ช่วงนี้มีการพูดถึงสงครามกลางเมืองกันมาก มีทั้งห่วงมีทั้งเชียร์
แต่ไม่ค่อยมีใครวิเคราะห์กันจริงๆจังๆว่าน่าจะเกิดจากอะไรและที่สำคัญคือจะมีผลต่อชีวิตแต่ละคนกันยังไงบ้าง
ส่วนมาก็จะจินตนาการว่ามันจะคล้ายกับซีเรีย รวันดา ตามที่เคยเห็นข่าวกัน
ในส่วนของปมชนวนที่จะทำให้สงครามประทุขึ้นมันก็คงไม่ต่างไปจากทุกสงครามที่มี
นั่นก็คือ เกิดความอยุติธรรม แล้วระบบยุติธรรมไม่สามารถใช้แก้ปัญหาความขัดแย้งได้
ของไทยเราตอนนี้ผมว่าองค์ประกอบมันครบแล้วนะ รอจังหวะกันแค่นั้นเอง
ผมอยากพูดถึงส่วนของผลกระทบมากกว่า เพราะบางทีมัวแต่โกรธเกลียดกันจะเอาชนะกันอย่างเดียวมักจะหน้ามืดไม่ได้สนใจนึกถึงผลที่จะตามมากันเท่าไหร่นัก
หากมานั่งทบทวนกันดีๆแล้วอาจจะทำให้ได้สติยั้งๆเพลามือกันลงมาบ้างก็ได้
ผลกระทบอย่างแรกเลยก็คือเรื่อง
1.ความปลอดภัย
-เมื่อเกิดสงครามรบพุ่งกันจริงๆ ลักษณ์การอยู่อาศัยปะปนกันของประชาชนทั้งสองฝ่าย
ย่อมไม่มีทางจะต่างคนต่างอยู่บ้านใครบ้านมันในซอยเดียวกันได้หรอกครับ
เพื่อความปลอดภัยจะต้องอพยพออกจากถิ่นที่อาศัยหากอยู่ท่ามกลางคนที่เห็นต่าง ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวเดียวกัน เพราะไม่มีทางปิดความลับมิดหรอกครับ ถึงจะเป็นคนรู้จักกัน คนครอบครัวเดียวกัน เวลาเกิดเหตุฉุกเฉินคนเหล่านี้ก็ไม่สามารถปกป้องเราได้
การดำเนินชีวิตจะต้องดำเนินไปด้วยความหวาดระแวงว่าใครพวกไหนไปหมดทุกย่างก้าว
กิจกรรมง่ายๆแค่ไปซื้อกับข้าวมากิน ก็จะต้องกลายเป็นภารกิจเสี่ยงตายรายวัน ดังที่จะเห็นจากสงครามทุกแห่งแหละครับ
แหล่งชุมชน หรือตลาดมักจะตกเป็นเป้าการก่อการร้ายจากฝ่ายตรงข้ามเสมอ
ลูกหลานก็คงไปเรียนกันตามปกติไม่ได้หรอกครับ เพราะเวลาสงครามความเกลียดชังโกรธแค้นมันก็จะเลือกทำร้ายตรงจุดที่เราเจ็บที่สุด
นั่นก็คือคนที่เรารักนั่นแหละ โรงเรียนก็จะกลายเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่ป้องกันรักษาความปลอดภัยได้ยาก
และในสภาวะสงครามนั้นมันก็คือไม่มีการบังคับใช้กฏหมายกันปกติ มันก็คือไม่มีกฏหมายนั่นแหละ
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนอ่อนแอปกป้องตัวเองไม่ได้ก็ต้องตกเป็นเหยื่อ อยากอยู่รอดก็ต้องดิ้นรน หาอาวุธมาป้องกันตัว
และต้องกล้าที่จะใช้มันด้วย
ขู่อย่างเดียวช่วยคุณไม่ได้หรอก สงสัยปุ๊ปจะต้องฆ่าทันที หากลังเลคุณก็จะตกเป็นเหยื่อเสียเอง
สิ่งที่จะมากับสภาพไร้กฏหมายก็คือ โอกาสของมิจฉาชีพครับ หากคุณไม่สามารถปกป้องตัวเองได้แล้วคุณก็ต้องตกเป็นเหยื่อไม่ช้าก็เร็วไม่มีทางหนีพ้น
