แชร์ประสบการณ์ 10ปีหลังจากเรียนจบเกิดอะไรชึ้นกับชีวิตคุณบ้าง

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่ะ เราอยากขอแชร์ประสบการณ์ 10ปีหลังจากเรียนจบเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตคุณบ้างนะคะ(ของเราอาจจะแค่ 9 ปี แต่ยาวหน่อยนะคะ) นี่เป็นประสบการณ์ของเรา แล้วประสบการณ์ของคุณล่ะเป็นยังไง มาเล่าให้ฟังบ้างนะคะ เผื่อเราจะได้เอาไปปรับใช้บ้างค่ะ
          
           หลังจากที่เรียนจบมหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่ง หางานอยู่3-4เดือน สัมภาษณ์มาหลายที่โดนหลอกก็แล้วอะไรก็แล้ว ก็ได้มาทำงานประจำแบบงงๆ เราได้มาทำงานออแกไนซ์ ตำแหน่งที่เราทำคือ จีบี (เจนเนอรัล เบ๊) ทำมันทุกอย่างตั้งแต่ประชุมกับลูกค้า ช่วยคิดงาน เตรียมงาน หาพริตตี้ เอ็มซี สตาฟ ยกของ ขายของ ทำพรีเซ้น เซ็ทงาน เขียนสคริป บรีฟงาน บรีฟสคริปดารา นักร้อง ศิลปิน รันคิวงานทั้งหมด เก็บงาน ทั้งหมดจริงๆยกเว้นแค่ขายงานเท่านั้น งานเหนื่อยงานหนักแทบไม่เคยหยุดเคยลาถ้าไม่จำเป็น บางงานไม่ได้นอน2วันติดๆ บางวันทำงานเช้าต่อด้วยงานเย็นแล้วต่องานเช้าอีกวันนึง วันที่คนทั่วไปหยุดอย่าหวังว่าจะได้หยุด เพราะวันหยุดของท่านคืองานของเรา เบื้องหลังงานรื่นเริงที่คนทั่วไปได้ไปเที่ยวกันในวันหยุด มันคือวันทำงานของเรา โดนแม่บ่นประจำว่าเทศกาลไม่เคยว่างกลับมาบ้านเลยนะ ต้องอธิบายอยู่นานกว่าแม่จะเข้าใจว่างานเราเป็นแบบนี้ แต่สิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจในวันที่เหนื่อยสุดๆคือผู้ชาย...  เพราะเราทำงานด้วยกัน เหนื่อยก็เหนื่อยด้วยกัน ความเห็นไม่ตรงกันก็เถียงกันให้จบก่อนเข้าบ้าน ก็ต้องขอบคุณที่ทำงานนี้นะที่ทำให้มีผู้ชายเป็นของตัวเอง^^
          
