'Munich 1972' A History of Violence
ความรุนแรงเพื่อแย่งชิงบ้านหลังใหญ่เกินตัว
Munich (2005)
Genre: Spy, Drama, History, Thriller
Director: Steven Spielberg
book "Vengeance: The True Story of an Israeli Counter-Terrorist Team": George Jonas
Screenplay: Tony Kushner, Eric Roth
จุดเริ่มต้นของสงครามยืดเยื้อยาวนานระหว่าง 'อิสราเอล' กับ 'ปาเลสไตน์' คงไม่สามารถย้อนไปถึงความเป็น 'เจ้าของดินแดน' มาก่อน มิเช่นนั้นวุ่นวายกันตายเลยครับ ปาเลสไตน์ก็อ้างว่าตรงนี้ที่ของตัวเอง ชาติอาหรับก็หนุนหลังไม่ยอมรับมติสหประชาชาติที่จะให้อิสราเอลเป็นประเทศเกิดใหม่ ฝ่ายอิสราเอลก็อ้างได้อีกว่าย้อนไปสมัยโบราณที่ตรงนี้เป็นของตัวเอง ต่างคนต่างอ้างยังไงมันก็ไม่จบไม่สิ้น
ปัญหามันจึงอยู่ที่ว่าเมื่อไรจะถึงจุดที่ 'win-win' ต่างฝ่ายต่างพอใจสัดส่วนของตัวเอง ซึ่งมันก็ดูจะเป็น 'โลกในอุดมคติ' มากเกินไป ดังนั้นปัญหานี้อย่างไรก็เรื้อรังยาวนานแน่นอนครับ ถึงอิสราเอลปราบปาเลสไตน์ได้แน่นอนว่าก็ยังมีชาติอาหรับคอยเบียดเบียนอยู่อีกแน่นอน
ก่อนจะอ่านรีวิวหนังชิ้นนี้ ผมแนะนำให้คุณอ่านเหตุการณ์จริงคร่าว ๆ ก่อนนะครับ จะได้อรรถรสในการรับชมมากขึ้นเยอะแน่นอนครับ ('สังหารหมู่มิวนิค' โอลิมปิค, มิวนิค 1972 โดยกลุ่ม Black September:
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ผมขอบรรยายเหตุการณ์ 'สังหารหมู่มิวนิค' โอลิมปิค, มิวนิค 1972 โดยกลุ่ม Black September:
- ตี 4 ครึ่งของวันที่ 5 กันยายน 1972 ผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์ 8 คนได้แอบปีนรั้วเข้ามาในหมู่บ้านนักกีฬาโอลิมปิค โดยได้รับความช่วยเหลือจากนักกีฬาอเมริกันกลุ่มหนึ่งที่เข้าใจว่าเป็นพวกหนีเที่ยวกลางคืนเหมือนกัน
- Yossef Gutfreund ตื่นขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงคนงัดห้อง เมื่อเขาเดินไปดูก็พบว่ากลุ่มคนใส่หน้ากากพร้อมถือปืนอาก้ากำลังเปิดประตูเข้ามา ด้วยสัญชาตญาณเขาจึงใช้ร่างกายกำยำพุ่งยันประตู (เขาหนัก 135 กิโลกรัม) และเปิดโอกาสให้ Tuvia Sokolovsky ใช้เก้าอี้พังกระจกหนีออกไปได้
- Moshe Weinberg ได้พยายามต่อสู้กับคนร้าย จึงถูกยิง 1 นัดเข้าที่แก้ม
- ผู้ก่อการร้ายได้บังคับตัวประกันเดินไปขังรวมในห้องเดียวกัน ระหว่างทางเดิน Gad Tsobari ได้ซัดคนร้ายกระเด็น เปิดโอกาสให้ตัวเองและ Yossef Romano วิ่งหนีไปคนละทาง ในจังหวะเดียวกันนั้น Moshe Weinberg ได้ซัดคนร้ายลงไปกองกับพื้นก่อนจะถูกยิงเสียชีวิต
