คงไม่ต้อง"ตีอกชกหัว" กันแล้ว เพราะเป็นที่รู้กันทั่วแผ่นดินว่า คำตัดสินที่ออกมามีอะไรเป็นแรงจูงใจพิเศษ แต่อยากจะให้ลองค้นหา"สิ่งแปลกปลอม" ของเนื้อหาทางกฎหมายที่ผิดเพี้ยนไปจากที่ควรเป็น อาจจะไม่เจาะในทุกข้อ แต่ในภาพรวมทั้ง 9 ข้อที่ปรากฎ ถ้าอยู่ในวิสัยปกติใครได้เห็นผลการตัดสินต้องนึกว่า ทนายฝ่ายจำเลยช่าง"ละอ่อน" เหลือเกิน
ลองมาดูเนื้อในกันครับ
1. ห้ามสลายการชุมนุม....ข้อนี้ไม่เป็นไรเพราะ ศรส.มีเจตนาตั้งแต่ต้นแล้วที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสีย แต่ฟังเหตุผลที่ห้ามสะลายแล้วรู้สึกมวนในท้องจนอยากจะอาเจียนมา "เนื่องจากเป็นการชุมนุมโดยสงบตามคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ"
2. ห้ามยึด อายัดสินค้าอุปโภค บริโภค ของผู้ชุมนุม ข้อนี้เข้าใจได้เพราะคงเกรงว่าฝ่าย ศรส. จะใช้เป็นช่องทางตัดกำลังการส่งเสบียง
3. ห้ามจำเลย ตรวจค้น รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของผู้ชุมนุม...ข้อนี้ศาลใช้สิทธิ์ตามกฎหมายเรื่องใด มาตราใด การตรวจค้นเป็นอำนาจตามกฎหมายที่มีอยู่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่แล้ว ศาลแพ่งมีอำนาจตามกฎหมายใดที่จะเปลี่ยนแปลงอำนาจที่มีอยู่และปฏิบัติได้ตามกฎหมาย เพราะอำนาจการตรวจค้นดังกล่าวเป็น Authority ไม่ใช่ Power
...5. ห้ามจำเลยปิดการจราจรเส้นทางคมนาคม....ข้อนี้ก็เช่นเดียวกัน เป็นการก้าวก่ายงานในหน้าที่ของฝ่านอื่นอย่างชัดเจน ถ้าเป็นเช่นนี้ ประเทศไทยขอให้มีเพียงศาลแพ่งอย่างเดียว ก็บริหารประเทศแบบเบ็ดเสร็จเลยดีไหม
6. ห้ามจำเลยสั่งห้ามชุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป....ข้อนี้ไปห้ามเขาได้อย่างไร ไม่อายบ้างหรือเวลาอ่านคำตัดสิน ก็เขามีการประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินอยู่ แล้วในเนื้อหาขอบข่ายกฎหมายมีระบุไว้เช่นนั้น คุณไม่ได้สั่งยกเลิก พรก. แต่สั่งห้ามไม่ให้มีการปฏิบัติตามเนื้อหา งั้นก็เท่ากับแก้กฎหมายในเนื้อหาของ พรก. ไปแล้ว...ถามหน่อยเหอะ "คุณศาล" คุณมีอำนาจหรือเปล่า
7. ห้ามจำเลยสั่งห้ามใช้เส้นทางคมนาคม ตามที่จำเลยกำหนดไว้ในประกาศ....ข้อนี้ ก็เช่นเดียวกับข้อ 6. บวกกับ ข้อ 5.
8. ห้ามจำเลยสั่งผู้ชุมนุมห้ามใช้อาคาร....ข้อนี้ O.k. ไม่มีใครก้าวล่วงห้ามใช้อาคารของใครได้ แต่เข้าใจว่าคุณ "หมกเม็ด" เจตนาให้ผู้ถูกห้ามเข้าใจเป็นอย่างอื่นไปด้วย เพราะคำสั่งนี้ผู้ชุมนุมต้องไม่มีสิทธิ์ที่จะบุกยึดอาคารของผู้อื่นได้ ดังนั้น ศรส. ย่อมมีอำนาจเต็มที่จะป้องกันการเข้าใช้อาคารของผู้อื่น ส่วนราชการอื่น
9. ห้ามจำเลยมีคำสั่งห้ามบุคคลเข้าและออกพื้นที่การชุมนุม....อาจใช้เรื่องเสรีภาพของบุคคลในการเดินทางตามรัฐธรรมนูญมาอ้าง ก็ไม่เป็นไร แต่บุคคลเหล่านั้นอย่าทำผิกกฎหมายก็แล้วกัน ทำผิดเมื่อไหร่ ไม่ต้องห้ามเข้า หรือ ออก แต่จับตัวไปขังได้ เพราะการจับไม่ใช่การห้ามแต่อย่างใด
แล้วศาลแพ่ง แท้จริงแล้ว เป็น ใคร มีขอบเจตอำนาจอย่างไร
ศาลแพ่ง เป็นศาลยุติธรรมชั้นต้น มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง....ดังนั้น จะมองประเด็นของการคุ้มครอง ดูแล สิทธิของส่วนบุคคลเป็นหลัก การพิจารณาจึงแยกส่วนออกจากเรื่องราวของภาครัฐ หรือ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความผิดทางอาญาของแผ่นดิน ดังนั้น คำตัดสินที่เราได้เห็นจึงต้องมีความเข้าใจและที่มาประกอบด้วย มิเช่นนั้น อาจมีการ "หมกเม็ด" คำตัดสิน เพื่อละไว้ฐานเข้าใจได้เอง (แต่เฉพาะเขาเท่านั้น)
