อ่าน
ตอนที่ ๑ ได้ที่นี่
http://pantip.com/topic/31662238/comment2
เนื้อหาในตอนที่ ๒ นี้ จะกล่าวถึง ระยะเวลาในการบำเพ็ญบารมี, เนื้อนาบุญระหว่างการบำเพ็ญบารมี, ความแตกต่าง
ระหว่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระเจ้าจักรพรรดิ และคุณวิเศษของพระมหาสาวก ค่ะ
ระยะเวลาแห่งการบำเพ็ญบารมี
ท่านอธิบายระยะเวลาแห่งการบำเพ็ญบารมีของผู้จะเป็นพระอัครสาวก พระมหาสาวก พระพุทธบิดาและพระพุทธมารดา
เป็นต้นไว้ดังนี้
"สำหรับผู้เป็นพระสาวกโพธิสัตว์บำเพ็ญอภินิหาร (บุญที่สั่งสมไว้) เพื่อความเป็นพระอัครสาวก ต้องปรารถนาและ
เพิ่มพูนโพธิสมภาร (สั่งสมบุญบารมีเพื่อสาวกโพธิญาณ) สิ้นเวลา ๑ อสงไขยกับแสนกัป
ผู้เป็นพระมหาสาวกต้องปรารถนา และเพิ่มพูนโพธิสมภารสิ้นเวลาแสนกัปเท่านั้น ส่วนผู้เป็นพระพุทธมารดา
พระพุทธบิดา พระพุทธอุปัฏฐาก (พระอานนท์) และพระพุทธชิโนรส (โอรสของพระพุทธเจ้าผู้ชนะ) ในที่นี้หมายถึง
พระราหุลก็เหมือนกัน (คือใช้เวลาเพิ่มพูนโพธิสมภารแสนกัป)"
(เถร.อ.๑/๑๘-๑๙)
เนื้อนาบุญที่พบระหว่างบำเพ็ญบารมี
ในช่วงเวลาแสนกัปของพระมหาสาวก หรือ ๑ อสงไขยแสนกัปของพระอัครสาวกนั้น ท่านเหล่านั้นได้พบกับพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าหลายพระองค์ พบพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือพบกับภิกษุสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น
เนื้อนาบุญชั้นเลิศรองรับการประพฤติกุศลกรรมของพวกท่าน
ในกาลนั้นๆ บางท่านก็เป็นสัตว์ดิรัจฉานบ้าง เป็นมนุษย์บ้าง เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ (เป็นพระราชามนุษย์ แต่ยิ่งใหญ่
กว่าพระราชาทั่วไป) บ้าง หรือเป็นเทวดาและรูปพรหมบ้าง
ความแตกต่างระหว่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระเจ้าจักรพรรดิ
เรื่องที่พึงเข้าใจอย่างหนึ่งก็คือ ความแตกต่างระหว่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (บาลีอปทานเขียนว่า
พระสัมพุทธเจ้า)
พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระเจ้าจักรพรรดิ เพื่อจะได้เห็นภาพความต่างกันของแต่ละยุคสมัย ดังนี้
๑. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า - พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เองโดยชอบแล้วสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม ทรงเริ่มตั้งปณิธานเพื่อจะเป็น
พระพุทธเจ้าด้วยการประมวลธรรม ๘ ตามที่กล่าวแล้ว (ดู ธรรมสโมธาน ๘ ในตอนที่ ๑) ทรงบำเพ็ญบารมีอย่างน้อย
๔ อสงไขยแสนกัป บางพระองค์มากสุด ๑๖ อสงไขยแสนกัป
พระพุทธเจ้ามีความพิเศษเหนือพระปัจเจกพุทธเจ้า ตรงที่ทรงมีพระสัพพัญญุตญาณ คือ ทรงมีพระญาณรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่มีสิ่งใดปิดกั้นจำกัดความรู้ที่ทรงปรารถนาจะรู้ และทรงชำนาญในธรรมเป็นกำลังทั้งหลาย เพราะทรงสมบูรณ์ด้วย
