียงของณัฐทำลายความคิดของเธอไปจนหมดสิ้นอีกครั้ง ทว่าอัญชลีไม่แม้จะเหลือบมองเขา แม้เมื่อบอก

“แอนนี่ไม่อยากไป”

“แต่เราต้องไป” คำว่า ต้อง เน้นย้ำหนัก “เราอยู่เมืองไทยไม่ได้”

“งั้นก็หยุดทุกอย่างซิ หยุด! อย่าไปยุ่งกับอิมอล์ อย่าไปทำอะไรคุณภูเก็ต”

แค่เพียงเอ่ยชื่อเท่านั้น...คนฟังพลันชะงักไปในบัดดล

ชื่อนี้...เขาเกลียดนัก

เกลียดยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในโลกหล้า

มือใหญ่กำแน่น แล้วฟาดไปบนหน้าสวยของ…น้องสาว ผู้เป็นลูกของแม่เลี้ยง ไม่สนใจเสียงกรีดร้องนั่น

“มันไปที่สาขาเมื่อเดือนก่อน” นั่นคือสิ่งที่เขารู้ แต่สิ่งที่เขาสงสัยและต้องการคำตอบคือ “หลงมันอีกคนใช่ไหม”









โทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กเขย่าเตือนเป็นระยะอยู่หลายครั้ง จนคิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดนิ่วด้วยความสงสัย หากแล้วก็ปล่อยลมหายใจยาว...เบา

ผู้หญิง...มักเหมือนๆ กันเสียส่วนใหญ่

คอยจิก คอยโทรฯ คอยแสดงความเป็นเจ้าของ

นี่แค่เด็กคนหนึ่งจากสาขาชานเมืองยังตามจิกเขาขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ชายหนุ่มมั่นใจเป็นที่สุดว่า เรา...คุยกันรู้เรื่องไปแล้ว

คบกันเพียงผิวเผิน

เพราะไม่มีใครเหมือน...

“ระริน” เสียงของเกรียงไกรทำให้อีกฝ่ายตื่นจากภวังค์ “มาเมืองไทยเมื่อเดือนก่อน”

และการบอกนั่นทำให้ดวงหน้าของคนฟังบ่งบอกความประหลาดใจ แฝงด้วยความหวัง เขาไม่สนใจการสั่นเตือนของเครื่องโทรศัพท์อีกเลย

“มา...เมื่อไหร่ แล้วตอนนี้...สบายดีนะครับ” อารมณ์และความรู้สึกทำให้คำพูดเขาตระกุกตระกัก แทบไม่เป็นประโยค

“ก็คงสบายดี แต่ระรินไม่ยอมเจอใคร” ผู้สูงวัยกว่าบอก “แค่บอกให้พวกเรารู้ว่ากลับมา ระรินไม่ได้ติดต่อไปหรือ”

“ไม่ครับ” ภูเก็ตปฏิเสธอย่างผิดหวัง

“ลุงยังคิดว่าพวกเธอได้คุยกันแล้ว”

เกรียงไกรย่อมจำได้ เสียงของลูกสาวคนเดียวตอนที่สนทนาทางโทรศัพท์นั้นราวว่าได้เจอกับชายหนุ่มผู้เป็นที่รักแล้ว

“แล้วระรินว่าอย่างไรอีกครับ อยู่ไหน…”

มันยังมีอีกหลายคำถามที่เขาใคร่รู้ ในใจร้อนรุ่ม

เพียงแต่ว่า…ไร้คำตอบใดๆ

ไม่มีใครรู้ ระริน…อยู่ไหน อยู่อย่างไร

และต่อให้เขาคิด แต่ภูเก็ตก็ต้องเก็บความคิดไว้

เขายังอยู่กับความเป็นจริง อยู่กับปัจจุบัน อาจจะไม่ดี ไม่พอ และไม่เพียงเท่านี้ที่ต้องการ

และเมื่อ…ไม่พอ

เขาจึงต้องหาที่พึ่ง ในเวลานี้ ที่พึ่งที่ดีที่สุด ใกล้ที่สุด และง่ายที่สุดคือเกษรา

