ปรกติเราพิจารณาความตายอยู่เนือง ๆ แล้วก็พิจารณาอสุภะควบคู่กันไปด้วยโดยพิจารณาจากภาพศพบ้าง ดูวีดีโอบ้าง
สุดท้ายก็น้อมมาพิจารณาว่าไม่ว่ากายของเราหรือกายของผู้อื่นสุดท้ายมันก็ไม่เที่ยง เมื่อถึงเวลามันก็ต้องแตกสลายกลายเป็น เถ้าถ่าน พิจารณาอยู่เนืองๆ นี้อยู่ในระดับสัญญาบ้าง เข้าถึงระดับจิตบ้าง แต่ทุกครั้งที่เข้าถึงระดับจิต มันจะเกิด อาการ ปล่อยวาง หรือบางครั้งจะเกิด อาการจิต ช็อค คือมันจะเกิด อาการ ช็อค หรือ อึ้ง ว่า อ้าว ไอ้กายเนื้อ ที่มัน อยู่กับเรามาตลอดตั้งแต่เด็ก ๆ มาถึงตอนนี้เนี๊ยะแท้จริง เราไม่ใช่เจ้าของมันหรอกเหรอ เราต้องคืนให้ธรรมชาติไป หรือแม้แต่โลกใบนี้ที่เราอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ไม่เที่ยง มันคือของปลอม มันทำให้เรารู้สึกไม่อยากอยู่กับ ของสมมุติบนโลกใบนี้แม้แต่วันเดียว สิ่งเดียวที่เป็นที่พึ่ง เป็นกำลังใจ ให้อยู่ ต่อไป คิอ พระรัตนตรัย
ขอวกกลับมาเรื่อง การพิจารณาความตาย ปรกติเวลาพิจารณาความตาย เราก็หมั่นพิจารณาว่าเราต้องตายแน่ เห็นคนที่เขาตายให้ดูอยู่ทุกวันๆ วันหนึ่ง มันต้องถึงตาเราบ้าง หละ ที่นี้ การที่เราชอบดูภาพศพคนตายที่ตายในหลากหลายรูปแบบ มันก็เลยทำให้เรา ชอบคิดถึงว่าหากเรากำลังจะตายและต้องตกอยู่ในสภาพนั้น เราควรวางจิตอย่างไร เช่น เราดูคลิบวีดีโอคลิบหนี่ง มีผู้หญิงคนหนึ่งถูกปิดตาอยู่ แล้วผู้ชายอาหรับคนนึง ฆ่าปาดคอของเธอผู้นั้นแล้วก็ชูศรีษะขึ้นมาให้ดู
ยอมรับว่าหวาดเสียวมากเลย แล้วเราดันคิดว่า หากเราเป็นผู้หญิงคนนั้นบ้าง แล้วกำลังจะโดนฆ่าปาดคอ เราควรวางอารมณ์ก่อนตาย อย่างไร ( เราจำได้ว่าเราเก็บอารามณ์นั้นไปทำการบ้านที่ที่วัดแห่งหนึ่ง ตอนที่เราไปบวช เรารวบรวมกำลังใจทั้งหมดเพื่อวางอุเบกขานึกภาพตัวเองโดนปาดคอตาย )
ตอนนี้เรากำลังจะทำการบ้านอีกข้อหนึ่งคือ เราเห็นศพของผู้หญิงคนหนึ่งที่โดนข่มขืนแล้วหลังจากที่เธอโดนข่มขืนเธอก็เลยกระโดดน้ำตาย เราก็เลยกะว่าจะทำการบ้านข้อนี้ ว่าถ้าหากเราต้องเจอ กับเหตการณ์เช่นนั้น เราควรวางจิตอย่างไร อยากทราบว่า การพิจารณาความตาย จำเป็นหรือไม่ว่าเรา ต้องคิดถึงความตายในหลายๆ รูปแบบ ท่านใดมีมีคำแนะนำอย่างไรบาง ค๊ะ