- Gad Tsobari หนีไปทางลานจอดรถ เขารอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้
- ขณะหลบหนี Yossef Romano ได้เกิดเปลี่ยนใจหันกลับไปช่วยเพื่อน เขาใช้มีดปอกผลไม้แทงหน้าผากคนร้ายเสียชีวิต 1 คน ก่อนจะถูกยิงเสียชีวิต
- Moshe Weinberg และ Yossef Romano เสียชีวิตในขณะเกิดเหตุ
- ผู้ก่อการร้าย 8 คนควบคุมตัวประกันชาวอิสราเอล 9 คน
ข้อเรียกร้อง:
- ผู้ก่อการร้ายได้เรียกร้องให้ปล่อยตัวนักโทษปาเลสไตน์ 234 คนและนักโทษชาวเยอรมัน 2 คนในคุกอิสราเอล
- ผู้ก่อการร้ายโยนศพของ Moshe Weinberg ลงจากระเบียง
- อิสราเอลยืนยันเด็ดขาดว่าไม่เจรจาใด ๆ กับผู้ก่อการร้าย เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต (หากยอมทำตามข้อเรียกร้องจะเป็นการส่งสาส์นว่า 'ทำแล้วได้ผล' ดังนั้นนโยบายของหลาย ๆ ประเทศจึงไม่เจรจากับผู้ก่อการร้ายโดยเด็ดขาด เช่นประเทศไทยสังหารกลุ่ม God Army ในเหตุการณ์ยึดโรงพยาบาลราชบุรี หรือเหตุการณ์บุกจับตัวประกันที่โรงงานแยกก๊าซในแอลจีเรีย)
- เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงของมิวนิคและรัฐมนตรีแห่งบาวาเรียได้ยื่นข้อเสนอเงินไม่จำกัดจำนวนเพื่อแลกกับชีวิตตัวประกันทั้งหมด
- ผู้ก่อการร้ายตอบว่า "money means nothing to us; our lives mean nothing to us." (เงินไม่มีความหมายสำหรับเรา ชีวิตก็ไม่มีความกับเราเช่นกัน)
- ทางการเยอรมันตอบรับข้อเรียกร้องของผู้ก่อการร้ายที่ขอเครื่องบินสำหรับเดินทางพร้อมตัวประกันไปกรุงไคโร ประเทศอียิปต์
- อิสราเอลยินยอมให้ส่งตัวประกันไปประเทศอาหรับด้วยเงื่อนไขว่าให้เยอรมันและอียิปต์รับรองความปลอดภัยของตัวประกัน
ปฏิบัติการณ์ช่วยเหลือตัวประกันล้มเหลว:
- เยอรมันปฏิเสธข้อเสนอของอิสราเอลที่จะใช้ส่งหน่วย 'Israeli security forces' มาช่วยเหลือปฏิบัติการณ์ช่วยชีวิตตัวประกัน (เยอรมันตอนนั้นเหมือนกับเหตุการณ์ที่แอลจีเรียเป๊ะ รู้ว่าตัวเองมือไม่ถึงแต่ก็ยังปฏิเสธความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างประเทศที่มีความชำนาญ)
- ความอ่อนหัดของทางการเยอรมันเกิดขึ้นตั้งแต่ปล่อยให้นักข่าวถ่ายภาพหน่วยแม่นปืนในชุดนักกีฬาที่ซุ่มบนดาดฟ้าตึกออกอากาศทางโทรทัศน์ ทั้งที่รู้ว่าผู้ก่อการร้ายสามารถติดตามความเคลื่อนไหวทางโทรทัศน์ได้!
- ทางการเยอรมันต้องยกเลิกภารกิจทั้งหมดรอบหอพักเพราะความสะเพร่าอย่างร้ายแรง!
- เยอรมันจัดเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ พร้อมนักบิน 4 คนลำเลียงผู้ก่อการร้ายและตัวประกันจากหอพักนักกีฬามุ่งหน้าไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบิน
- เยอรมันวางแผนจู่โจมผู้ก่อการร้ายที่สนามบิน
แผนที่ควรจะเป็น:
1. ตำรวจเยอรมัน 5-6 คนปลอมตัวเป็นนักบินจัดการสังหารผู้ก่อการร้ายที่จะขึ้นมาตรวจสอบเครื่องบิน
2. เปิดสปอร์ตไลท์ไฟแรงสูงส่องไปที่ลานบิน เพื่อช่วยชี้เป้าคนร้าย และทำให้คนร้ายบางส่วนตาพร่า
3. พลแม่นปืนที่ซุ่มตามดาดฟ้าตึกสื่อสารกันล็อคเป้าหมาย 1 ต่อ 1 คน (หรือ 2 ต่อ 1 คนก็ยังได้)
แผนการล้มเหลวที่แสดงให้เห็นถึงความห่วยแตกของเยอรมัน:
1. ตำรวจเยอรมัน 5-6 คนโหวตถอนตัวจากเครื่องบิน โดยไม่แจ้งส่วนกลาง!!
2. ใช้พลแม่นปืนเพียง 5 คน!!! เพื่อจัดการผู้ก่อการร้าย 8 คน!! และทั้ง 5 คนไม่ได้รับการฝึกฝนแต่อย่างใด พวกเขาถูกเลือกมาจากการแข่งขันยิงปืนในวันหยุด!!
3. พลแม่นปืนขาดการฝึกฝน
4. พลแม่นปืนไม่มีอาวุธพิเศษ อย่างเช่นปืนไรเฟิลจู่โจม G3 ที่เป็นอาวุธพื้นฐานของ 'German Armed Forces'
5. พลแม่นปืนให้สัมภาษณ์ถึงความล้มเหลวว่า "เขาไม่ใช่พลแม่นปืน" (I am not a sharpshooter.)
6. พลแม่นปืน 1 คนถูกผู้ก่อการร้ายยิงเสียชีวิต
7. พวกเขาสังหารผู้ก่อการร้ายในที่เกิดเหตุได้เพียงแค่ 4 จาก 8 คน
8. ผู้ก่อการร้าย 1 คนหลบหนีออกจากที่เกิดเหตุไปได้ 40 นาทีก่อนจะถูกจับตาย
9. ผู้ก่อการร้าย 3 คนถูกจับเป็นและถูกปล่อยตัวกลับลิเบีย!!! (29 ตุลาคม กลุ่มก่อการร้ายได้จี้เครื่องบิน Lufthansa เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ก่อร้าย 3 คนนี้ และเยอรมันยอมรับข้อตกลงทันที!!!!)
การสังหารหมู่:
- ผู้ก่อการร้ายที่หลบใต้เฮลิคอปเตอร์ ได้กลิ้งตัวออกมากราดยิงใส่ Ze'ev Friedman, David Berger, Yakov Springer และ Eliezer Halfin จากนั้นโยนระเบิดมือซ้ำจนเกิดระเบิดรุนแรง
- ผู้ก่อร้ายอีกคนกราดยิงตัวประกัน 5 คนบนเฮลิคอปเตอร์อีกลำ ได้แก่ Yossef Gutfreund, Kehat Shorr, Mark Slavin, Andre Spitzer และ Amitzur Shapira
- ตัวประกันชาวอิสราเอลทั้งหมด 11 คนถูกสังหาร (9 คนที่สนามบิน และ 2 คนในหอพักนักกีฬา)
ความต่ำช้า:
- เยอรมันส่งศพผู้ก่อการร้าย 5 ศพกลับลิเบีย ซึ่งได้จัดพิธีศพดั่งวีรบุรุษ โดยมีกองทหารเกียรติยศเต็มอัตรา!! (they received heroes' funerals and were buried with full military honors.)
