วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 01:35 น. ข่าวสดออนไลน์
เปิดปมลึก "วรวิทย์" ลาออมสิน - สังเวยปล่อยกู้ "อินเตอร์แบงก์" ให้ธกส.
ข่าวสด เศรษฐกิจ
คงต้องยอมรับว่าการประกาศลาออกของ นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน สร้างความสั่นสะเทือนให้วงการเงินไม่น้อย
ธนาคารออมสิน ถือเป็นแบงก์รัฐที่ใหญ่เทียบชั้นแบงก์พาณิชย์อันดับท็อปไฟว์เลยทีเดียว
ภาพที่ประชาชนแห่เข้าแถวยาวเหยียดรอถอนเงินธนาคารออมสินเมื่อวันจันทร์ที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา สะท้อนถึงความขัดแย้งที่รุนแรงในสังคม
สิ่งที่เกิดขึ้นกับธนาคารออมสินครั้งนี้ บ่งบอกถึงความไม่พอใจ ไม่เชื่อมั่น ไม่ไว้ใจของประชาชนกลุ่มหนึ่งต่อการที่ธนาคารตัดสินใจปล่อยกู้ระหว่างธนาคาร (อินเตอร์แบงก์) ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
แม้ว่าเป็นธุรกรรมที่คนออมสินรวมถึงนายวรวิทย์เอง บอกว่าไม่ใช่การปล่อยกู้โครงการจำนำข้าวก็ตาม แต่คนภายนอกรวมถึง นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธ.ก.ส. กลับบอกว่าเงินกู้จำนวนนี้สำหรับเตรียมมาจ่ายให้ชาวนาที่รัฐบาลยังติดค้างเงินจำนำข้าว
เงินก้อนแรกธ.ก.ส.เบิกมาจากออมสินตั้งแต่วันที่ 13 ก.พ.2557 จำนวน 5,000 ล้านบาท จากจำนวนทั้งหมด 2 หมื่นล้านบาท โดยธ.ก.ส.เตรียมจ่ายให้กับชาวนา ในวันที่ 17 ก.พ.
พลันที่มีข่าวปูดออกมา พร้อมๆ กับกระแสโซเชี่ยลมีเดียโหมกระหน่ำหลังจากธ.ก.ส.รับเงินมาเพียงแค่วันเดียว จึงเกิดกระแสต่อต้านจากลูกค้าที่แสดงออกด้วยการพากันแห่ไปถอนเงินและปิดบัญชีจากธนาคารออมสิน
น่าสนใจตรงที่ แต่ละรายล้วนเป็นลูกค้าเก่าแก่มีความผูกพันกันมานานบางรายกว่า 50 ปีตั้งแต่เด็กๆ จนเลยวัยเกษียณไปแล้วหลายปี
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น สำหรับนายวรวิทย์เตรียมใจแล้วว่าจะเกิดผลกระทบกับธนาคาร จึงตัดสินใจบินกลับมาจากการไปพักผ่อนที่ฮ่องกงเป็นการด่วน เพื่อเปิดแถลงข่าวในวันอาทิตย์ที่ 16 ก.พ. โดยยืนยันว่าเงินจำนวนนี้ไม่เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล แต่หากมีกระแสแห่ถอนเงินอย่างต่อเนื่องจะหยุดปล่อยกู้ให้ธ.ก.ส.ทันที แต่จะขอเวลาดู 3 วัน
ครั้นเปิดทำการวันแรกในวันที่ 17 ก.พ. ประชาชนที่เป็นลูกค้าธนาคารพากันแห่มาถอนเงินวันเดียว 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่มีคนฝาก 1 หมื่นล้านบาท หรือไหลออก 2 หมื่นล้านบาท สูงกว่าปกติที่หลังวันหยุดยาวเปิดมาจะถอนราว 7,000 ล้านบาท
แม้จะมีความพยายามสร้างกระแสให้กลุ่มธุรกิจและประชาชนมาฝากเงินเช่นเดียวกับทางฝั่งพรรคเพื่อไทยที่ขนระดับแกนนำพรรคอย่าง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย นายโภคิน พลกุล และแกนนำคนอื่นๆ ซึ่งรวมเงินฝากราวๆ 3 ล้านบาทเศษเอามาฝากเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับธนาคารและเพื่อสนับสนุนการปล่อยกู้ให้ชาวนา