ความเป็นนางเอกแถวหน้ามีชื่อเสียง และมีทรัพย์ หนำซ้ำมีพรรคพวก…เกษราแอนด์เดอะแก็งค์ ทำให้ความเป็นมิตร และความสนิทสนมที่ก่อตัวขึ้นมีค่ายิ่งนัก

เพราะฉะนี้ ช่วงหลังๆ ภูเก็ตจึงยอม...อ่อนข้อ

ยอม…พูดดี

ยอม…แม้กระทั่งลงทุนเชิญดาราสาวมา ดื่ม มากินข้าว สังสรรค์โดยที่เขาหาเรื่อง…ยอม

“คุณเคยอยากให้ผมสอนเปียโน ผมก็จะสอนคุณ ถ้าคุณยังอยากจะเรียนอยู่”

“รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณฉันหรือไง” เกษราสวนกลับทันที

“แค่รู้สึกว่าผมกับคุณสนิทกันมากพอที่ผมจะทนคุณในฐานะที่คุณเป็นนักเรียน และคุณพอที่จะทนผมในฐานะที่ผมเป็นครู”

“เราสองคนนี่ก็แปลก ต้องใช้ความอดทนเพื่อนที่จะเป็นมิตรกัน”

“แต่ก็ดีกว่าเป็นศัตรูกันไม่ใช่เหรอ”

ชายหนุ่มยิ้มบอกด้วยเสียงสนุก จนอีกฝ่ายหัวเราะคิก ร่างอรชรของหญิงสาวเดินไปนั่งบนโซฟาตัวใหญ่

เธอไม่ตอบคำถามเขา แม้ว่าตัวเองจะรู้ดีว่า…ใช่ เป็นมิตรย่อมดีกว่าเป็นศัตรู

“นั่นคุณอ่านกับเขาด้วยเหรอ” เกษราถามเมื่อเห็นว่ามีหนังสือวรรณคดีวางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างโซฟา

“ก็อยากลองอ่านดู” ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งบนม้านั่งหน้าเปียโนไฟฟ้า

“รู้เรื่องเหรอ” คำถามปรามาสอย่างเห็นได้ชัด หากแฝงความเป็นมิตรที่คุ้นเคย

“รู้…” อีกฝ่ายลากเสียงยาว คล้ายเด็กที่ต้องการยืนยันเรื่องที่ตัวเองมั่นใจนัก แล้วจึงสารภาพตามตรง “แต่ต้องอ่านฉบับแปลไทยเป็นไทยควบคู่ไปด้วย”

“คุณนี่มันลิงได้แก้วจริงๆ” หญิงสาวหัวเราะคิกชอบใจ เดินไปกอดอกพิงกำแพงข้างเปียโนไฟฟ้า

เพียงแต่ว่าสีหน้าแย้มยิ้มของอีกฝ่ายซ่อนความรู้สึกทั้งหมดไว้อย่างมิดชิด และแม้ยืนใกล้เขาขนาดนี้ เกษราก็ยังไม่สามารถจับถึงอารมณ์ของเขาได้ แม้เมื่อผู้ชายคนนั้นบอก

“ผมเคยเป็นเช่นนั้น แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ทำตัวเป็นลิงได้แก้ว ก็มักจะเสียแก้วไปเสมอ ผมจะไม่ยอมเสียของที่มีค่าไปอีกแล้ว” หางเสียงสุดท้ายว้าเหว่ระคนเจ็บปวด จนคนฟังใจอ่อน

รู้ว่าเขาไม่ได้หมายถึงแค่หนังสือเล่มเดียว

“เอาเป็นว่าฉันเชื่อ” หญิงสาวบอกตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงเชื่อ

เชื่อเขาง่ายๆ ทั้งๆ ที่มันไม่ควรเป็นเช่นนั้น

ผู้ชายคนนี้ แม้เมื่อเห็นแวบแรกเธอก็รู้ว่าเขามีเล่ห์ เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก

เป็นเล่ห์ของคนที่รู้ถึงเสน่ห์ และความฉลาดของตัวเอง

จนมาถึงตอนนี้ ทำเอาเธอที่ไม่เคยไว้ใจใครง่ายๆ กลับมั่นใจ และเชื่อใจในตัวเขา โดยเฉพาะในประโยคที่เขาเปรยออกมาทั้งที่เธอไม่ได้ถามเลยด้วยซ้ำ

“ผมไม่เคยสอนใครเล่นเปียโน เคยมีแต่…ใครคนนั้นที่สอนผม” นิ้วของเขาไล่ไปบนแป้นคีย์ “ตอนที่เธอสอน…ผมก็เล่น แต่ไม่ตั้งใจ ไม่สนใจ ไม่เห็นค่า”

“คนนั้นน่ะใคร”

“ก็…” และเหมือนนึกขึ้นได้ ภูเก็ตจึงเลี่ยงตอบไปว่า “ผมเคยเรียนเปียโนอยู่สองปีตอนไฮสกูล”

แววตา และน้ำเสียงของเขาเคร่งขรึมไปจากเดิมมากนัก แม้แต่นิ้วเรียวที่ลงบนแป้นคีย์สีขาวดำ ก็ดูจรดด้วยความคิดบางอย่าง

อาการแบบนี้…ศิลปินเช่นเกษราย่อมดูออก

เขาเล่นด้วยอารมณ์

อารมณ์ที่ไหลลื่น แฝงความร้อนแรงไปกับบทเพลง

อารมณ์ที่พาบทเพลงที่เล่นผ่านไปมา ไม่จริงจังหลากหลายบท

ช้า…เร็ว

สุข…โศกเศร้า

สลับกับความอ่อนโยนของอีกเพลงที่เธอไม่คุ้นหู

ใครจะเชื่อ นายธนาคารจะมีอารมณ์อ่อนไหวเช่นนี้

จนหญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่า…ใครหนอที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ได้

ชายหนุ่มเจ้าสำราญ มีความสุขกับผู้หญิงไม่เลือกหน้า แต่ก็แฝงด้วยความทุกข์อาวรณ์อย่างสุดซึ้งที่ใครก็ยากจะหยั่งถึง

บทเพลงที่เขาเล่นแฝงด้วยอารมณ์เช่นนั้น จนเกษราต้องถามด้วยเสียงอ่อนเบา

“เพลงที่คุณชอบเล่นประจำมีความหมายใช่ไหม”

เสียงถามอ่อนโยน จนอีกฝ่ายต้องเงยหน้าขึ้นมองอย่างฉงน

“เคยมีคนๆ หนึ่งเล่นให้ผมฟังเสมอ” คำตอบลึกซึ้ง โดยไม่ต้องเสแสร้งทำ “เราเคยวาดฝันถึงที่ๆ เราจะไปด้วยกัน สิ่งที่เราอยากทำ ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนในมุมโลก ไม่ว่าจะยังไงก็ขอให้มีเราสองคน”

“คุณทิ้งเขา หรือว่าเขาทิ้งคุณ”

คนถามไม่ได้คำตอบในทันที คงอีกเนิ่นนานกว่าเสียงทุ้มหนักจะเอยด้วยริ้วรอยขื่นอยู่ในคอ “วันนั้น ผมกลับมาถึงบ้าน แต่เขาก็ไม่อยู่เสียแล้ว”

ขื่นขม…ในอารมณ์ที่อ่อนไหว

อารมณ์อาลัยอาวรณ์ ของคนที่สูญเสียผู้เป็นที่รัก

…ฉันรักคุณ และรักเสมอมา รัก…แม้ไม่เคยแน่ใจเลยว่าคุณรักฉัน หรือว่ารักในสิ่งที่ฉันเป็น
การจาก…ครานี้มันคงดีที่สุดแล้วสำหรับเราทั้งสองคน
เราต่างมีเหตุผล มีความจำเป็น เราต่างมีความฝัน ความหวัง ที่ยังไม่สามารถบรรจบกันได้
ในวันนี้…อาจจะยัง
แต่วันข้างหน้า…may be...








(ต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่