- ผู้ก่อการร้ายที่ได้รับการปล่อยตัวให้สัมภาษณ์ถึง 'การสังหารหมู่มิวนิค' ว่า "เราทำให้คนทั้งโลกหันมาฟังเรา"
การตอบโต้
- อิสราเอลส่งเครื่องบินรบทิ้งระเบิดใส่ฐาน PLO ( Palestine Liberation Organization หรือองค์กรปลดปล่อยปาเลสไตน์) จำนวน 10 ฐานในซีเรียและเลบานอน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 200 คน
- MOSSAD (หน่วยข่าวกรองและปฏิบัติการพิเศษของอิสราเอล) จัดตั้งภารกิจ 'Wrath of God' (ความแค้นเคืองของพระเจ้า) เพื่อตามสังหาร 11 ผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่ม 'Black September'
เชิงอรรถ:
- อ้างอิงจาก Munich massacre: http://en.wikipedia.org/wiki/Munich_massacre
- ภาพจากนิตยสาร LIFE เผยแพร่สู่สาธารณะเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 1972
- เหตุการณ์สังหารตัวประกัน 2 คนในหอพักนักกีฬา ระหว่างในหนังกับในวิกิพีเดียไม่ตรงกัน ผมบรรยายตามในหนังนะครับ
*****เปิดเผยเนื้อหาเกือบทั้งเรื่อง*****
Munich เปิดหนังด้วยการสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูโดยใช้ 'การจำลองเหตุการณ์จริง' แทรกด้วย 'ฟุตเทจภาพข่าวเหตุการณ์จริง' ซึ่งขอบอกเลยว่าแค่เปิดหนังมาก็ฉุดอารมณ์คนดูอย่างผมให้จมดิ่งไปกับหนังได้แล้ว
จากนั้นหนังก็พาเราไปรู้จักทีมตามสังหารกลุ่ม Black September
1. 'อาฟเนอร์' (Eric Bana) ทหารลูกครึ่งอิสราเอล-เยอรมัน อดีตทหารทำงานอารักขานายกรัฐมนตรีต้องกลายมาเป็นหัวหน้าทีมภารกิจลับ
2. 'สตีฟ' (Daniel Craig) สมาชิกจากแอฟริกาใต้ ทำหน้าที่เป็นคนขับรถสำหรับการหลบหนี
3. 'คาร์ล' (Ciarán Hinds) ทำหน้าที่คอยเก็บกวาดหลักฐานหลังภารกิจ
4. 'โรเบิร์ต' (Mathieu Kassovitz) จากคนกู้ระเบิดที่ชอบประดิษฐ์ของเล่นกลายมาเป็นคนทำระเบิด
5. และ 'ฮานส์' (Hanns Zischler) ทำหน้าที่ปลอมแปลงเอกสาร
ภารกิจของพวกเขาจะปฏิบัติเหมือนพวกเขาเป็น 'ผู้ก่อการร้าย' ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้นกับอิสราเอล สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือ 'สังหารเป้าหมาย' ตามคำสั่งเท่านั้น พวกเขามีอุดมการณ์ที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้บริสุทธิ์และผู้ไม่เกี่ยวข้อง เมื่อพวกเขาได้รายชื่อเป้าหมายมาจาก 'มอสสาด' พวกเขาก็ต้องสืบหาที่อยู่ของเป้าหมายเองด้วย ซึ่งตรงนี้หนังไม่ได้ให้ความสำคัญกับการหาที่อยู่สักเท่าไร ซึ่งไม่ใช่ปัญหาของหนังแต่อย่างใดครับ