จากเหตุการณ์จริงที่เป็นตัวอย่างก็คือ ขณะที่สภาพอาหารขาดแคลน ผู้หญฺงและเด็กจะได้รับอาหารที่นำมาบริจาคจากยูเอ็นก่อน
แต่พอเจ้าหน้าที่คล้อยหลัง ผู้หญิงและเด็กก็จะโดนแย่งอาหารไปหมด แทบทุกที่
เกิดเหตุยิงกัน ทุกคนหมอบหาที่หลบกันหมด หาฮีโร่ที่จะไปพาเด็กหลบกระสุนไม่มีหรอกครับ อย่าไปฝัน
สงครามนั้นเป็นความอัปลักษณ์เท่าที่มนุษย์จะสามารถแสดงต่อกันได้
ความโหดร้ายทารุณที่ไม่นึกว่าจะมีมนุษย์คนไหนจะทำกับมนุษย์ด้วยกันก็จะได้เห็นกันในสงครามนี่แหละครับ
2.ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ
ถึงเวลานั้นเศรษฐกิจก็ล่มสลายไปแล้วแน่นอนครับค่าเงินต้องตกต่ำ เงินเฟ้อพุ่ง สินค้ามีราคาแพง หาซื้อได้ยาก
ทรัพย์สินที่มีกันอยู่มูลค่าก็ต้องตกลงมาอย่างแน่นอน ตลาดหุ้นล้มไปทรัพย์สินในรูปของหุ้นก็สูญ
บริษัทห้างร้านต้องปิดตัวลง ทำให้เกิดการว่างงานเป็นจำนวนมาก
ทรัพย์สินในรูปของที่ดินสิ่งปลูกสร้างก็หมดค่าไร้ราคาลง
ยิ่งหากไม่มีกฏหมายรับรองอีกต่อไป โฉนดที่มีก็แค่เศษกระดาษ คนมีอาวุธมีกำลังมากกว่าสามารถยึดครองของคุณได้ตามใจเค้า
ระบบการเงินการธนาคารก็คงล่มสลายเช่นกัน ยิ่งยุคใหม่ไม่มีเงินสดมีแต่พลาสติคใช้ซื้อหาอะไรไม่ได้หรอกครับ
ดีอย่างเดียวก็คือ หนี้สูญไม่ต้องผ่อนกันต่อไป
หากเห็นสถานะการณ์ไม่สู้ดีก็ต้องแปลงทรัพย์สินมาเป็นของมีค่าที่พกพาและนำมาใช้ได้ในภาวะสงคราม เช่นทองคำและเงินตราต่างประเทศกันไว้ครับ
ที่ผมเห็นจากสารคดีบีบีซี เค้าไปติดตามชีวิตของคนซีเรียที่เคยเป็นสถาปนิกใช้ชีวิตหรูหรามีบ้านหลายหลังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง
แต่หลังจากรวบรวมทรัพย์สินพาครอบครัวหนีกว่าจะไปถึงยุโรปก็เหลือแค่กระเป๋าเดินทางคนละใบระเหเร่ร่อนนอนตามสถานีรถไฟกันพ่อแม่ลูก อนาจครับ
ถ้าไม่อยากตกอยู่ในสภาพอย่างนั้นเตรียมตัววางแผนกันไว้ก็ดีครับ อย่าประมาทว่าไกลตัว ไม่น่าจะเกิดขึ้นหรือไปหวังพึ่งส่งศักดิสิทธิให้มากนัก
คือถ้าสิ่งศักดิสิทธิมีจริงก็คงคุ้มครองประเทศเราได้ไม่ตกมาอยู่ในสภาพอย่างที่เห็นนี่หรอกครับ
3.ผมกระทบทางด้านสังคม
ความเกลียดแค้นชิงชังนี่มันเปลี่ยนคนให้โหดร้ายยิ่งกว่าสัตว์ได้ไม่ยากหรอกครับ
ทำคนปกติที่ไม่เคยคิดฆ่าสัตว์ตัดชีวิตกลายเป็นคนโหดที่ฆ่าเพื่อนร่วมชาติฝ่ายตรงข้ามจุดไฟเผาแล้วฉีกเนื้อกินก็มีมาแล้ว