เขียนไปก็เหนื่อย เหนื่อยมือไม่เท่าไหร่ แต่เหนื่อยใจมากกว่า เพราะสังคมใดที่ความยุติธรรมไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้แล้ว ย่อมมีแต่ความวุ่นวาย
.(แก้คำผิด จัดระบบ)
9 ข้อห้ามของศาลแพ่ง : เราเห็นอะไรบ้าง
ลองมาดูเนื้อในกันครับ
1. ห้ามสลายการชุมนุม....ข้อนี้ไม่เป็นไรเพราะ ศรส.มีเจตนาตั้งแต่ต้นแล้วที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสีย แต่ฟังเหตุผลที่ห้ามสะลายแล้วรู้สึกมวนในท้องจนอยากจะอาเจียนมา "เนื่องจากเป็นการชุมนุมโดยสงบตามคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ"
2. ห้ามยึด อายัดสินค้าอุปโภค บริโภค ของผู้ชุมนุม ข้อนี้เข้าใจได้เพราะคงเกรงว่าฝ่าย ศรส. จะใช้เป็นช่องทางตัดกำลังการส่งเสบียง
3. ห้ามจำเลย ตรวจค้น รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของผู้ชุมนุม...ข้อนี้ศาลใช้สิทธิ์ตามกฎหมายเรื่องใด มาตราใด การตรวจค้นเป็นอำนาจตามกฎหมายที่มีอยู่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่แล้ว ศาลแพ่งมีอำนาจตามกฎหมายใดที่จะเปลี่ยนแปลงอำนาจที่มีอยู่และปฏิบัติได้ตามกฎหมาย เพราะอำนาจการตรวจค้นดังกล่าวเป็น Authority ไม่ใช่ Power
...5. ห้ามจำเลยปิดการจราจรเส้นทางคมนาคม....ข้อนี้ก็เช่นเดียวกัน เป็นการก้าวก่ายงานในหน้าที่ของฝ่านอื่นอย่างชัดเจน ถ้าเป็นเช่นนี้ ประเทศไทยขอให้มีเพียงศาลแพ่งอย่างเดียว ก็บริหารประเทศแบบเบ็ดเสร็จเลยดีไหม
6. ห้ามจำเลยสั่งห้ามชุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป....ข้อนี้ไปห้ามเขาได้อย่างไร ไม่อายบ้างหรือเวลาอ่านคำตัดสิน ก็เขามีการประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินอยู่ แล้วในเนื้อหาขอบข่ายกฎหมายมีระบุไว้เช่นนั้น คุณไม่ได้สั่งยกเลิก พรก. แต่สั่งห้ามไม่ให้มีการปฏิบัติตามเนื้อหา งั้นก็เท่ากับแก้กฎหมายในเนื้อหาของ พรก. ไปแล้ว...ถามหน่อยเหอะ "คุณศาล" คุณมีอำนาจหรือเปล่า
7. ห้ามจำเลยสั่งห้ามใช้เส้นทางคมนาคม ตามที่จำเลยกำหนดไว้ในประกาศ....ข้อนี้ ก็เช่นเดียวกับข้อ 6. บวกกับ ข้อ 5.
8. ห้ามจำเลยสั่งผู้ชุมนุมห้ามใช้อาคาร....ข้อนี้ O.k. ไม่มีใครก้าวล่วงห้ามใช้อาคารของใครได้ แต่เข้าใจว่าคุณ "หมกเม็ด" เจตนาให้ผู้ถูกห้ามเข้าใจเป็นอย่างอื่นไปด้วย เพราะคำสั่งนี้ผู้ชุมนุมต้องไม่มีสิทธิ์ที่จะบุกยึดอาคารของผู้อื่นได้ ดังนั้น ศรส. ย่อมมีอำนาจเต็มที่จะป้องกันการเข้าใช้อาคารของผู้อื่น ส่วนราชการอื่น
9. ห้ามจำเลยมีคำสั่งห้ามบุคคลเข้าและออกพื้นที่การชุมนุม....อาจใช้เรื่องเสรีภาพของบุคคลในการเดินทางตามรัฐธรรมนูญมาอ้าง ก็ไม่เป็นไร แต่บุคคลเหล่านั้นอย่าทำผิกกฎหมายก็แล้วกัน ทำผิดเมื่อไหร่ ไม่ต้องห้ามเข้า หรือ ออก แต่จับตัวไปขังได้ เพราะการจับไม่ใช่การห้ามแต่อย่างใด
แล้วศาลแพ่ง แท้จริงแล้ว เป็น ใคร มีขอบเจตอำนาจอย่างไร
ศาลแพ่ง เป็นศาลยุติธรรมชั้นต้น มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง....ดังนั้น จะมองประเด็นของการคุ้มครอง ดูแล สิทธิของส่วนบุคคลเป็นหลัก การพิจารณาจึงแยกส่วนออกจากเรื่องราวของภาครัฐ หรือ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความผิดทางอาญาของแผ่นดิน ดังนั้น คำตัดสินที่เราได้เห็นจึงต้องมีความเข้าใจและที่มาประกอบด้วย มิเช่นนั้น อาจมีการ "หมกเม็ด" คำตัดสิน เพื่อละไว้ฐานเข้าใจได้เอง (แต่เฉพาะเขาเท่านั้น)
เขียนไปก็เหนื่อย เหนื่อยมือไม่เท่าไหร่ แต่เหนื่อยใจมากกว่า เพราะสังคมใดที่ความยุติธรรมไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้แล้ว ย่อมมีแต่ความวุ่นวาย
.(แก้คำผิด จัดระบบ)