แต่นั่นยิ่งเท่ากับเป็นเชื้อไฟให้กลุ่มคนที่ไม่พอใจรัฐบาลแห่ถอนหนักข้อขึ้น ส่งผลให้วันที่ 18 ก.พ.ที่ยังมียอดไหลออกกว่า 2 หมื่นล้านบาท เป็นเหตุให้ที่ประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด)ธนาคารออมสินต้องมีมติหยุดปล่อยกู้และขอเงินคืนจากธ.ก.ส. 5,000 ล้านบาททันควัน
ที่สำคัญนายวรวิทย์ตัดสินใจประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสินหลังจากพูดคุยกับพนักงานที่แต่งชุดดำเรียกร้องกดดัน บอร์ด รวมถึงนาย วรวิทย์ให้รับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เมื่อออมสินใส่เกียร์ถอยทั้งยุติปล่อยกู้ เรียกคืนเงิน 5,000 ล้านบาทจากธ.ก.ส. รวมถึงการลาออกของนาย วรวิทย์ ทำให้ลดกระแสถอนเงินจากออมสินได้มาก จนเกือบเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
ความเคลือบแคลงใจในแวดวงการเงินถึงการปล่อยกู้อินเตอร์แบงก์นั้นเป็นสิ่งที่ตอกย้ำความขัดแย้งทางการเมืองอย่างสุดขั้ว
ทั้งที่จริงๆ แล้วในวงการรู้กันว่า การปล่อยกู้อินเตอร์แบงก์เป็นธุรกรรมปกติ โดยเฉพาะกับธนาคารออมสิน ที่เป็น net depositor มีเงินฝากมากกว่าเงินถอน ประมาณวันละ 1-2 แสนล้านบาท จึงจะต้องพยายามปล่อยกู้ เพื่อปรับสภาพคล่องทำให้บัญชีสมดุล
หากเงินเหลือจำนวนมากต้องไปฝากกับธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งถือเป็นแหล่งฝากสุดท้าย หรือ lender of the last resort นอกจากไม่ได้ดอกเบี้ยเงินฝากแล้ว ยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับแบงก์ชาติด้วย
ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งจึงพยายามปล่อยกู้อินเตอร์แบงก์เพื่อเป็นประโยชน์แก่ธุรกิจของธนาคาร ยิ่งเมื่อมีรัฐบาลค้ำประกันแล้ว เรียกว่า แทบไม่มีความเสี่ยงทางธุรกิจเลย
ในกรณีนี้เช่นกัน หากไม่มีประเด็นการเมืองเข้ามา สร้างกระแส ก็จะถือเป็นเรื่องธรรมดามาก
นอกจากนี้ เมื่อหารือว่า การทำธุรกรรมครั้งนี้ต้องไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้งมาตรา 181 (3) และ (4) การปล่อยกู้แบบอินเตอร์แบงก์จึงเป็นตัวเลือกที่ไม่น่ามีปัญหาอะไร
แต่ความขัดแย้งมาจากคำสัมภาษณ์ของนายวรวิทย์ที่ต้องการเลี่ยงคำว่า โครงการจำนำข้าว เพื่อไม่ให้ถูกต่อต้าน โดยระบุว่าไปช่วยเสริมสภาพคล่องให้ธ.ก.ส. ปรากฏว่าธ.ก.ส. ยืนยันว่าเงินก้อนนี้ไม่เกี่ยวกับธ.ก.ส. เพราะธ.ก.ส.มีสภาพคล่องมากถึง 1.8 แสนล้านบาท ไม่จำเป็นต้องกู้อินเตอร์แบงก์มาเสริมสภาพคล่อง
สุดท้ายออมสินยุติการให้เงินกู้ทั้งหมด ส่วน 5,000 ล้านบาทแรกนั้น ธ.ก.ส. ส่งคืนให้ออมสินทั้งหมด
ขณะเดียวกัน นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง แถลงข่าวในวันเดียวกันว่า มีเงินที่จะนำมาจ่ายจำนำข้าวแล้ว โดยธ.ก.ส.จะใช้เวลา 6-8 สัปดาห์จ่ายให้ชาวนาที่ยังค้างกว่า 1 ล้านราย วงเงิน 1.2 แสนล้านบาทได้หมด