เมื่อมาการใช้กำลังจนมีการสูญเสีย ก็แน่นอนว่าครอบครัวของผู้ที่สูญเสียก็ต้องมีความเคียดแค้นหาทางเอาคืนกันซึ่งแน่นอนว่าจะต้องทำให้มันสะใจรุนแรงกว่าที่โดน แล้วครอบครัวอีกฝ่ายก็จะต้องหาทางมาเอาคืนกันต่อไปเป็นลูกโซ่
สังคมเต็มไปด้วยความหวาดระแวงที่ต้องใช้เวลาเป็นชั่วอายุคนทีเดียวกว่าที่จะทำให้ประชาชนอยู่ร่วมกันอย่างเชื่อใจอีกครั้งนึง
ซึ่งเท่าที่มีมา ไม่เคยมีที่ไหนทำได้สำเร็จเลยซักแห่งมันเป็นแผลเป็นที่สะกิดขึ้นมาทำร้ายกันในสังคมได้เรื่อยๆ
และในทุกสงครามน้อยครอบครัวนักที่จะไม่สูญเสียคนที่รักไปกับภัยสงคราม
อย่าไปคิดฝันเพ้อเจ้อว่าครอบครัวคุณนั้นจะไม่โดน
ต้องทำใจไว้เลยว่าคุณจะต้องสูญเสียสมาชิกในครอบครัวคนที่คุณรักอย่างแน่นอนครับ นี่คือความจริง
โครงสร้างทางสังคมก็จะต้อง ล่มสลายลงแน่นอนไม่มีอะไรเหลือไว้ให้ยึดเหนี่ยวให้อยู่ร่วมกันในสังคมอีกต่อไป
นี่คือผลกระทบที่ผมพอนึกได้ตอนนี้ หากท่านใดไตร่ตรองดูแล้วเห็นผลกระทบด้านอื่นก็มาช่วยกันนำเสนอเตือนสติเพิ่มเติมกันก็ดีนะครับ
ตอนนี้ผมว่ายังไม่สาย และสิ่งที่ผมกล่าวมานี้ ผมไม่ได้จินตนาการมาขู่ขวัญกัน มันเป็นข้อเท็จจริง
ไม่ว่าจะเฉยหรือจะเชียร์จะต้าน ถ้าคิดว่าผลกระทบที่ผมกล่าวมานี้มันน่ากลัวก็ต้องช่วยกันหยุดสงครามกันครับ
การลงมือล้างแค้นเพราะความเกลียดชัง น่ะตัดสินใจได้ชั่วไม่กี่วินาทีเองครับ
ผลกระทบจากสงครามกลางเมืองหากเกิดขึ้นจริง
แต่ไม่ค่อยมีใครวิเคราะห์กันจริงๆจังๆว่าน่าจะเกิดจากอะไรและที่สำคัญคือจะมีผลต่อชีวิตแต่ละคนกันยังไงบ้าง
ส่วนมาก็จะจินตนาการว่ามันจะคล้ายกับซีเรีย รวันดา ตามที่เคยเห็นข่าวกัน
ในส่วนของปมชนวนที่จะทำให้สงครามประทุขึ้นมันก็คงไม่ต่างไปจากทุกสงครามที่มี
นั่นก็คือ เกิดความอยุติธรรม แล้วระบบยุติธรรมไม่สามารถใช้แก้ปัญหาความขัดแย้งได้
ของไทยเราตอนนี้ผมว่าองค์ประกอบมันครบแล้วนะ รอจังหวะกันแค่นั้นเอง
ผมอยากพูดถึงส่วนของผลกระทบมากกว่า เพราะบางทีมัวแต่โกรธเกลียดกันจะเอาชนะกันอย่างเดียวมักจะหน้ามืดไม่ได้สนใจนึกถึงผลที่จะตามมากันเท่าไหร่นัก
หากมานั่งทบทวนกันดีๆแล้วอาจจะทำให้ได้สติยั้งๆเพลามือกันลงมาบ้างก็ได้
ผลกระทบอย่างแรกเลยก็คือเรื่อง
1.ความปลอดภัย
-เมื่อเกิดสงครามรบพุ่งกันจริงๆ ลักษณ์การอยู่อาศัยปะปนกันของประชาชนทั้งสองฝ่าย
ย่อมไม่มีทางจะต่างคนต่างอยู่บ้านใครบ้านมันในซอยเดียวกันได้หรอกครับ
เพื่อความปลอดภัยจะต้องอพยพออกจากถิ่นที่อาศัยหากอยู่ท่ามกลางคนที่เห็นต่าง ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวเดียวกัน เพราะไม่มีทางปิดความลับมิดหรอกครับ ถึงจะเป็นคนรู้จักกัน คนครอบครัวเดียวกัน เวลาเกิดเหตุฉุกเฉินคนเหล่านี้ก็ไม่สามารถปกป้องเราได้
