ยอมรับว่าตัวเองออกจากบ้านต่างจังหวัดมาเรียนจนถึงทำงานในกรุงเทพตั้งแต่อายุ 14-15 ทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยจะได้โทรคุยกับแม่สักเท่าไหร่เพราะคิดว่าคุยกันก็มีแต่เรื่องเดิมๆ กว่าจะได้กลับบ้านแต่ละทีก็แค่ช่วงเทศกาลปีหนึ่งก็ 3-4 ครั้งแค่นั้นเอง พอดีมีโอกาสไปดูหนังเรื่องนี้กับคนรู้ใจซึ่งปกติผมชอบไปดูหนังรักอยู่แล้ว กะว่าไปไปอินกับคู่พระเอกนางเอกซะหน่อยเพราะว่าชอบน้องเต้ยเอามากๆ
แต่พอดูจบแล้วความรู้สึกที่ได้กลับมามันกลายเป็นเรื่องของความผูกพันระหว่างแม่กับลูกไปซะนี่ หลายสิ่งหลายอย่างในหนังเรื่องนี้ตรงกับชีวิตจริงของผมมากไม่ว่าการอยากออกเผชิญโลกภายนอกของหนุ่มวัยรุ่น การออกมาเจอสังคมใหม่ๆในกรุงเทพ ในตอนนั้นมันเป็นความรู้สึกที่เป็นความต้องการของเราฝ่ายเดียวซึ่งพ่อแม่ก็ไม่เคยขัดอะไร และเราเองก็ไม่เคยคิดมองย้อนกลับไปถึงพ่อกับแม่ด้วยว่าจะต้องยากลำบากยังไงในการส่งเรามาเรียนในกรุงเทพ แต่พอดูเรื่องนี้จบแค่นั้นแหละน้ำตาแห่งความรักพ่อแม่ไม่รู้พรั่งพรูมาจากไหน มันอินมากกว่าเรื่องของนางเอกกับพระเอกซะอีก(ซึ่งก็อินอยู่แล้วนะ)
ถ้ามองกลับไปแล้วในสมัย 20 ปีที่แล้วครอบครัวผมก็ไม่ได้มีฐานะดีอะไร แต่ต้องส่งเงินให้ลูกเรียนเมืองหลวงซึ่งมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เราเองก็เป็นวัยรุ่นเห็นเพื่อนมีอะไรก็อยากมีตามเหมือนพระเอกของเรื่องไม่มีผิด อยากลองทำอะไรหลายๆอย่างแบบที่เด็กบ้านนอกไม่เคยทำ บางเดือนเงินที่พ่อแม่ส่งมาให้ไม่พอใช้ ต้องขอเพิ่มอยู่บ่อยๆ แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยปริปากบ่น จนสุดท้ายแม่ผมเองต้องยอมตัดใจขายที่ดินบางส่วนเพื่อส่งผมเรียน(อันนี้ดูหนังซึ้งมาก)ซึ่งตอนนั้นเราเองก็ไม่ได้คิดเลย เพราะคิดเพียงแค่ว่ายังไงที่ดินตรงนั้นวันหนึ่งก็ต้องตกเป็นของเราอยู่ดีจะขายตอนไหนก็ไม่ต่างอะไรกัน แม่พยายามให้ผมดูสมุดบัญชีในแต่ละปีที่ส่งผมเรียนเพื่อให้รู้ว่าต้องใช้เงินไปเท่าไหร่บ้าง ในบางครั้งผมก็คิดได้แต่หลายต่อหลายครั้งสังคมก็ทำให้เราลืมตรงนั้นไปเสียสนิท ถึงแม้ตอนนี้เวลามันจะผ่านไปหลายปีแล้วผมก็ไม่เคยคิดว่าพ่อแม่จะต้องลำบากขนาดไหนที่ส่งผมให้เรียนจนจบมาได้ทุกวันนี้ ยิ่งถ้าถามถึงตอนนั้นว่าเรื่องความฝันเหรอ? ไม่มีหรอก เรียนไปงั้นๆให้มันจบไปสอบอะไรติดก็เรียนๆไป