หลายคนถอนอกถอนใจกับสภาพการเมืองไทยในปัจจุบันที่แตกแยกกันอย่างหนัก ถือข้างกันสุดขั้ว เหตุผลเป็นเรื่องรองลงไป จนถึงไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย แต่ถือความลุ่มหลงเป็นใหญ่ นับ "หัว" กันเป็นหลัก ฝ่ายไหนมีมากกว่า ฝ่ายนั้นครองเมือง เป็นสภาพที่ดูเหมือนไร้ทางออก
ถ้าไปเงี่ยหูฟังสภากาแฟ จะได้ยินความคิด 2 แบบ
แบบหนึ่งบอกว่าอาการของประเทศไทยตอนนี้ ถอนพิษกันลำบากเสียแล้ว
มีทางออกทางเดียวคือปล่อยให้รัฐบาลที่มีคนลุ่มหลงมากบริหารประเทศจนเจ๊งคามือ เขาจะใช้เงินของประเทศไปหว่านโปรยประชานิยมอย่างเมามันไม่ยั้งคิดแค่ไหนก็ปล่อยไป ไม่ต้องไปขัดขวาง ไม่ต้องเรียกร้องให้เขาลาออกก่อนวาระ ไม่ต้องไปเดินขบวนให้เขาลาออก
เพราะเมื่อประเทศวิกฤตขนาดหนัก ลำบากสาหัสไม่มีจะกินกันทั้งประเทศแล้ว คนที่เลือกรัฐบาลนั้นมาจะได้เห็นด้วยตาตัวเองว่า "ของที่คิดว่าดี" นั้น ดีจริงหรือเปล่า วิธีนี้เป็นหนทางเดียวที่จะถอนพิษที่คั่งค้างในประเทศออกไปเสียได้
เพราะหากไปทำให้รัฐบาลลาออกก่อนวาระ เดี๋ยวจะมีข้ออ้างเดิมๆ ปลุกระดมกันอีกว่าอำมาตย์กลั่นแกล้ง
แนวคิดนี้ถูกโฉลกกับฝ่ายคลั่งเลือกตั้ง พวกนี้คิดอย่างเดียวว่ารัฐบาลจะบริหารประเทศเจ๊งแค่ไหนก็คุ้ม ถ้าพวกเขายังได้เลือกตั้ง เลือกมาแล้วต้องให้รัฐบาลของพวกเขาอยู่ครบ 4 ปี
แม้ว่า 4 ปีนั้นจะทำให้ประเทศเหลือแต่กระดูก ไม่ต้องสนว่าประเทศนี้บรรพบุรุษต้องเสียเลือดเนื้อใช้เวลาสร้างชาติกันมา 700-800 ปี
แต่มีอีกฝ่ายแย้งว่า ยอมให้เอาอนาคตของประเทศมาเป็นเดิมพันเพื่อถอนพิษการเมืองคลั่งสีนี้ไม่ได้ เพราะเมื่อเจ๊งแล้ว หายนะแล้ว จะสายเกินไปจนอาจจะกู้คืนไม่ได้เลย
ภาระหนี้สินของประเทศที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะนี้จากฝีมือการกู้และการใช้จ่ายประชานิยมกันอย่างไม่ยั้งคิด ยังหาจุดสิ้นสุดไม่เจอ และไม่แน่ใจว่าผู้นำรัฐบาล "ตระหนัก" ถึงพิษภัยของมันหรือไม่ว่าถ้ายังดันทุรังแบบนี้ต่อไป ประเทศจะเหลือแต่กระดูก
แต่ดูจากบุคลิกล้นๆ เกินๆ จนดูเหมือนไม่ค่อยรู้ร้อนรู้หนาว ของผู้นำรัฐบาลแล้ว ยังไม่อาจอุ่นใจได้ว่า "ตระหนัก" หรือเข้าใจผลพวงจากประชานิยม เพราะยังยืนยันจะเดินหน้าใช้เงินอีกหลายแสนล้านบาทรับจำนำข้าวต่อไป
โครงการประชานิยมของรัฐบาลนี้ที่ถือว่า "คิดมาน้อย" และขาดความรับผิดชอบค่อนข้างมาก ก็คือโครงการรถยนต์คันแรกและจำนำข้าว เพราะแม้แต่ตัวหลักๆ บางคนในพรรคเพื่อไทยก็ยังยอมรับว่า 2 โครงการนี้จะทำให้รัฐบาลพัง
แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดออกมาดังๆ เพราะเกรงจะขัดหูเจ้าของพรรคหรือน้องสาวเจ้าของพรรค
โครงการรถยนต์คันแรกซึ่งมีการคืนภาษีคันละ 1 แสนบาทให้กับผู้ซื้อ ปรากฏว่ามียอดการซื้อถึง 1.5 ล้านคัน คิดเป็นภาษีที่ต้องคืน 7.7 หมื่นล้านบาท