ภารกิจแรกในกรุงโรม การสังหาร 'Wael Zwaiter' นักเขียนนิยายชาวปาเลสไตน์ เป็นภารกิจง่ายที่สุดของพวกเขาแล้ว นี่คือเป้าหมายรายแรกที่ยังไม่มีการระวังตัว หลังจากสะกดรอยตามเป้าหมายจนถึงที่พัก 'อาฟเนอร์' ได้ถามชื่อเป้าหมายด้วยน้ำเสียงที่สั่น ตะกุกตะกัก เขาถามคำถามเดิมซ้ำแม้เป้าหมายจะให้คำตอบแล้ว เขามีความลังเลอย่างมากซึ่งแสดงออกถึงความไม่เป็นมืออาชีพ มือที่สั่นเทาถือปืนเล็งไปยังเป้าหมาย แต่เป็น 'โรเบิร์ต' ที่ลั่นกระสุนสังหารก่อนที่ทั้งคู่จะกระหน่ำยิงปืนพกเข้าใส่เป้าหมาย
ภารกิจแรกจบลงด้วยความร้อนรน พวกเขาภูมิใจกับภารกิจที่ลุล่วงด้วยดีแม้ว่าจะใช้งบสูงกว่าที่คิด 'อาฟเนอร์' เริ่มคิดได้ว่าการใช้ปืน 'ไม่สร้างความสนใจ' และไม่ให้ความรู้สึก 'ข่มขู่' เมื่อเทียบกับการใช้ระเบิด ดังนั้นภารกิจที่สองของพวกเขาจึงเริ่มใช้ระเบิด
'อาฟเนอร์' เริ่มติดต่อกับ 'หลุยส์' (Mathieu Amalric) คนขายข้อมูลโดยตรง เขาเป็นใครเราไม่อาจทราบได้ เขาหาข้อมูลจากไหนเราก็ไม่ทราบ นอกจากตั้งข้อสงสัยว่าหน่วยงานของเขาอาจจะเป็นคนป้อนข้อมูลให้ หรือ CIA อาจจะเป็นคนป้อนข้อมูลให้ทีมของอาฟเนอร์กำจัดเป้าหมายได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามเขาคือคนขายข้อมูลด้วยข้อแม้ว่าต้องไม่ทำงานให้กับรัฐบาลใด ๆ ในโลกนี้ นั่นคือ 'อาฟเนอร์' กำลังโกหก 'หลุยส์'
มีต่อจ้า
[สปอยล์] 'Munich 1972' A History of Violence: ความรุนแรงเพื่อแย่งชิงบ้านหลังใหญ่เกินตัว
ความรุนแรงเพื่อแย่งชิงบ้านหลังใหญ่เกินตัว
Munich (2005)
Genre: Spy, Drama, History, Thriller
Director: Steven Spielberg
book "Vengeance: The True Story of an Israeli Counter-Terrorist Team": George Jonas
Screenplay: Tony Kushner, Eric Roth
จุดเริ่มต้นของสงครามยืดเยื้อยาวนานระหว่าง 'อิสราเอล' กับ 'ปาเลสไตน์' คงไม่สามารถย้อนไปถึงความเป็น 'เจ้าของดินแดน' มาก่อน มิเช่นนั้นวุ่นวายกันตายเลยครับ ปาเลสไตน์ก็อ้างว่าตรงนี้ที่ของตัวเอง ชาติอาหรับก็หนุนหลังไม่ยอมรับมติสหประชาชาติที่จะให้อิสราเอลเป็นประเทศเกิดใหม่ ฝ่ายอิสราเอลก็อ้างได้อีกว่าย้อนไปสมัยโบราณที่ตรงนี้เป็นของตัวเอง ต่างคนต่างอ้างยังไงมันก็ไม่จบไม่สิ้น
ปัญหามันจึงอยู่ที่ว่าเมื่อไรจะถึงจุดที่ 'win-win' ต่างฝ่ายต่างพอใจสัดส่วนของตัวเอง ซึ่งมันก็ดูจะเป็น 'โลกในอุดมคติ' มากเกินไป ดังนั้นปัญหานี้อย่างไรก็เรื้อรังยาวนานแน่นอนครับ ถึงอิสราเอลปราบปาเลสไตน์ได้แน่นอนว่าก็ยังมีชาติอาหรับคอยเบียดเบียนอยู่อีกแน่นอน
ก่อนจะอ่านรีวิวหนังชิ้นนี้ ผมแนะนำให้คุณอ่านเหตุการณ์จริงคร่าว ๆ ก่อนนะครับ จะได้อรรถรสในการรับชมมากขึ้นเยอะแน่นอนครับ ('สังหารหมู่มิวนิค' โอลิมปิค, มิวนิค 1972 โดยกลุ่ม Black September:
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