แต่ผมก็ยังมีส่วนดีอยู่คือเรียนจนจบให้พ่อแม่ได้ดีใจกับเค้าบ้าง พอถึงวัยทำงาน ตั้งแต่เริ่มทำงานจนทุกวันนี้พ่อกับแม่ก็ไม่เคยเอ่ยปากขอเงินผมใช้แม้แต่ครั้งเดียว มีแต่ผมเองที่เวลาขัดสนก็ยังไปหยิบยืมท่านมาบ้างทั้งๆที่เงินเดือนตัวเองตอนนี้ไม่ใช่น้อยๆ ก็ยังใช้จ่ายตามที่ตัวเองอยากจะใช้ อยากหาความสุขให้ตัวเองไปวันๆโดยไม่ได้คิดวางแผนอะไรไว้เลย
แต่หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว มันทำให้ผมคิดย้อนกลับไป 20 กว่าปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ นั่งคิดทุกเรื่อง ทุกตอนที่เราลำบาก ก็มักจะวิ่งไปให้พ่อกับเเม่คอยช่วยเหลือ ตอนนั้นหวังว่าแค่ตัวเองจะดีขึ้นสบายขึ้น แต่ตอนนี้มันคิดได้ว่าการที่เรามีชีวิตที่สุขสบายอย่างทุกวันนี้พ่อแม่เขาต้องลำบากขนาดไหน ที่ผ่านมาน้อยครั้งที่เราจะคิดถึงตรงนั้น หรือบางทีก็คิดแบบผ่านๆ จริงๆแล้วพระเอกเรื่องนี้ยังโชคดีที่มีโอกาสได้รับรู้และปรับปรุงตัวเองได้เร็วกว่าผม ได้เข้าใจถึงความยากลำบากของคนเป็นแม่ที่พยายามทำให้เราอยู่อย่างสุขสบาย แต่อย่างน้อยผมก็ยังโชคดีที่ได้ดูหนังเรื่องนี้และทำให้ผมยังคิดได้ว่าถึงเวลาซะทีที่ผมต้องมีฝันเป็นของตัวเอง มีเป้าหมายแน่นอนในชีวิต ไม่ใช่สนุกไปวันๆแบบนี้ ทำให้ผมอยากกอดพ่อแม่ทุกๆวัน อยากโทรหาแม่ทุกๆวัน แม้มันจะเป็นการคุยแค่เรื่องเดิม ตอบคำถามเดิมๆ เพราะผมรู้แล้วว่าความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่รอคอยจะได้รู้ความเป็นไปของลูกตัวเองนั้นมันเป็นยังไง ผมคงต้องทำให้พวกท่านมีความสุขบ้างเท่าที่ผมจะทำได้ ถึงแม้มันจะตอบแทนที่พวกท่านทำให้ผมมาได้ไม่ทั้งหมดก็ตาม ผมก็จะเริ่มต้นทำตั้งแต่วันนี้
ขอบคุณหนังเรื่องนี้จริงๆ ถึงมันจะไม่ได้เป็นหนังรักที่ดีมากมายสำหรับหลายๆคน แต่มันก็มีอีกมุมหนึ่งของหนังที่อาจจะเปลี่ยนชีวิตคนๆหนึ่งที่เคยมองข้ามและละเลยสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวซึ่งเป็นสำคัญที่สุดในชีวิตไปนานให้ได้หันกลับไปมองมันอย่างตั้งใจจริงเสียที
ก็คงเป็นอย่างที่เขาบอกไว้แหละครับ ว่าใครจะอินกับหนังเรื่องนี้ในแบบไหนขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคนที่เจอมาจริงๆ
เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง
ปล.อาจจะเขียนวกวนไปบ้างไม่ว่ากันนะครับ