          วันนึงก็มีเหตุทำให้เรากับแฟนตัดสินใจทำในสิ่งที่เคยคิดแต่ไม่อยากทำ นั่นคือการเดินออกมาจากที่ทำงานที่คุ้นเคยกันมาถึง 7 ปี เจ้านายที่ให้โอกาสเรา และเพื่อนๆน้องๆร่วมงานที่สนิทกันเหมือนพี่น้องจริงๆ เพราะคนหนึ่งคนที่เรารู้สึกว่าชั้นจะไม่ทนกับเธออีกแล้ว สิ่งที่เธอทำกับชั้นมันมากเกินไปแล้ว ชั้นทนอยู่ร่วมกับเธอไม่ได้อีกแล้ว พอกันที เรารู้ว่าอีคนแบบนี้ที่ไหนก็มี อีคนที่โกงกิน คิดว่าตำแหน่งใหญ่โตแล้วมาบีบให้เราทำนั่นทำนี่ตามคำสั่ง สั่งให้ทำก็ต้องทำอำนาจบาตรใหญ่ ก่อนที่เธอเข้ามาเราทำงานกันอย่างมีความสุขมาตลอด5ปีไม่ว่าจะเหนื่อยขนาดไหนก็ช่วยๆกัน พี่ๆน้องๆกันทั้งนั้น พอเธอเข้ามาเธอไม่ถูกใจใครก็หาเรื่องแกล้ง ใครทำงานได้ก็โดนทำตลอดไม่มีพัก ใครทำไม่เป็นเธอก็ไม่ให้โอกาสเค้า หลังจากที่ต้องอดทนกับคนแบบนี้มา2ปีจนถึงวันที่ฟิวส์ขาด เราก็ตัดสินใจทิ้งทุกสิ่งอย่าง เดินออกมาเดี๋ยวนั้น เก็บกระเป๋าขับรถกลับบ้านนอกกันสองคน ด้วยเงินติดตัว 900 บาท เราไม่มีเงินเก็บ  ไม่มีเลยจริงๆ เงินเดือนก็แสนจะน้อยนิดสตาร์ทที่7,500 7ปีผ่านไปยัง 14,000 อยู่เลย โชคยังดีวันนั้นยังถูกหวยได้ตังอีก 2000 หอบจิตใจที่บอบช้ำพร้อมกับว่าที่หนี้ก้อนโต น้องทองรถยนต์ที่เพิ่งออกได้ไม่นานกลับมาบ้านนอก ที่จริงๆแล้วก็ไม่ได้อยากออกเลย แต่บริษัทย้ายไปไกลมาก ถ้านั่งแท๊กซี่ไปกลับนี่ต้องมีวันละ500-600 รถเมล์ไม่ต้องพูดถึงทำงานไม่เป็นเวลาหมดสิทธิ์นั่งอยู่แล้ว จริงๆจะอยู่กรุงเทพต่อก็ได้แต่เราไม่อยากอยู่เพราะรู้ว่าเจ้านายต้องมาตามเพราะเราสองคนเป็นเฮดหลักในการทำงาน แต่เราสองคนไม่สามารถกลับไปทำงานร่วมกับคนๆนั้นได้จริงๆแค่หน้าก็ไม่อยากเห็น ชื่อก็ไม่อยากได้ยิน เราไม่อยากให้เจ้านายเราลำบากใจเลยตัดสินใจไปดีกว่า มันไม่ใช่การตัดสินใจชั่ววูบนะ เพราะเราสองคนคุยกันมาตลอดว่าชั้นจะไม่ไหวแล้วนะ จนวันนั้นมันมาถึง เราก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของเราทั้งคู่
          
          จริงๆเราก็อยากทำธุรกิจเล็กๆของเราเองอยู่แล้วด้วย ก็เลยเริ่มจากการต้มน้ำขายในตลาดนัดข้างบ้าน น้ำเก๊กฮวย มะตูม ลำไย มะพร้าว ฯลฯ ลงทุนไม่เยอะขายง่ายแก้วละ 10 บาท พอขายได้ประมาณเดือนนึง เราก็เริ่มแตกเป็น 2 สาย คนนึงขายตลาดนัด อีกคนเอาไปตั้งขายที่สวนสาธารณะ ก็ขายดีขึ้นเรื่อยๆ เราก็ถือว่าเรายังโชคดีที่มีพี่ร้านข้างๆซึ่งขายยำคอยแนะนำเคล็ดลับนิดๆหน่อยๆให้เรามาตลอด จนวันนึงพี่ยำก็แนะนำว่า หน้าหมู่บ้านเราไม่มีร้านขายหมูย่างนะ ทำเป็นมั๊ยลองทำขายดูสิจะได้เพิ่มรายได้ตอนเช้า เราก็คิดว่ามันน่าสนใจ ค่าที่ก็ไม่เสีย เราก็เลยหาสูตรจากในอินเตอร์เน็ต แล้วเอามาปรับเป็นสูตรของเรา ลองเริ่มขายก็ขายดีจากขายวันละ 2 กก. เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ เป็น 4 กก. เพิ่มไก่อีกวันละ 2 กก. มีลูกค้าประจำในเวลา 2 เดือน แต่เราก็เริ่มนึกถึงหน้าฝนว่าถ้าฝนตกขึ้นมาเราจะขายยังไง เพราะเรามีแค่โต๊ะกับเตาย่าง
          