ซึ่งโครงการนี้คิดอย่างไรก็ไร้เหตุผลในแง่เศรษฐศาสตร์ แถมยังสร้างปัญหาตามมาอีกมาก เพราะในปัจจุบันในสภาพที่เราไม่สร้างข้อจำกัดในการครอบครองรถยนต์ ไม่ว่าจะในแง่การเก็บค่าทะเบียนแพง การต้องแสดงว่ามีที่จอดรถ การเก็บค่าเข้าเมืองชั้นใน ถึงแม้ไม่มีแรงกระตุ้นให้ซื้อ คนก็ตะเกียกตะกายซื้ออยู่แล้ว
แต่อย่างน้อยการตะเกียกตะกาย ก็ไม่ไปเพิ่มอัตราเร่งให้มีรถเทกันออกมาวิ่งบนท้องถนนมากเกินกว่าพื้นที่ถนนหรือระบบขนส่งมวลชนจะออกมารองรับได้ทัน
แต่การที่รัฐบาลไปสร้างแรงจูงใจให้คนกระหน่ำซื้อในเวลาอันสั้นและรวดเร็ว โดยที่ระบบขนส่งมวลชนที่สร้างเพิ่มเติม เช่น รถไฟฟ้าหรือใต้ดินสายใหม่ๆ ในกรุงเทพฯ ยังสร้างไม่เสร็จ กว่าจะเสร็จอย่างน้อยก็อีก 3-4 ปี สภาพเช่นนี้จะทำให้คนไม่มีทางเลือกยิ่งขึ้น เพราะหากรถติดมากและคนที่มีรถส่วนตัวไม่อยากขับรถไปทำงาน ก็ไม่มีระบบขนส่งมวลชนให้เป็นทางเลือก
ส่วนคนจนที่ไม่มีปัญญาจะหาซื้อรถยนต์ส่วนตัวจากโครงการรถยนต์คันแรก พวกเขาก็จะต้องทนทุกข์ทรมานจากการนั่งบนรถเมล์หรือสองแถวบนท้องถนนนานกว่าเดิม
ถึงแม้รถทั้ง 1.5 ล้านคัน จะไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ ทั้งหมด แต่รถป้ายแดงที่ออกมาใหม่จะซ้ำเติมการจราจรในกรุงเทพฯ ให้สาหัสมากขึ้น
คาดว่าปี 2556 เป็นต้นไป เมื่อมีการส่งมอบรถครบ การจราจรในกรุงเทพฯ จะเป็นอัมพาต
ความตลกอยู่ตรงที่ว่า ในขณะที่รัฐบาลสร้างแรงจูงใจให้คนซื้อรถยนต์ส่วนตัว แต่นายกรัฐมนตรีกลับบ่นเรื่องรถติดและสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปแก้ปัญหารถติด
อันที่จริง เงิน 7.7 หมื่นล้านบาท สามารถนำไปสร้างโครงการที่เป็นประโยชน์และแก้ปัญหาระยะยาวของประเทศได้ดีกว่านี้มากมายและเป็นประโยชน์กับคนวงกว้างได้มากกว่านี้ เช่น ไปสร้างระบบขนส่งมวลชน ไม่ว่าจะในกรุงเทพฯหรือต่างจังหวัด เพิ่มเส้นทางรถไฟเชื่อมระหว่างจังหวัด สร้างขนส่งระบบรางเพื่อยกประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ของประเทศ ซึ่งจะลดต้นทุนการขนส่งและค่าเชื้อเพลิง
แต่การไปอุดหนุนให้คนซื้อรถยนต์ส่วนตัว มีแต่ผลลบ คือ 1. เพิ่มปัญหาจราจร 2. เพิ่มการใช้น้ำมันเพราะยิ่งรถติดยิ่งเปลืองน้ำมัน 3. เพิ่มมลพิษในอากาศ
ประเทศที่เจริญแล้ว เขามีแต่ส่งเสริมให้คนใช้ระบบขนส่งมวลชน โดยรัฐบาลลงทุนสร้างระบบขนส่งมวลชนให้ครอบคลุมและเพียงพอมากที่สุด และสร้างความยากลำบากในการเป็นเจ้าของรถยนต์ จนคนไม่อยากมีรถยนต์ของตัวเอง มีแต่ประเทศนี้ที่ทำตรงกันข้าม
ยังมีปัญหาอีกต่อไปว่า รัฐบาลจะเอาเงิน 7.7 หมื่นล้านบาท ที่ไหนมาคืนภาษีให้กับผู้ซื้อรถยนต์ เพราะความสามารถในการหาเงินไม่มีเลย ส่งออกก็ตกต่ำที่สุดในรอบหลายสิบปี การขยายตัวของส่งออกเหลือเพียงเลขหลักเดียวสาเหตุหลักส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่ยอมส่งออกข้าวที่รับจำนำไว้ล้นโกดัง