หลังจากข่าวนี้ออกมาเนื้อหาที่ให้สัมภาษณ์ของทั้ง 3 คน ทั้งเรื่องคืนเงินจ่ายจำนำข้าว เงินกู้อินเตอร์แบงก์ ที่ออกจากปาก นายวรวิทย์ นายลักษณ์ นายกิตติรัตน์ กลับขัดแย้งกันเอง ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ยิ่งทำให้ปัญหาเกิดความไม่เชื่อมั่นต่อธนาคารออมสิน ธ.ก.ส.และรัฐบาลเพิ่มขึ้น
ฉะนั้นการลาออกของนายวรวิทย์ ส่วนหนึ่งจากความขัดแย้งในคำพูดของทั้ง 3 คน แต่ละคนล้วนต้องการปัดความรับผิดชอบให้พ้นตัว
การที่นายวรวิทย์ถูกกดดันจากทั้งสองฝ่าย ขณะที่ฝ่ายพนักงานที่เริ่มออกมาก่อตัวไม่เห็นด้วย มีการนำออมสินไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ผสมโรงกับลูกค้ามาถอนเงินอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในกทม.ที่เป็นฐานเงินฝากสำคัญของออมสิน มีสัดส่วนเงินฝากถึง 40% ของเงินฝากทั้งหมด ยังมีการถอนเงินแน่นสาขาติดต่อกันหลายวัน
เช่นเดียวกับพื้นที่ภาคใต้ที่ระดมกันมาถอนเงินกันอย่างคึกคักมีทั้งชาวบ้านทั่วๆ ไปและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหลาย
จากเหตุการณ์นี้ยอดถอนเงินจากออมสินเพียงแค่สัปดาห์เดียวสูงกว่า 1 แสนล้านบาท ส่วนยอดฝากอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท หรือสรุปแล้วเงินไหลออกประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาท
สะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับออมสินครั้งนี้ถือเป็นวิกฤตด้านภาพลักษณ์หนักสุดในรอบ 100 ปีที่ก่อตั้งธนาคารมาเลยทีเดียว
ภาพ : นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU16QTVOREl5TkE9PQ%3D%3D§ionid
เปิดปมลึก "วรวิทย์" ลาออมสิน - สังเวยปล่อยกู้ "อินเตอร์แบงก์" ให้ ธกส.
เปิดปมลึก "วรวิทย์" ลาออมสิน - สังเวยปล่อยกู้ "อินเตอร์แบงก์" ให้ธกส.
ข่าวสด เศรษฐกิจ
คงต้องยอมรับว่าการประกาศลาออกของ นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน สร้างความสั่นสะเทือนให้วงการเงินไม่น้อย
ธนาคารออมสิน ถือเป็นแบงก์รัฐที่ใหญ่เทียบชั้นแบงก์พาณิชย์อันดับท็อปไฟว์เลยทีเดียว
ภาพที่ประชาชนแห่เข้าแถวยาวเหยียดรอถอนเงินธนาคารออมสินเมื่อวันจันทร์ที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา สะท้อนถึงความขัดแย้งที่รุนแรงในสังคม
สิ่งที่เกิดขึ้นกับธนาคารออมสินครั้งนี้ บ่งบอกถึงความไม่พอใจ ไม่เชื่อมั่น ไม่ไว้ใจของประชาชนกลุ่มหนึ่งต่อการที่ธนาคารตัดสินใจปล่อยกู้ระหว่างธนาคาร (อินเตอร์แบงก์) ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
แม้ว่าเป็นธุรกรรมที่คนออมสินรวมถึงนายวรวิทย์เอง บอกว่าไม่ใช่การปล่อยกู้โครงการจำนำข้าวก็ตาม แต่คนภายนอกรวมถึง นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธ.ก.ส. กลับบอกว่าเงินกู้จำนวนนี้สำหรับเตรียมมาจ่ายให้ชาวนาที่รัฐบาลยังติดค้างเงินจำนำข้าว
เงินก้อนแรกธ.ก.ส.เบิกมาจากออมสินตั้งแต่วันที่ 13 ก.พ.2557 จำนวน 5,000 ล้านบาท จากจำนวนทั้งหมด 2 หมื่นล้านบาท โดยธ.ก.ส.เตรียมจ่ายให้กับชาวนา ในวันที่ 17 ก.พ.