           ก็เลยลองหาที่ไปเรื่อยๆ ไปเจออยู่ที่นึงหน้ามหาวิทยาลัย ค่าที่ไม่แพงมาก มันเป็นร้านแบบเปิด คนเก่าเค้าขายพวกกาแฟ ตอนนั้นจะขายอะไรยังไม่รู้รู้แค่ชอบที่นี่ และของที่ขายจะต้องเป็นของกิน เพราะนักศึกษาน่าจะเยอะ แฟนบอกว่าแกหมักหมูอร่อยนะ ลองทำสเต็คมั๊ย เราก็เลยลองหาสูตรสเต็คมาทำกิน ก็ยังรู้สึกว่าเฉยๆ เราก็เลยคิดสูตรเอง ปรากฏว่าอร่อย (แฟนบอกว่าชั้ันไม่คิดว่าแกจะทำอาหารอร่อยขนาดนี้ คือเมื่อก่อนใช้ชีวิตในเมืองไม่ค่อยได้ทำกับข้าวกินเอง ซื้อตลอด แค่ทำงานกลับมาถึงบ้านก็เหนื่อยจะแย่แล้ว) เราก็เลยตัดสินใจจะเปิดร้านสเต็คกับกาแฟ ปัญหาเราคือเงินทุน ทั้งเนื้อทั้งตัวมีไม่ถึงหมื่น แต่เราก็มีผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการคือพี่สาวกับพี่เขย ได้ให้ยืมเงินมาก้อนนึง เราก็เลยได้เริ่มทำร้าน พอทำร้านใกล้จะเสร็จอยู่แล้ว จะเปิดในอีก 2 วันข้างหน้า เราก็ต้องกรี๊ดดดด...เพราะพายุเข้า กิ่งไม้หักลงมาฟาดหลังคาพังไปแถบนึง เรานี่ไม่ต้องสืบเลย น้ำตาแตกไม่คิดชีวิต คือเงินที่ยืมมามันค่อนข้างพอดี พอทำร้านไปงบก็บานอีก แล้วเราก็ไม่มีเงินที่จะทำหลังคาขึ้นมาใหม่ ก็ได้ผู้มีอุปการะคุณท่านเดิมนี่แหละคอยช่วย ร้านเลยเปิดขึ้นมาได้
          
            ตอนเปิดร้านใหม่ๆ มีปัญหาเยอะมาก เรายังกะปริมาณลูกค้าไม่ถูก หมักหมูไป 2 กก. แต่ขายได้ 1 กก. แต่วันนั้นดันขายไก่กับปลาดี แต่ถ้าหมักน้อยจะหมักเพิ่มมันก็จะไม่เข้าเนื้อ ช่วงแรกๆ นี่ถ้าอะไรขายไม่ค่อยออกต้องเอามาทำกินเอง ก็ค่อยๆปรับมาเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็ไม่มีเวลาอีกเลย ตื่นมาก็ทำงานเลย ปิดร้านก็อาบน้ำนอนเลย ไม่เคยได้ไปไหน จะปิดร้านก็เสียดายเงิน เหนื่อยมว๊ากกกก...แต่เรามีความสุขมากนะ เราทำร้านกับแฟน2คน ไม่มีคนช่วย เหนื่อยก็เหนื่อยด้วยกัน อยู่ด้วยกัน24ชม.เลยก็ว่าได้ มันเลยเหมือนมีกำลังใจ ยิ่งเฉพาะเวลาที่ลูกค้ากินอาหารที่เราทำ เราชอบแอบดูสีหน้าลูกค้านะ ถ้าลูกค้ากินน่าอร่อยท่าทางมีความสุข มีแอบขอชิมของเพื่อนหรือสั่งเพิ่ม นั่นแหละกำลังใจเต็มร้อยเลย ทำให้ขาดใจดิ้น เราได้เจอลูกค้าน่ารักๆเยอะเลยนะที่นี่ ทั้งน้องคนสวยที่สั่งเมนูข้าวหมูจิ้มแจ่วกินทุกวันที่เธอมาเรียน น้องมหากับโอลีฟที่มาขอเป็นแฟนกันที่ร้าน น้องเวสป้าเด็กแนวที่มาทะเลาะกันร้องไห้จนทิชชูหมด พี่ป.โทที่สั่งครั้งละ 10-20 กล่องเอาไปฝากคนที่บ้าน แก๊งค์น้องแฟนแก่ที่มาทีร้านแทบแตกชีเม้ามอยกันมันส์มาก แก๊งน้องกอไก่ที่แทบจะปิดร้านหลังจากน้องเดินออกไปเพราะน้องสั่งเยอะมาก เจ๊พรชัยที่สั่งกาแฟกับสเต็คเลี้ยงลูกน้องเป็นประจำ อาจารย์ชอปเปอร์ที่ต้องสั่งสเต็คเนื้อกับกาแฟสดทุกครั้ง 4สาวเกริ์ลแก๊งที่ติดใจปีกไก่นิวออลีน  ฯลฯ มีอีกเยอะจริงๆประทับใจลูกค้าหลายคนมากนี่แค่ยกตัวอย่างนะ
            