ขออนุญาติปรึกษาเรื่องการเจริญมรณานุสติกรรมฐาณ
สุดท้ายก็น้อมมาพิจารณาว่าไม่ว่ากายของเราหรือกายของผู้อื่นสุดท้ายมันก็ไม่เที่ยง เมื่อถึงเวลามันก็ต้องแตกสลายกลายเป็น เถ้าถ่าน พิจารณาอยู่เนืองๆ นี้อยู่ในระดับสัญญาบ้าง เข้าถึงระดับจิตบ้าง แต่ทุกครั้งที่เข้าถึงระดับจิต มันจะเกิด อาการ ปล่อยวาง หรือบางครั้งจะเกิด อาการจิต ช็อค คือมันจะเกิด อาการ ช็อค หรือ อึ้ง ว่า อ้าว ไอ้กายเนื้อ ที่มัน อยู่กับเรามาตลอดตั้งแต่เด็ก ๆ มาถึงตอนนี้เนี๊ยะแท้จริง เราไม่ใช่เจ้าของมันหรอกเหรอ เราต้องคืนให้ธรรมชาติไป หรือแม้แต่โลกใบนี้ที่เราอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ไม่เที่ยง มันคือของปลอม มันทำให้เรารู้สึกไม่อยากอยู่กับ ของสมมุติบนโลกใบนี้แม้แต่วันเดียว สิ่งเดียวที่เป็นที่พึ่ง เป็นกำลังใจ ให้อยู่ ต่อไป คิอ พระรัตนตรัย
ขอวกกลับมาเรื่อง การพิจารณาความตาย ปรกติเวลาพิจารณาความตาย เราก็หมั่นพิจารณาว่าเราต้องตายแน่ เห็นคนที่เขาตายให้ดูอยู่ทุกวันๆ วันหนึ่ง มันต้องถึงตาเราบ้าง หละ ที่นี้ การที่เราชอบดูภาพศพคนตายที่ตายในหลากหลายรูปแบบ มันก็เลยทำให้เรา ชอบคิดถึงว่าหากเรากำลังจะตายและต้องตกอยู่ในสภาพนั้น เราควรวางจิตอย่างไร เช่น เราดูคลิบวีดีโอคลิบหนี่ง มีผู้หญิงคนหนึ่งถูกปิดตาอยู่ แล้วผู้ชายอาหรับคนนึง ฆ่าปาดคอของเธอผู้นั้นแล้วก็ชูศรีษะขึ้นมาให้ดู
ยอมรับว่าหวาดเสียวมากเลย แล้วเราดันคิดว่า หากเราเป็นผู้หญิงคนนั้นบ้าง แล้วกำลังจะโดนฆ่าปาดคอ เราควรวางอารมณ์ก่อนตาย อย่างไร ( เราจำได้ว่าเราเก็บอารามณ์นั้นไปทำการบ้านที่ที่วัดแห่งหนึ่ง ตอนที่เราไปบวช เรารวบรวมกำลังใจทั้งหมดเพื่อวางอุเบกขานึกภาพตัวเองโดนปาดคอตาย )
ตอนนี้เรากำลังจะทำการบ้านอีกข้อหนึ่งคือ เราเห็นศพของผู้หญิงคนหนึ่งที่โดนข่มขืนแล้วหลังจากที่เธอโดนข่มขืนเธอก็เลยกระโดดน้ำตาย เราก็เลยกะว่าจะทำการบ้านข้อนี้ ว่าถ้าหากเราต้องเจอ กับเหตการณ์เช่นนั้น เราควรวางจิตอย่างไร อยากทราบว่า การพิจารณาความตาย จำเป็นหรือไม่ว่าเรา ต้องคิดถึงความตายในหลายๆ รูปแบบ ท่านใดมีมีคำแนะนำอย่างไรบาง ค๊ะ