การดำเนินชีวิตจะต้องดำเนินไปด้วยความหวาดระแวงว่าใครพวกไหนไปหมดทุกย่างก้าว
กิจกรรมง่ายๆแค่ไปซื้อกับข้าวมากิน ก็จะต้องกลายเป็นภารกิจเสี่ยงตายรายวัน ดังที่จะเห็นจากสงครามทุกแห่งแหละครับ
แหล่งชุมชน หรือตลาดมักจะตกเป็นเป้าการก่อการร้ายจากฝ่ายตรงข้ามเสมอ
ลูกหลานก็คงไปเรียนกันตามปกติไม่ได้หรอกครับ เพราะเวลาสงครามความเกลียดชังโกรธแค้นมันก็จะเลือกทำร้ายตรงจุดที่เราเจ็บที่สุด
นั่นก็คือคนที่เรารักนั่นแหละ โรงเรียนก็จะกลายเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่ป้องกันรักษาความปลอดภัยได้ยาก
และในสภาวะสงครามนั้นมันก็คือไม่มีการบังคับใช้กฏหมายกันปกติ มันก็คือไม่มีกฏหมายนั่นแหละ
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนอ่อนแอปกป้องตัวเองไม่ได้ก็ต้องตกเป็นเหยื่อ อยากอยู่รอดก็ต้องดิ้นรน หาอาวุธมาป้องกันตัว
และต้องกล้าที่จะใช้มันด้วย
ขู่อย่างเดียวช่วยคุณไม่ได้หรอก สงสัยปุ๊ปจะต้องฆ่าทันที หากลังเลคุณก็จะตกเป็นเหยื่อเสียเอง
สิ่งที่จะมากับสภาพไร้กฏหมายก็คือ โอกาสของมิจฉาชีพครับ หากคุณไม่สามารถปกป้องตัวเองได้แล้วคุณก็ต้องตกเป็นเหยื่อไม่ช้าก็เร็วไม่มีทางหนีพ้น
จากเหตุการณ์จริงที่เป็นตัวอย่างก็คือ ขณะที่สภาพอาหารขาดแคลน ผู้หญฺงและเด็กจะได้รับอาหารที่นำมาบริจาคจากยูเอ็นก่อน
แต่พอเจ้าหน้าที่คล้อยหลัง ผู้หญิงและเด็กก็จะโดนแย่งอาหารไปหมด แทบทุกที่
เกิดเหตุยิงกัน ทุกคนหมอบหาที่หลบกันหมด หาฮีโร่ที่จะไปพาเด็กหลบกระสุนไม่มีหรอกครับ อย่าไปฝัน
สงครามนั้นเป็นความอัปลักษณ์เท่าที่มนุษย์จะสามารถแสดงต่อกันได้
ความโหดร้ายทารุณที่ไม่นึกว่าจะมีมนุษย์คนไหนจะทำกับมนุษย์ด้วยกันก็จะได้เห็นกันในสงครามนี่แหละครับ
2.ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ
ถึงเวลานั้นเศรษฐกิจก็ล่มสลายไปแล้วแน่นอนครับค่าเงินต้องตกต่ำ เงินเฟ้อพุ่ง สินค้ามีราคาแพง หาซื้อได้ยาก
ทรัพย์สินที่มีกันอยู่มูลค่าก็ต้องตกลงมาอย่างแน่นอน ตลาดหุ้นล้มไปทรัพย์สินในรูปของหุ้นก็สูญ
บริษัทห้างร้านต้องปิดตัวลง ทำให้เกิดการว่างงานเป็นจำนวนมาก
ทรัพย์สินในรูปของที่ดินสิ่งปลูกสร้างก็หมดค่าไร้ราคาลง
ยิ่งหากไม่มีกฏหมายรับรองอีกต่อไป โฉนดที่มีก็แค่เศษกระดาษ คนมีอาวุธมีกำลังมากกว่าสามารถยึดครองของคุณได้ตามใจเค้า
ระบบการเงินการธนาคารก็คงล่มสลายเช่นกัน ยิ่งยุคใหม่ไม่มีเงินสดมีแต่พลาสติคใช้ซื้อหาอะไรไม่ได้หรอกครับ