ทสพลญาณ (พระญาณ ๑๐) ทำให้ทรงบัญญัติคำสอนและประกาศให้ผู้อื่นตรัสรู้ตามได้
พระพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติในตระกูลกษัตริย์หรือตระกูลพราหมณ์เท่านั้น (ภายใต้สังคมแบ่งชั้นวรรณะของพวกพราหมณ์)
ทั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้า ต่างก็อุบัติในกาลที่กัปเจริญ แต่จะไม่เกิดร่วมสมัยกัน คือ พระปัจเจกพุทธเจ้า
จักมีในกาลที่โลกไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
(ดู ที.ม.ข้อ ๑๓๔,สุตุต.อ.๑/๕/๑๑๒,อปทาน.อ.๘/๑/๒๗๒, ม.อ.๓/๑/๓๓๗)
๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า - พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เองเฉพาะเพียงผู้เดียว โดยเริ่มตั้งปณิธานเพื่อจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
ด้วยการประมวลธรรม ๕ แล้วบำเพ็ลบารมีนาน ๒ อสงไขยแสนกัป ไม่ต่ำกว่านี้ (มักไม่ใช้ราชาศัพท์กับพระปัจเจกพุทธเจ้า
เพราะโดยมากพวกท่านมิำได้มาจากกษัตริย์ และความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ไม่ใช่การสถาปนาเป็นกษัตริย์หรือเทียบเท่า
กษัตริย์ ท่านพ้นจากสมมติอันเกิดจากกิเลสทั้งปวงแล้ว แต่หากจะใช้ราชาศัพท์เพื่อยกย่องก็ไม่ใช่เรื่องผิด)
ในชาติสุดท้าย (ก่อนบรรลุปัจเจกโพธิญาณ) จะอุบัติในตระกูลกษัตริย์ พราหมณ์ หรือตระกูลคฤหบดีตระกูลใดตระกูลหนึ่ง
แล้วจะตรัสรู้อริยสัจ ๔ เอง ทั้งบรรลุฤทธิ์สมาบัติ และปฏิสัมภิทาเช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่มีพระสัพพัญญุต
ญาณ และไม่มีทสพลญาณ จึงไม่อาจบัญญัติและประกาศคำสอนได้ แต่ท่านสามารถแสดงธรรมว่าด้วยเรื่องเนกขัมมะและ
พรหมวิหารเป็นต้นได้ แต่ไม่อาจสอนธรรมให้ตรัสรู้ตามได้
(ดู ขุ.อป.ข้อ ๒,อปทาน.อ.๘/๑/๒๙๒-๓,๒๗๒,สุตฺต.อ.๑/๕/๑๐๔-๒๔๕)
๓. พระเจ้าจักรพรรดิ - จอมราชาผู้ทรงธรรม เรียกพระเจ้าธรรมิกราชก็ได้ ทรงเป็นพระราชาที่ยิ่งใหญ่กว่าพระราชา
ทั่วไป เพราะทรงเป็นผู้ทรงธรรม ปกครองโดยธรรม ทรงมีพระฤทธิ์ ๔ อย่าง คือ มีพระรูปโฉมงดงาม ๑ มีพระชนมายุ
ยืนนาน ๑ มีพระโรคน้อย ๑ ทรงเป็นที่รักที่ชอบใจของพวกพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ทรงปกครองอาณาเขตจรด
มหาสมุทรทั้งสี่ ๑
ทรงครอบครองรัตนะ ๗ ประการ เช่น จักรรัตนะ คือ จักรอันเป็นทิพย์ ใช้กำจัดอริราชศัตรู เป็นต้น (ดู ที.ม.ข้อ ๑๖๓-๑๗๐,
ที.ปา.ข้อ ๓๕) ท่านเกิดร่วมสมัยกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ (สงฺคณี.อ.๑/๑/๑๑๑)
คุณวิเศษของพระมหาสาวก
ตามพระไตรปิฎกคัมภีร์ขุททกนิกาย อปทาน ท่านเหล่านั้นเป็นสาวกประเภทอุภโตภาควิมุตติ ไม่เว้นแม้แต่พระพาหิยะ
ก็เป็นสาวกประเภทนี้ แม้ท่านจะไม่ได้อุปสมบทเป็นภิกษุ ย่อมได้คุณวิเศษทั้งหลายครบถ้วน (เถร.อ.๔/๕๕๘) โดยเฉพาะ
พระมหาสาวกที่ได้เป็นเอตทัคคะ ๔๑ รูป
ดังจะพบในคำกราบทูลหลังบรรลุอรหัตของพวกท่าน เป็นต้นว่า ...