Timeline ไม่ได้เป็นหนังรักที่ดีมาก แต่เป็นหนังที่ทำให้ผมเริ่มคิดเปลี่ยนแปลงตัวเองได้(Spoil นิดหน่อย)
ยอมรับว่าตัวเองออกจากบ้านต่างจังหวัดมาเรียนจนถึงทำงานในกรุงเทพตั้งแต่อายุ 14-15 ทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยจะได้โทรคุยกับแม่สักเท่าไหร่เพราะคิดว่าคุยกันก็มีแต่เรื่องเดิมๆ กว่าจะได้กลับบ้านแต่ละทีก็แค่ช่วงเทศกาลปีหนึ่งก็ 3-4 ครั้งแค่นั้นเอง พอดีมีโอกาสไปดูหนังเรื่องนี้กับคนรู้ใจซึ่งปกติผมชอบไปดูหนังรักอยู่แล้ว กะว่าไปไปอินกับคู่พระเอกนางเอกซะหน่อยเพราะว่าชอบน้องเต้ยเอามากๆ
แต่พอดูจบแล้วความรู้สึกที่ได้กลับมามันกลายเป็นเรื่องของความผูกพันระหว่างแม่กับลูกไปซะนี่ หลายสิ่งหลายอย่างในหนังเรื่องนี้ตรงกับชีวิตจริงของผมมากไม่ว่าการอยากออกเผชิญโลกภายนอกของหนุ่มวัยรุ่น การออกมาเจอสังคมใหม่ๆในกรุงเทพ ในตอนนั้นมันเป็นความรู้สึกที่เป็นความต้องการของเราฝ่ายเดียวซึ่งพ่อแม่ก็ไม่เคยขัดอะไร และเราเองก็ไม่เคยคิดมองย้อนกลับไปถึงพ่อกับแม่ด้วยว่าจะต้องยากลำบากยังไงในการส่งเรามาเรียนในกรุงเทพ แต่พอดูเรื่องนี้จบแค่นั้นแหละน้ำตาแห่งความรักพ่อแม่ไม่รู้พรั่งพรูมาจากไหน มันอินมากกว่าเรื่องของนางเอกกับพระเอกซะอีก(ซึ่งก็อินอยู่แล้วนะ)
ถ้ามองกลับไปแล้วในสมัย 20 ปีที่แล้วครอบครัวผมก็ไม่ได้มีฐานะดีอะไร แต่ต้องส่งเงินให้ลูกเรียนเมืองหลวงซึ่งมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เราเองก็เป็นวัยรุ่นเห็นเพื่อนมีอะไรก็อยากมีตามเหมือนพระเอกของเรื่องไม่มีผิด อยากลองทำอะไรหลายๆอย่างแบบที่เด็กบ้านนอกไม่เคยทำ บางเดือนเงินที่พ่อแม่ส่งมาให้ไม่พอใช้ ต้องขอเพิ่มอยู่บ่อยๆ แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยปริปากบ่น จนสุดท้ายแม่ผมเองต้องยอมตัดใจขายที่ดินบางส่วนเพื่อส่งผมเรียน(อันนี้ดูหนังซึ้งมาก)ซึ่งตอนนั้นเราเองก็ไม่ได้คิดเลย เพราะคิดเพียงแค่ว่ายังไงที่ดินตรงนั้นวันหนึ่งก็ต้องตกเป็นของเราอยู่ดีจะขายตอนไหนก็ไม่ต่างอะไรกัน แม่พยายามให้ผมดูสมุดบัญชีในแต่ละปีที่ส่งผมเรียนเพื่อให้รู้ว่าต้องใช้เงินไปเท่าไหร่บ้าง ในบางครั้งผมก็คิดได้แต่หลายต่อหลายครั้งสังคมก็ทำให้เราลืมตรงนั้นไปเสียสนิท ถึงแม้ตอนนี้เวลามันจะผ่านไปหลายปีแล้วผมก็ไม่เคยคิดว่าพ่อแม่จะต้องลำบากขนาดไหนที่ส่งผมให้เรียนจนจบมาได้ทุกวันนี้ ยิ่งถ้าถามถึงตอนนั้นว่าเรื่องความฝันเหรอ? ไม่มีหรอก