           ช่วงแรกๆเปิดร้านไปก็เครียดไป หงุดหงิดทุกวันว่าเงินจะพอผ่อนรถมั๊ย ค่าน้ำมันรถ ค่าโทรศัพท์ที่เป็นรายเดือนอีก ค่าผ่อนคอนโดที่กทม.อีก ฯลฯ เราก็นั่งคุยกันว่า เราจะมานั่งเครียดกับภาระพวกนี้ทำไม ในเมื่อเราตัดสินใจแล้วก็ปล่อยวางซะ สรุป เราก็เอารถยนต์ไปคืนออกมอเตอร์ไซค์มาใช้ เปลี่ยนโทรศัพท์เป็นเติมเงิน คอนโดก็สละไป ก็เครียดกับหนี้ที่จะตามมาเหมือนกันนะ แต่เราว่ามันโอเคดี โล่งขึ้นเยอะเลย เราต้องรู้จักปล่อยในเวลาที่ต้องปล่อย รั้งไว้มันเสียเวลา เสียใจ เจ็บมือด้วย^^
            
            และเนื่องจากร้านเราอยู่หน้ามหาวิทยาลัย พอช่วงปิดเทอมก็คิดว่าต้องหารายได้เพิ่ม เลยทำข้าวแกงตอนเช้าด้วย จากปกติที่ต้องตื่น 6 โมงเช้าเตรียมของเปิดร้าน 9 โมงเช้า ปิดร้าน 2 ทุ่ม เก็บร้านเสร็จก็ประมาณ 4 ทุ่ม ต้องเปลี่ยนมาเป็น ตื่นตี 3 ครึ่ง เปิดร้าน 6 โมงเช้า ปิดร้าน 2 ทุ่ม เก็บเสร็จ 4 ทุ่ม เหนื่อยมว๊ากกกกกก.... อยู่มาวันนึงเราก็นึกถึงคำพูดของพี่ยำว่า ถ้าเรามีลูกค้าเท่าเดิมก็ขายเท่าเดิม อย่าขายมากขึ้นเราจะเหนื่อยเปล่าของก็จะเหลือ ถ้าลูกค้าเราน้อยลงเราก็ต้องลดปริมาณลงให้พอดีกับลูกค้า มันใช่เลยอ่ะ เราก็มาถามตัวเองว่าเราจะเหนื่อยขนาดนี้ทำไม สรุปกลับมาขายสเต็คกับกาแฟพอ
          
            เราเปิดร้านได้ประมาณ 1 ปี ก็มีเหตุทางบ้านเราและบ้านแฟนที่ทำให้เราต้องปิดร้านลง เราก็ต้องเก็บผ้ากลับมาสู่เมืองหลวงเหมือนเดิม ใช้ชีวิตเป็นมนุษย์เงินเดือนอีกครั้ง ถึงตอนนี้ก็ 8 เดือนแล้ว แต่ก็ยังคิดถึงการขายอาหารอยู่ เราสองคนตั้งใจกันไว้ว่าจะเก็บเงินให้ได้เยอะที่สุด จะกลับไปเปิดร้านอะไรเล็กๆของเราอีกครั้งที่บ้านนอก เรามีความสุขทุกครั้งที่คนชอบอาหารที่เราทำ เรามีความสุขที่เราได้อยู่กับแฟน วันนึงที่เหมาะสมเราจะกลับไปหาความสุขของเราอีกครั้ง ส่วนตอนนี้เราก็หาความสุขให้เจอในแบบของมัน ทุกวันนี้เราก็ยังทำสปาเก็ตตี้ไวท์ซอสในหม้อหุงข้าวใบเล็กๆให้แฟนเรากิน มันก็ยังอร่อยไม่ต่างกับเราทำในห้องครัวใหญ่ๆ แม้จะต้องนั่งรถไป-กลับ บ้านกับที่ทำงานวันละ 4 ช.ม. โดยรถเมล์ที่เหมือนรถไฟเหาะ ได้นั่งบ้างยืนบ้าง แต่พอเรากลับมาถึงบ้านก็ยังมีคนยิ้มให้เราอยู่ นี่แหละความสุขของเราตอนนี้...สู้ๆนะคะทุกคน หาความสุขของเราให้เจอ แล้วเราจะรู้ว่าเราต้องการอะไร
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่