"ข้าพระองค์เผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอนภพขึ้นได้ทั้งหมดแล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูก ดังช้างตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่
การที่ข้าพระองค์ได้มาในสำนักของพระพุทธเจ้านี้ เป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชา ๓ ข้าพระองค์บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพระองค์ได้ทำเสร็จแล้ว
คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพระองค์ได้ทำให้แจ้งแล้ว... "
ดังนี้เป็นต้น
(ดู ขุ.อป.ข้อ ๑ เป็นต้น)
ที่มา : ๘๐ พระอรหันต์ ฉบับสมบูรณ์ รวบรวมเรียบเรียงโดย อ.ปัญญา ใช้บางยาง
การปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวก ตอนที่ ๒
เนื้อหาในตอนที่ ๒ นี้ จะกล่าวถึง ระยะเวลาในการบำเพ็ญบารมี, เนื้อนาบุญระหว่างการบำเพ็ญบารมี, ความแตกต่าง
ระหว่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระเจ้าจักรพรรดิ และคุณวิเศษของพระมหาสาวก ค่ะ
ระยะเวลาแห่งการบำเพ็ญบารมี
ท่านอธิบายระยะเวลาแห่งการบำเพ็ญบารมีของผู้จะเป็นพระอัครสาวก พระมหาสาวก พระพุทธบิดาและพระพุทธมารดา
เป็นต้นไว้ดังนี้
"สำหรับผู้เป็นพระสาวกโพธิสัตว์บำเพ็ญอภินิหาร (บุญที่สั่งสมไว้) เพื่อความเป็นพระอัครสาวก ต้องปรารถนาและ
เพิ่มพูนโพธิสมภาร (สั่งสมบุญบารมีเพื่อสาวกโพธิญาณ) สิ้นเวลา ๑ อสงไขยกับแสนกัป
ผู้เป็นพระมหาสาวกต้องปรารถนา และเพิ่มพูนโพธิสมภารสิ้นเวลาแสนกัปเท่านั้น ส่วนผู้เป็นพระพุทธมารดา
พระพุทธบิดา พระพุทธอุปัฏฐาก (พระอานนท์) และพระพุทธชิโนรส (โอรสของพระพุทธเจ้าผู้ชนะ) ในที่นี้หมายถึง
พระราหุลก็เหมือนกัน (คือใช้เวลาเพิ่มพูนโพธิสมภารแสนกัป)"
(เถร.อ.๑/๑๘-๑๙)
เนื้อนาบุญที่พบระหว่างบำเพ็ญบารมี
ในช่วงเวลาแสนกัปของพระมหาสาวก หรือ ๑ อสงไขยแสนกัปของพระอัครสาวกนั้น ท่านเหล่านั้นได้พบกับพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าหลายพระองค์ พบพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือพบกับภิกษุสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น
เนื้อนาบุญชั้นเลิศรองรับการประพฤติกุศลกรรมของพวกท่าน
ในกาลนั้นๆ บางท่านก็เป็นสัตว์ดิรัจฉานบ้าง เป็นมนุษย์บ้าง เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ (เป็นพระราชามนุษย์ แต่ยิ่งใหญ่
กว่าพระราชาทั่วไป) บ้าง หรือเป็นเทวดาและรูปพรหมบ้าง
ความแตกต่างระหว่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระเจ้าจักรพรรดิ
เรื่องที่พึงเข้าใจอย่างหนึ่งก็คือ ความแตกต่างระหว่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (บาลีอปทานเขียนว่าพระสัมพุทธเจ้า)
พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระเจ้าจักรพรรดิ เพื่อจะได้เห็นภาพความต่างกันของแต่ละยุคสมัย ดังนี้
๑. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า - พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เองโดยชอบแล้วสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม ทรงเริ่มตั้งปณิธานเพื่อจะเป็น
พระพุทธเจ้าด้วยการประมวลธรรม ๘ ตามที่กล่าวแล้ว (ดู ธรรมสโมธาน ๘ ในตอนที่ ๑) ทรงบำเพ็ญบารมีอย่างน้อย
๔ อสงไขยแสนกัป บางพระองค์มากสุด ๑๖ อสงไขยแสนกัป
พระพุทธเจ้ามีความพิเศษเหนือพระปัจเจกพุทธเจ้า ตรงที่ทรงมีพระสัพพัญญุตญาณ คือ ทรงมีพระญาณรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่มีสิ่งใดปิดกั้นจำกัดความรู้ที่ทรงปรารถนาจะรู้ และทรงชำนาญในธรรมเป็นกำลังทั้งหลาย เพราะทรงสมบูรณ์ด้วย