เพียงปีเดียวรัฐบาลนี้มีความสามารถในการเพิ่มหนี้สาธารณะจาก 41 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี เป็น 44 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ มากกว่าหนี้ทั้งหมดที่พรรคประชาธิปัตย์สร้างขึ้นช่วง 2 ปีครึ่งที่เป็นรัฐบาล
อีก 5 ปีรัฐบาลมีเป้าหมายจะก่อหนี้ให้ถึง 55 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี (โดยอ้างอิงจากมาตรฐานไอเอ็มเอฟที่ว่ารัฐบาลแต่ละประเทศก่อหนี้ได้ไม่เกิน 60 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี) คำถามมีอยู่ว่า จะสร้างหนี้ให้เต็มแม็กกันเลยหรือ ไม่เผื่อค่าความปลอดภัยกันเลยหรือ
คนซื้อหุ้นเขายังซื้อเผื่อค่าความปลอดภัย คือซื้อในราคาต่ำสุดเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานของหุ้นตัวนั้น เพื่อที่อย่างน้อยจะเป็นหลักรับประกันว่าไม่ขาดทุน
ถ้าก่อหนี้ไปถึง 55 เปอร์เซ็นต์แล้วมันจะ "เอาไม่อยู่" มันจะ run away คือเตลิดเปิดเปิง ภาวะ run away นั้นจำนวนหนี้มันจะเร่งตัวทวีคูณอาจจะเลย 60 เปอร์เซ็นต์ในเวลาอันรวดเร็ว หากเกิดความผิดพลาดทางเศรษฐกิจขึ้นมา เช่นรายได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จีดีพีลดต่ำลง
บางทีก็คงจะได้เห็นกันคราวนี้ล่ะว่า รัฐประหารหน่อมแน้ม กับประชานิยมบ้าคลั่ง อย่างไหนจะทำให้ชาติเจ๊งเร็วกว่ากัน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1357745147&grpid=03&catid=03
ผ่านมา 2 ปี คงได้เห็นกันแล้ว..
ไม่มีรัฐประหารชาติก็พังได้ ถ้ายัง"ประชานิยม"ทำชาติพัง
ถ้าไปเงี่ยหูฟังสภากาแฟ จะได้ยินความคิด 2 แบบ
แบบหนึ่งบอกว่าอาการของประเทศไทยตอนนี้ ถอนพิษกันลำบากเสียแล้ว
มีทางออกทางเดียวคือปล่อยให้รัฐบาลที่มีคนลุ่มหลงมากบริหารประเทศจนเจ๊งคามือ เขาจะใช้เงินของประเทศไปหว่านโปรยประชานิยมอย่างเมามันไม่ยั้งคิดแค่ไหนก็ปล่อยไป ไม่ต้องไปขัดขวาง ไม่ต้องเรียกร้องให้เขาลาออกก่อนวาระ ไม่ต้องไปเดินขบวนให้เขาลาออก
เพราะเมื่อประเทศวิกฤตขนาดหนัก ลำบากสาหัสไม่มีจะกินกันทั้งประเทศแล้ว คนที่เลือกรัฐบาลนั้นมาจะได้เห็นด้วยตาตัวเองว่า "ของที่คิดว่าดี" นั้น ดีจริงหรือเปล่า วิธีนี้เป็นหนทางเดียวที่จะถอนพิษที่คั่งค้างในประเทศออกไปเสียได้
เพราะหากไปทำให้รัฐบาลลาออกก่อนวาระ เดี๋ยวจะมีข้ออ้างเดิมๆ ปลุกระดมกันอีกว่าอำมาตย์กลั่นแกล้ง
แนวคิดนี้ถูกโฉลกกับฝ่ายคลั่งเลือกตั้ง พวกนี้คิดอย่างเดียวว่ารัฐบาลจะบริหารประเทศเจ๊งแค่ไหนก็คุ้ม ถ้าพวกเขายังได้เลือกตั้ง เลือกมาแล้วต้องให้รัฐบาลของพวกเขาอยู่ครบ 4 ปี
แม้ว่า 4 ปีนั้นจะทำให้ประเทศเหลือแต่กระดูก ไม่ต้องสนว่าประเทศนี้บรรพบุรุษต้องเสียเลือดเนื้อใช้เวลาสร้างชาติกันมา 700-800 ปี