พลันที่มีข่าวปูดออกมา พร้อมๆ กับกระแสโซเชี่ยลมีเดียโหมกระหน่ำหลังจากธ.ก.ส.รับเงินมาเพียงแค่วันเดียว จึงเกิดกระแสต่อต้านจากลูกค้าที่แสดงออกด้วยการพากันแห่ไปถอนเงินและปิดบัญชีจากธนาคารออมสิน
น่าสนใจตรงที่ แต่ละรายล้วนเป็นลูกค้าเก่าแก่มีความผูกพันกันมานานบางรายกว่า 50 ปีตั้งแต่เด็กๆ จนเลยวัยเกษียณไปแล้วหลายปี
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น สำหรับนายวรวิทย์เตรียมใจแล้วว่าจะเกิดผลกระทบกับธนาคาร จึงตัดสินใจบินกลับมาจากการไปพักผ่อนที่ฮ่องกงเป็นการด่วน เพื่อเปิดแถลงข่าวในวันอาทิตย์ที่ 16 ก.พ. โดยยืนยันว่าเงินจำนวนนี้ไม่เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล แต่หากมีกระแสแห่ถอนเงินอย่างต่อเนื่องจะหยุดปล่อยกู้ให้ธ.ก.ส.ทันที แต่จะขอเวลาดู 3 วัน
ครั้นเปิดทำการวันแรกในวันที่ 17 ก.พ. ประชาชนที่เป็นลูกค้าธนาคารพากันแห่มาถอนเงินวันเดียว 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่มีคนฝาก 1 หมื่นล้านบาท หรือไหลออก 2 หมื่นล้านบาท สูงกว่าปกติที่หลังวันหยุดยาวเปิดมาจะถอนราว 7,000 ล้านบาท
แม้จะมีความพยายามสร้างกระแสให้กลุ่มธุรกิจและประชาชนมาฝากเงินเช่นเดียวกับทางฝั่งพรรคเพื่อไทยที่ขนระดับแกนนำพรรคอย่าง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย นายโภคิน พลกุล และแกนนำคนอื่นๆ ซึ่งรวมเงินฝากราวๆ 3 ล้านบาทเศษเอามาฝากเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับธนาคารและเพื่อสนับสนุนการปล่อยกู้ให้ชาวนา
แต่นั่นยิ่งเท่ากับเป็นเชื้อไฟให้กลุ่มคนที่ไม่พอใจรัฐบาลแห่ถอนหนักข้อขึ้น ส่งผลให้วันที่ 18 ก.พ.ที่ยังมียอดไหลออกกว่า 2 หมื่นล้านบาท เป็นเหตุให้ที่ประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด)ธนาคารออมสินต้องมีมติหยุดปล่อยกู้และขอเงินคืนจากธ.ก.ส. 5,000 ล้านบาททันควัน
ที่สำคัญนายวรวิทย์ตัดสินใจประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสินหลังจากพูดคุยกับพนักงานที่แต่งชุดดำเรียกร้องกดดัน บอร์ด รวมถึงนาย วรวิทย์ให้รับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เมื่อออมสินใส่เกียร์ถอยทั้งยุติปล่อยกู้ เรียกคืนเงิน 5,000 ล้านบาทจากธ.ก.ส. รวมถึงการลาออกของนาย วรวิทย์ ทำให้ลดกระแสถอนเงินจากออมสินได้มาก จนเกือบเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
ความเคลือบแคลงใจในแวดวงการเงินถึงการปล่อยกู้อินเตอร์แบงก์นั้นเป็นสิ่งที่ตอกย้ำความขัดแย้งทางการเมืองอย่างสุดขั้ว
ทั้งที่จริงๆ แล้วในวงการรู้กันว่า การปล่อยกู้อินเตอร์แบงก์เป็นธุรกรรมปกติ โดยเฉพาะกับธนาคารออมสิน ที่เป็น net depositor มีเงินฝากมากกว่าเงินถอน ประมาณวันละ 1-2 แสนล้านบาท จึงจะต้องพยายามปล่อยกู้ เพื่อปรับสภาพคล่องทำให้บัญชีสมดุล
หากเงินเหลือจำนวนมากต้องไปฝากกับธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งถือเป็นแหล่งฝากสุดท้าย หรือ lender of the last resort นอกจากไม่ได้ดอกเบี้ยเงินฝากแล้ว ยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับแบงก์ชาติด้วย
ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งจึงพยายามปล่อยกู้อินเตอร์แบงก์เพื่อเป็นประโยชน์แก่ธุรกิจของธนาคาร ยิ่งเมื่อมีรัฐบาลค้ำประกันแล้ว เรียกว่า แทบไม่มีความเสี่ยงทางธุรกิจเลย
ในกรณีนี้เช่นกัน หากไม่มีประเด็นการเมืองเข้ามา สร้างกระแส ก็จะถือเป็นเรื่องธรรมดามาก
นอกจากนี้ เมื่อหารือว่า การทำธุรกรรมครั้งนี้ต้องไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้งมาตรา 181 (3) และ (4) การปล่อยกู้แบบอินเตอร์แบงก์จึงเป็นตัวเลือกที่ไม่น่ามีปัญหาอะไร
แต่ความขัดแย้งมาจากคำสัมภาษณ์ของนายวรวิทย์ที่ต้องการเลี่ยงคำว่า โครงการจำนำข้าว เพื่อไม่ให้ถูกต่อต้าน โดยระบุว่าไปช่วยเสริมสภาพคล่องให้ธ.ก.ส. ปรากฏว่าธ.ก.ส. ยืนยันว่าเงินก้อนนี้ไม่เกี่ยวกับธ.ก.ส. เพราะธ.ก.ส.มีสภาพคล่องมากถึง 1.8 แสนล้านบาท ไม่จำเป็นต้องกู้อินเตอร์แบงก์มาเสริมสภาพคล่อง
สุดท้ายออมสินยุติการให้เงินกู้ทั้งหมด ส่วน 5,000 ล้านบาทแรกนั้น ธ.ก.ส. ส่งคืนให้ออมสินทั้งหมด
ขณะเดียวกัน นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง แถลงข่าวในวันเดียวกันว่า มีเงินที่จะนำมาจ่ายจำนำข้าวแล้ว โดยธ.ก.ส.จะใช้เวลา 6-8 สัปดาห์จ่ายให้ชาวนาที่ยังค้างกว่า 1 ล้านราย วงเงิน 1.2 แสนล้านบาทได้หมด
หลังจากข่าวนี้ออกมาเนื้อหาที่ให้สัมภาษณ์ของทั้ง 3 คน ทั้งเรื่องคืนเงินจ่ายจำนำข้าว เงินกู้อินเตอร์แบงก์ ที่ออกจากปาก นายวรวิทย์ นายลักษณ์ นายกิตติรัตน์ กลับขัดแย้งกันเอง ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ยิ่งทำให้ปัญหาเกิดความไม่เชื่อมั่นต่อธนาคารออมสิน ธ.ก.ส.และรัฐบาลเพิ่มขึ้น
ฉะนั้นการลาออกของนายวรวิทย์ ส่วนหนึ่งจากความขัดแย้งในคำพูดของทั้ง 3 คน แต่ละคนล้วนต้องการปัดความรับผิดชอบให้พ้นตัว
การที่นายวรวิทย์ถูกกดดันจากทั้งสองฝ่าย ขณะที่ฝ่ายพนักงานที่เริ่มออกมาก่อตัวไม่เห็นด้วย มีการนำออมสินไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ผสมโรงกับลูกค้ามาถอนเงินอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในกทม.ที่เป็นฐานเงินฝากสำคัญของออมสิน มีสัดส่วนเงินฝากถึง 40% ของเงินฝากทั้งหมด ยังมีการถอนเงินแน่นสาขาติดต่อกันหลายวัน
เช่นเดียวกับพื้นที่ภาคใต้ที่ระดมกันมาถอนเงินกันอย่างคึกคักมีทั้งชาวบ้านทั่วๆ ไปและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหลาย
จากเหตุการณ์นี้ยอดถอนเงินจากออมสินเพียงแค่สัปดาห์เดียวสูงกว่า 1 แสนล้านบาท ส่วนยอดฝากอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท หรือสรุปแล้วเงินไหลออกประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาท
สะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับออมสินครั้งนี้ถือเป็นวิกฤตด้านภาพลักษณ์หนักสุดในรอบ 100 ปีที่ก่อตั้งธนาคารมาเลยทีเดียว
ภาพ : นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU16QTVOREl5TkE9PQ%3D%3D§ionid