ทสพลญาณ (พระญาณ ๑๐) ทำให้ทรงบัญญัติคำสอนและประกาศให้ผู้อื่นตรัสรู้ตามได้
พระพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติในตระกูลกษัตริย์หรือตระกูลพราหมณ์เท่านั้น (ภายใต้สังคมแบ่งชั้นวรรณะของพวกพราหมณ์)
ทั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้า ต่างก็อุบัติในกาลที่กัปเจริญ แต่จะไม่เกิดร่วมสมัยกัน คือ พระปัจเจกพุทธเจ้า
จักมีในกาลที่โลกไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
(ดู ที.ม.ข้อ ๑๓๔,สุตุต.อ.๑/๕/๑๑๒,อปทาน.อ.๘/๑/๒๗๒, ม.อ.๓/๑/๓๓๗)
๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า - พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เองเฉพาะเพียงผู้เดียว โดยเริ่มตั้งปณิธานเพื่อจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
ด้วยการประมวลธรรม ๕ แล้วบำเพ็ลบารมีนาน ๒ อสงไขยแสนกัป ไม่ต่ำกว่านี้ (มักไม่ใช้ราชาศัพท์กับพระปัจเจกพุทธเจ้า
เพราะโดยมากพวกท่านมิำได้มาจากกษัตริย์ และความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ไม่ใช่การสถาปนาเป็นกษัตริย์หรือเทียบเท่า
กษัตริย์ ท่านพ้นจากสมมติอันเกิดจากกิเลสทั้งปวงแล้ว แต่หากจะใช้ราชาศัพท์เพื่อยกย่องก็ไม่ใช่เรื่องผิด)
ในชาติสุดท้าย (ก่อนบรรลุปัจเจกโพธิญาณ) จะอุบัติในตระกูลกษัตริย์ พราหมณ์ หรือตระกูลคฤหบดีตระกูลใดตระกูลหนึ่ง
แล้วจะตรัสรู้อริยสัจ ๔ เอง ทั้งบรรลุฤทธิ์สมาบัติ และปฏิสัมภิทาเช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่มีพระสัพพัญญุต
ญาณ และไม่มีทสพลญาณ จึงไม่อาจบัญญัติและประกาศคำสอนได้ แต่ท่านสามารถแสดงธรรมว่าด้วยเรื่องเนกขัมมะและ
พรหมวิหารเป็นต้นได้ แต่ไม่อาจสอนธรรมให้ตรัสรู้ตามได้
(ดู ขุ.อป.ข้อ ๒,อปทาน.อ.๘/๑/๒๙๒-๓,๒๗๒,สุตฺต.อ.๑/๕/๑๐๔-๒๔๕)
๓. พระเจ้าจักรพรรดิ - จอมราชาผู้ทรงธรรม เรียกพระเจ้าธรรมิกราชก็ได้ ทรงเป็นพระราชาที่ยิ่งใหญ่กว่าพระราชา
ทั่วไป เพราะทรงเป็นผู้ทรงธรรม ปกครองโดยธรรม ทรงมีพระฤทธิ์ ๔ อย่าง คือ มีพระรูปโฉมงดงาม ๑ มีพระชนมายุ
ยืนนาน ๑ มีพระโรคน้อย ๑ ทรงเป็นที่รักที่ชอบใจของพวกพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ทรงปกครองอาณาเขตจรด
มหาสมุทรทั้งสี่ ๑
ทรงครอบครองรัตนะ ๗ ประการ เช่น จักรรัตนะ คือ จักรอันเป็นทิพย์ ใช้กำจัดอริราชศัตรู เป็นต้น (ดู ที.ม.ข้อ ๑๖๓-๑๗๐,
ที.ปา.ข้อ ๓๕) ท่านเกิดร่วมสมัยกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ (สงฺคณี.อ.๑/๑/๑๑๑)
คุณวิเศษของพระมหาสาวก
ตามพระไตรปิฎกคัมภีร์ขุททกนิกาย อปทาน ท่านเหล่านั้นเป็นสาวกประเภทอุภโตภาควิมุตติ ไม่เว้นแม้แต่พระพาหิยะ
ก็เป็นสาวกประเภทนี้ แม้ท่านจะไม่ได้อุปสมบทเป็นภิกษุ ย่อมได้คุณวิเศษทั้งหลายครบถ้วน (เถร.อ.๔/๕๕๘) โดยเฉพาะ
พระมหาสาวกที่ได้เป็นเอตทัคคะ ๔๑ รูป
ดังจะพบในคำกราบทูลหลังบรรลุอรหัตของพวกท่าน เป็นต้นว่า ...
"ข้าพระองค์เผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอนภพขึ้นได้ทั้งหมดแล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูก ดังช้างตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่
การที่ข้าพระองค์ได้มาในสำนักของพระพุทธเจ้านี้ เป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชา ๓ ข้าพระองค์บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพระองค์ได้ทำเสร็จแล้ว
คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพระองค์ได้ทำให้แจ้งแล้ว... "
ดังนี้เป็นต้น
(ดู ขุ.อป.ข้อ ๑ เป็นต้น)
ที่มา : ๘๐ พระอรหันต์ ฉบับสมบูรณ์ รวบรวมเรียบเรียงโดย อ.ปัญญา ใช้บางยาง