แต่มีอีกฝ่ายแย้งว่า ยอมให้เอาอนาคตของประเทศมาเป็นเดิมพันเพื่อถอนพิษการเมืองคลั่งสีนี้ไม่ได้ เพราะเมื่อเจ๊งแล้ว หายนะแล้ว จะสายเกินไปจนอาจจะกู้คืนไม่ได้เลย
ภาระหนี้สินของประเทศที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะนี้จากฝีมือการกู้และการใช้จ่ายประชานิยมกันอย่างไม่ยั้งคิด ยังหาจุดสิ้นสุดไม่เจอ และไม่แน่ใจว่าผู้นำรัฐบาล "ตระหนัก" ถึงพิษภัยของมันหรือไม่ว่าถ้ายังดันทุรังแบบนี้ต่อไป ประเทศจะเหลือแต่กระดูก
แต่ดูจากบุคลิกล้นๆ เกินๆ จนดูเหมือนไม่ค่อยรู้ร้อนรู้หนาว ของผู้นำรัฐบาลแล้ว ยังไม่อาจอุ่นใจได้ว่า "ตระหนัก" หรือเข้าใจผลพวงจากประชานิยม เพราะยังยืนยันจะเดินหน้าใช้เงินอีกหลายแสนล้านบาทรับจำนำข้าวต่อไป
โครงการประชานิยมของรัฐบาลนี้ที่ถือว่า "คิดมาน้อย" และขาดความรับผิดชอบค่อนข้างมาก ก็คือโครงการรถยนต์คันแรกและจำนำข้าว เพราะแม้แต่ตัวหลักๆ บางคนในพรรคเพื่อไทยก็ยังยอมรับว่า 2 โครงการนี้จะทำให้รัฐบาลพัง
แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดออกมาดังๆ เพราะเกรงจะขัดหูเจ้าของพรรคหรือน้องสาวเจ้าของพรรค
โครงการรถยนต์คันแรกซึ่งมีการคืนภาษีคันละ 1 แสนบาทให้กับผู้ซื้อ ปรากฏว่ามียอดการซื้อถึง 1.5 ล้านคัน คิดเป็นภาษีที่ต้องคืน 7.7 หมื่นล้านบาท
ซึ่งโครงการนี้คิดอย่างไรก็ไร้เหตุผลในแง่เศรษฐศาสตร์ แถมยังสร้างปัญหาตามมาอีกมาก เพราะในปัจจุบันในสภาพที่เราไม่สร้างข้อจำกัดในการครอบครองรถยนต์ ไม่ว่าจะในแง่การเก็บค่าทะเบียนแพง การต้องแสดงว่ามีที่จอดรถ การเก็บค่าเข้าเมืองชั้นใน ถึงแม้ไม่มีแรงกระตุ้นให้ซื้อ คนก็ตะเกียกตะกายซื้ออยู่แล้ว
แต่อย่างน้อยการตะเกียกตะกาย ก็ไม่ไปเพิ่มอัตราเร่งให้มีรถเทกันออกมาวิ่งบนท้องถนนมากเกินกว่าพื้นที่ถนนหรือระบบขนส่งมวลชนจะออกมารองรับได้ทัน
แต่การที่รัฐบาลไปสร้างแรงจูงใจให้คนกระหน่ำซื้อในเวลาอันสั้นและรวดเร็ว โดยที่ระบบขนส่งมวลชนที่สร้างเพิ่มเติม เช่น รถไฟฟ้าหรือใต้ดินสายใหม่ๆ ในกรุงเทพฯ ยังสร้างไม่เสร็จ กว่าจะเสร็จอย่างน้อยก็อีก 3-4 ปี สภาพเช่นนี้จะทำให้คนไม่มีทางเลือกยิ่งขึ้น เพราะหากรถติดมากและคนที่มีรถส่วนตัวไม่อยากขับรถไปทำงาน ก็ไม่มีระบบขนส่งมวลชนให้เป็นทางเลือก
ส่วนคนจนที่ไม่มีปัญญาจะหาซื้อรถยนต์ส่วนตัวจากโครงการรถยนต์คันแรก พวกเขาก็จะต้องทนทุกข์ทรมานจากการนั่งบนรถเมล์หรือสองแถวบนท้องถนนนานกว่าเดิม
ถึงแม้รถทั้ง 1.5 ล้านคัน จะไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ ทั้งหมด แต่รถป้ายแดงที่ออกมาใหม่จะซ้ำเติมการจราจรในกรุงเทพฯ ให้สาหัสมากขึ้น
คาดว่าปี 2556 เป็นต้นไป เมื่อมีการส่งมอบรถครบ การจราจรในกรุงเทพฯ จะเป็นอัมพาต
ความตลกอยู่ตรงที่ว่า ในขณะที่รัฐบาลสร้างแรงจูงใจให้คนซื้อรถยนต์ส่วนตัว แต่นายกรัฐมนตรีกลับบ่นเรื่องรถติดและสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปแก้ปัญหารถติด