*****เปิดเผยเนื้อหาเกือบทั้งเรื่อง*****
Munich เปิดหนังด้วยการสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูโดยใช้ 'การจำลองเหตุการณ์จริง' แทรกด้วย 'ฟุตเทจภาพข่าวเหตุการณ์จริง' ซึ่งขอบอกเลยว่าแค่เปิดหนังมาก็ฉุดอารมณ์คนดูอย่างผมให้จมดิ่งไปกับหนังได้แล้ว
จากนั้นหนังก็พาเราไปรู้จักทีมตามสังหารกลุ่ม Black September
1. 'อาฟเนอร์' (Eric Bana) ทหารลูกครึ่งอิสราเอล-เยอรมัน อดีตทหารทำงานอารักขานายกรัฐมนตรีต้องกลายมาเป็นหัวหน้าทีมภารกิจลับ
2. 'สตีฟ' (Daniel Craig) สมาชิกจากแอฟริกาใต้ ทำหน้าที่เป็นคนขับรถสำหรับการหลบหนี
3. 'คาร์ล' (Ciarán Hinds) ทำหน้าที่คอยเก็บกวาดหลักฐานหลังภารกิจ
4. 'โรเบิร์ต' (Mathieu Kassovitz) จากคนกู้ระเบิดที่ชอบประดิษฐ์ของเล่นกลายมาเป็นคนทำระเบิด
5. และ 'ฮานส์' (Hanns Zischler) ทำหน้าที่ปลอมแปลงเอกสาร
ภารกิจของพวกเขาจะปฏิบัติเหมือนพวกเขาเป็น 'ผู้ก่อการร้าย' ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้นกับอิสราเอล สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือ 'สังหารเป้าหมาย' ตามคำสั่งเท่านั้น พวกเขามีอุดมการณ์ที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้บริสุทธิ์และผู้ไม่เกี่ยวข้อง เมื่อพวกเขาได้รายชื่อเป้าหมายมาจาก 'มอสสาด' พวกเขาก็ต้องสืบหาที่อยู่ของเป้าหมายเองด้วย ซึ่งตรงนี้หนังไม่ได้ให้ความสำคัญกับการหาที่อยู่สักเท่าไร ซึ่งไม่ใช่ปัญหาของหนังแต่อย่างใดครับ
ภารกิจแรกในกรุงโรม การสังหาร 'Wael Zwaiter' นักเขียนนิยายชาวปาเลสไตน์ เป็นภารกิจง่ายที่สุดของพวกเขาแล้ว นี่คือเป้าหมายรายแรกที่ยังไม่มีการระวังตัว หลังจากสะกดรอยตามเป้าหมายจนถึงที่พัก 'อาฟเนอร์' ได้ถามชื่อเป้าหมายด้วยน้ำเสียงที่สั่น ตะกุกตะกัก เขาถามคำถามเดิมซ้ำแม้เป้าหมายจะให้คำตอบแล้ว เขามีความลังเลอย่างมากซึ่งแสดงออกถึงความไม่เป็นมืออาชีพ มือที่สั่นเทาถือปืนเล็งไปยังเป้าหมาย แต่เป็น 'โรเบิร์ต' ที่ลั่นกระสุนสังหารก่อนที่ทั้งคู่จะกระหน่ำยิงปืนพกเข้าใส่เป้าหมาย
ภารกิจแรกจบลงด้วยความร้อนรน พวกเขาภูมิใจกับภารกิจที่ลุล่วงด้วยดีแม้ว่าจะใช้งบสูงกว่าที่คิด 'อาฟเนอร์' เริ่มคิดได้ว่าการใช้ปืน 'ไม่สร้างความสนใจ' และไม่ให้ความรู้สึก 'ข่มขู่' เมื่อเทียบกับการใช้ระเบิด ดังนั้นภารกิจที่สองของพวกเขาจึงเริ่มใช้ระเบิด
'อาฟเนอร์' เริ่มติดต่อกับ 'หลุยส์' (Mathieu Amalric) คนขายข้อมูลโดยตรง เขาเป็นใครเราไม่อาจทราบได้ เขาหาข้อมูลจากไหนเราก็ไม่ทราบ นอกจากตั้งข้อสงสัยว่าหน่วยงานของเขาอาจจะเป็นคนป้อนข้อมูลให้ หรือ CIA อาจจะเป็นคนป้อนข้อมูลให้ทีมของอาฟเนอร์กำจัดเป้าหมายได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามเขาคือคนขายข้อมูลด้วยข้อแม้ว่าต้องไม่ทำงานให้กับรัฐบาลใด ๆ ในโลกนี้ นั่นคือ 'อาฟเนอร์' กำลังโกหก 'หลุยส์'
มีต่อจ้า