ดีอย่างเดียวก็คือ หนี้สูญไม่ต้องผ่อนกันต่อไป
หากเห็นสถานะการณ์ไม่สู้ดีก็ต้องแปลงทรัพย์สินมาเป็นของมีค่าที่พกพาและนำมาใช้ได้ในภาวะสงคราม เช่นทองคำและเงินตราต่างประเทศกันไว้ครับ
ที่ผมเห็นจากสารคดีบีบีซี เค้าไปติดตามชีวิตของคนซีเรียที่เคยเป็นสถาปนิกใช้ชีวิตหรูหรามีบ้านหลายหลังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง
แต่หลังจากรวบรวมทรัพย์สินพาครอบครัวหนีกว่าจะไปถึงยุโรปก็เหลือแค่กระเป๋าเดินทางคนละใบระเหเร่ร่อนนอนตามสถานีรถไฟกันพ่อแม่ลูก อนาจครับ
ถ้าไม่อยากตกอยู่ในสภาพอย่างนั้นเตรียมตัววางแผนกันไว้ก็ดีครับ อย่าประมาทว่าไกลตัว ไม่น่าจะเกิดขึ้นหรือไปหวังพึ่งส่งศักดิสิทธิให้มากนัก
คือถ้าสิ่งศักดิสิทธิมีจริงก็คงคุ้มครองประเทศเราได้ไม่ตกมาอยู่ในสภาพอย่างที่เห็นนี่หรอกครับ
3.ผมกระทบทางด้านสังคม
ความเกลียดแค้นชิงชังนี่มันเปลี่ยนคนให้โหดร้ายยิ่งกว่าสัตว์ได้ไม่ยากหรอกครับ
ทำคนปกติที่ไม่เคยคิดฆ่าสัตว์ตัดชีวิตกลายเป็นคนโหดที่ฆ่าเพื่อนร่วมชาติฝ่ายตรงข้ามจุดไฟเผาแล้วฉีกเนื้อกินก็มีมาแล้ว
เมื่อมาการใช้กำลังจนมีการสูญเสีย ก็แน่นอนว่าครอบครัวของผู้ที่สูญเสียก็ต้องมีความเคียดแค้นหาทางเอาคืนกันซึ่งแน่นอนว่าจะต้องทำให้มันสะใจรุนแรงกว่าที่โดน แล้วครอบครัวอีกฝ่ายก็จะต้องหาทางมาเอาคืนกันต่อไปเป็นลูกโซ่
สังคมเต็มไปด้วยความหวาดระแวงที่ต้องใช้เวลาเป็นชั่วอายุคนทีเดียวกว่าที่จะทำให้ประชาชนอยู่ร่วมกันอย่างเชื่อใจอีกครั้งนึง
ซึ่งเท่าที่มีมา ไม่เคยมีที่ไหนทำได้สำเร็จเลยซักแห่งมันเป็นแผลเป็นที่สะกิดขึ้นมาทำร้ายกันในสังคมได้เรื่อยๆ
และในทุกสงครามน้อยครอบครัวนักที่จะไม่สูญเสียคนที่รักไปกับภัยสงคราม
อย่าไปคิดฝันเพ้อเจ้อว่าครอบครัวคุณนั้นจะไม่โดน
ต้องทำใจไว้เลยว่าคุณจะต้องสูญเสียสมาชิกในครอบครัวคนที่คุณรักอย่างแน่นอนครับ นี่คือความจริง
โครงสร้างทางสังคมก็จะต้อง ล่มสลายลงแน่นอนไม่มีอะไรเหลือไว้ให้ยึดเหนี่ยวให้อยู่ร่วมกันในสังคมอีกต่อไป
นี่คือผลกระทบที่ผมพอนึกได้ตอนนี้ หากท่านใดไตร่ตรองดูแล้วเห็นผลกระทบด้านอื่นก็มาช่วยกันนำเสนอเตือนสติเพิ่มเติมกันก็ดีนะครับ
ตอนนี้ผมว่ายังไม่สาย และสิ่งที่ผมกล่าวมานี้ ผมไม่ได้จินตนาการมาขู่ขวัญกัน มันเป็นข้อเท็จจริง
ไม่ว่าจะเฉยหรือจะเชียร์จะต้าน ถ้าคิดว่าผลกระทบที่ผมกล่าวมานี้มันน่ากลัวก็ต้องช่วยกันหยุดสงครามกันครับ
การลงมือล้างแค้นเพราะความเกลียดชัง น่ะตัดสินใจได้ชั่วไม่กี่วินาทีเองครับ