อันที่จริง เงิน 7.7 หมื่นล้านบาท สามารถนำไปสร้างโครงการที่เป็นประโยชน์และแก้ปัญหาระยะยาวของประเทศได้ดีกว่านี้มากมายและเป็นประโยชน์กับคนวงกว้างได้มากกว่านี้ เช่น ไปสร้างระบบขนส่งมวลชน ไม่ว่าจะในกรุงเทพฯหรือต่างจังหวัด เพิ่มเส้นทางรถไฟเชื่อมระหว่างจังหวัด สร้างขนส่งระบบรางเพื่อยกประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ของประเทศ ซึ่งจะลดต้นทุนการขนส่งและค่าเชื้อเพลิง
แต่การไปอุดหนุนให้คนซื้อรถยนต์ส่วนตัว มีแต่ผลลบ คือ 1. เพิ่มปัญหาจราจร 2. เพิ่มการใช้น้ำมันเพราะยิ่งรถติดยิ่งเปลืองน้ำมัน 3. เพิ่มมลพิษในอากาศ
ประเทศที่เจริญแล้ว เขามีแต่ส่งเสริมให้คนใช้ระบบขนส่งมวลชน โดยรัฐบาลลงทุนสร้างระบบขนส่งมวลชนให้ครอบคลุมและเพียงพอมากที่สุด และสร้างความยากลำบากในการเป็นเจ้าของรถยนต์ จนคนไม่อยากมีรถยนต์ของตัวเอง มีแต่ประเทศนี้ที่ทำตรงกันข้าม
ยังมีปัญหาอีกต่อไปว่า รัฐบาลจะเอาเงิน 7.7 หมื่นล้านบาท ที่ไหนมาคืนภาษีให้กับผู้ซื้อรถยนต์ เพราะความสามารถในการหาเงินไม่มีเลย ส่งออกก็ตกต่ำที่สุดในรอบหลายสิบปี การขยายตัวของส่งออกเหลือเพียงเลขหลักเดียวสาเหตุหลักส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่ยอมส่งออกข้าวที่รับจำนำไว้ล้นโกดัง
เพียงปีเดียวรัฐบาลนี้มีความสามารถในการเพิ่มหนี้สาธารณะจาก 41 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี เป็น 44 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ มากกว่าหนี้ทั้งหมดที่พรรคประชาธิปัตย์สร้างขึ้นช่วง 2 ปีครึ่งที่เป็นรัฐบาล
อีก 5 ปีรัฐบาลมีเป้าหมายจะก่อหนี้ให้ถึง 55 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี (โดยอ้างอิงจากมาตรฐานไอเอ็มเอฟที่ว่ารัฐบาลแต่ละประเทศก่อหนี้ได้ไม่เกิน 60 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี) คำถามมีอยู่ว่า จะสร้างหนี้ให้เต็มแม็กกันเลยหรือ ไม่เผื่อค่าความปลอดภัยกันเลยหรือ
คนซื้อหุ้นเขายังซื้อเผื่อค่าความปลอดภัย คือซื้อในราคาต่ำสุดเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานของหุ้นตัวนั้น เพื่อที่อย่างน้อยจะเป็นหลักรับประกันว่าไม่ขาดทุน
ถ้าก่อหนี้ไปถึง 55 เปอร์เซ็นต์แล้วมันจะ "เอาไม่อยู่" มันจะ run away คือเตลิดเปิดเปิง ภาวะ run away นั้นจำนวนหนี้มันจะเร่งตัวทวีคูณอาจจะเลย 60 เปอร์เซ็นต์ในเวลาอันรวดเร็ว หากเกิดความผิดพลาดทางเศรษฐกิจขึ้นมา เช่นรายได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จีดีพีลดต่ำลง
บางทีก็คงจะได้เห็นกันคราวนี้ล่ะว่า รัฐประหารหน่อมแน้ม กับประชานิยมบ้าคลั่ง อย่างไหนจะทำให้ชาติเจ๊งเร็วกว่ากัน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1357745147&grpid=03&catid=03
ผ่านมา 2 ปี คงได้เห็นกันแล้ว..