เรียนไปงั้นๆให้มันจบไปสอบอะไรติดก็เรียนๆไป แต่ผมก็ยังมีส่วนดีอยู่คือเรียนจนจบให้พ่อแม่ได้ดีใจกับเค้าบ้าง พอถึงวัยทำงาน ตั้งแต่เริ่มทำงานจนทุกวันนี้พ่อกับแม่ก็ไม่เคยเอ่ยปากขอเงินผมใช้แม้แต่ครั้งเดียว มีแต่ผมเองที่เวลาขัดสนก็ยังไปหยิบยืมท่านมาบ้างทั้งๆที่เงินเดือนตัวเองตอนนี้ไม่ใช่น้อยๆ ก็ยังใช้จ่ายตามที่ตัวเองอยากจะใช้ อยากหาความสุขให้ตัวเองไปวันๆโดยไม่ได้คิดวางแผนอะไรไว้เลย
แต่หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว มันทำให้ผมคิดย้อนกลับไป 20 กว่าปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ นั่งคิดทุกเรื่อง ทุกตอนที่เราลำบาก ก็มักจะวิ่งไปให้พ่อกับเเม่คอยช่วยเหลือ ตอนนั้นหวังว่าแค่ตัวเองจะดีขึ้นสบายขึ้น แต่ตอนนี้มันคิดได้ว่าการที่เรามีชีวิตที่สุขสบายอย่างทุกวันนี้พ่อแม่เขาต้องลำบากขนาดไหน ที่ผ่านมาน้อยครั้งที่เราจะคิดถึงตรงนั้น หรือบางทีก็คิดแบบผ่านๆ จริงๆแล้วพระเอกเรื่องนี้ยังโชคดีที่มีโอกาสได้รับรู้และปรับปรุงตัวเองได้เร็วกว่าผม ได้เข้าใจถึงความยากลำบากของคนเป็นแม่ที่พยายามทำให้เราอยู่อย่างสุขสบาย แต่อย่างน้อยผมก็ยังโชคดีที่ได้ดูหนังเรื่องนี้และทำให้ผมยังคิดได้ว่าถึงเวลาซะทีที่ผมต้องมีฝันเป็นของตัวเอง มีเป้าหมายแน่นอนในชีวิต ไม่ใช่สนุกไปวันๆแบบนี้ ทำให้ผมอยากกอดพ่อแม่ทุกๆวัน อยากโทรหาแม่ทุกๆวัน แม้มันจะเป็นการคุยแค่เรื่องเดิม ตอบคำถามเดิมๆ เพราะผมรู้แล้วว่าความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่รอคอยจะได้รู้ความเป็นไปของลูกตัวเองนั้นมันเป็นยังไง ผมคงต้องทำให้พวกท่านมีความสุขบ้างเท่าที่ผมจะทำได้ ถึงแม้มันจะตอบแทนที่พวกท่านทำให้ผมมาได้ไม่ทั้งหมดก็ตาม ผมก็จะเริ่มต้นทำตั้งแต่วันนี้
ขอบคุณหนังเรื่องนี้จริงๆ ถึงมันจะไม่ได้เป็นหนังรักที่ดีมากมายสำหรับหลายๆคน แต่มันก็มีอีกมุมหนึ่งของหนังที่อาจจะเปลี่ยนชีวิตคนๆหนึ่งที่เคยมองข้ามและละเลยสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวซึ่งเป็นสำคัญที่สุดในชีวิตไปนานให้ได้หันกลับไปมองมันอย่างตั้งใจจริงเสียที
ก็คงเป็นอย่างที่เขาบอกไว้แหละครับ ว่าใครจะอินกับหนังเรื่องนี้ในแบบไหนขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคนที่เจอมาจริงๆ
เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง
ปล.อาจจะเขียนวกวนไปบ้างไม่ว่ากันนะครับ