ผมได้มีโอกาสได้รู้จักกับคุณยุทธนา มุกดาสนิท หรือพี่หง่าวตำนานผู้กำกับแห่งวงการหนังไทย จากเฟสบุ๊คของพี่หง่าว ซึ่งผมขอแอสแก แล้วพี่หง่าวก็กรุณารับแอสผมเป็นเพื่อน ผมจึงได้ส่งข้อความไปรำลึกความหลังกับแกในฐานะศิษย์รุ่นน้อง จากโรงเรียนสาธิตประสานมิตร ฝ่ายมัธยม ซึ่งคงไม่สามารถรำลึกอะไรกันได้มากนัก เพราะพี่หง่าวในฐานะศิษย์รุ่นพี่ ห่างจากผมหลายรุ่นทีเดียว
เมื่อผมได้เข้าไปดูเฟสบุ๊คของพี่หง่าว ได้เห็นอัลบั้มภาพของแกที่ใช้ชื่อว่า"หนังที่ไม่ได้สร้าง"ทำให้ผมรู้สึกสะดุดตาและสะดุดใจมากกับภาพของหนังที่ชื่อว่า"2482 นักโทษประหาร"ผมจำได้ว่าประมาณ 20 ปีก่อน ไฟล์สตาร กับพี่หง่าว เคยออกข่าวว่าจะสร้างหนังพีเรียด ดราม่า เรื่องนี้ วางตัวนักแสดงระดับแม่เหล็กมาประกบกันเต็มจอ แต่ผลสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้สร้าง ซึ่งก็น่าเสียดายเป็นที่สุด เหตุผลที่ผมจำได้คือทายาทของท่านผู้นำในยุค"เชื่อผู้นำ แล้วชาติพ้นภัย" ไม่สบายใจถ้าจะสร้าง แต่เหตุผลจริงๆผมไม่รู้ ก็ขอให้อยู่ในใจของพี่หง่าวคนเดียวก็คงพอมั๊ง
ผมจึงขออนุญาตจากพี่หง่าวว่าผมขอยืมภาพจากอัลบั้มนี้มาสร้างเอ็นทรี่หน่อย ซึ่งแกก็ใจดี ให้ผมเอามาได้ และบอกว่าจะตามเข้ามาอ่านนะ เอาละวา ยุ่งแล้วซิตู เจ้าของผลงานจะเข้ามาดู ว่าจะเอารูปมาลงอย่างเดียวก็ดูกระไรอยู่ จึงต้องหาข้อมูลมาประกอบด้วย แล้วจะหาที่ไหนเนี่ย สงสัยต้องไปหอสมุดแห่งชาติแล้วกระมัง
พอดีผมไปเจอหนังสือเรื่องหนึ่งซึ่งอยู่บนหิ้งหนังสือที่บ้านของผมประมาณไม่ต่ำกว่า 30 ปีแล้ว เป็นหนังสือปกแข็งเล่มใหญ่ๆ ประมาณพันกว่าหน้า ชื่อหนังสือว่า"ปฎิวัติสามสมัย"เขียนโดยสามนักเขียน คือท่านประกอบ โชประการ ท่านสมบูรณ์ คนฉลาด และท่านประยุทธ สิทธิพันธ์ ผมจึงได้เปิดหาเรื่องเกี่ยวกับ"กบฎพระยาทรงสุรเดช"แล้วก็เจอจนได้ ผมจึงอ่านเรื่อยๆมาจนพบเหตุการณ์เกี่ยวกับการประหารชีวิตนักโทษในครั้งนั้น จึงขอนำมาลงในเอ็นทรีนี้ โดยขออนุญาตข้ามวรรค ข้ามถ้อยคำ ที่ไม่น่าจะนำมาลง เพราะไม่สมควร แต่ก้ไม่ได้ทำให้อรรถรสเีสียไปมากนัก และข้อความจากหนังสือที่ผมมาลงนี้ อาจไม่ใช่ หรือไม่ตรงกับพล็อตเรื่องของพี่หง่าวที่จะสร้างในครั้งนั้น ผมก็ขออภัยมา ณ ที่นี้
ขอขอบพระคุณพี่ยุทธนา มุกดาสนิท หรือพี่หง่าว ผู้กำกับมือสมองเพชร ตำนานที่มีลมหายใจอยู่ ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ผมด้วยการอนุญาตให้ผมนำภาพของหนังเรื่องนี้มาลงที่เอ็นทรี่ของผม ขอขอบคุณภาพจากเฟสบุ๊คของพี่หง่าวเช่นเดียวกัน ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผมได้จัดทำเอ็นทรี่นี้ ขอบคุณหนังสือปกแข็งเล่มที่อยู่ในบ้านผมมานานนัก ที่ให้ผมนำเรื่องในครั้งนั้น มาประกอบเอ็นทรี่นี้ และสุดท้ายขอขอบคุณทุกท่านที่มีจิตวิญญาณแห่งความเป็นคนรักหนังไทย ที่ได้กรุณามาอ่านเอ็นทรี่ของผม
---------------------------------------------------------------------
ในการประหารชีวิตจำเลยทั้ง 18 คน ครั้งนี้ เป็นเรื่องที่ชวนเศร้าสังเวช และเป็นที่สะเทือนใจ ทำลายขวัญคนไทยอย่างรุนแรง โดยเฉพาะผู้มีส่วนรู้เห็นในการยิงเป้า ผู้คุมลางคนถึงกับเบือนหน้าซ่อนน้ำตาด้วยความสังเวช เพราะการนำไปสู่แดนประหารทำการ"ยิงเป้า" ได้มีการแยกรุ่น ต่างวันต่างเวลา ทรมานจิตใจผู้ที่กำลังรอ"ความตาย"อย่างยากที่จะนำมาพรรณาได้ถูก แต่ก็ปรากฎว่า ผู้ถูกประหารต่างมีกำลังใจดี สมความเป็นชายชาติทหารอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ ร.ท. ณเณร ตาละลักษณ์ เป็นคนที่ปลงตกได้เป็นพิเศษ เวลาถูกนำจากที่จำขังไปแดนประหาร เขานำเอาทำนองเพลง ของหลวงวิจิตร วาทการ มาดัดแปลงแต่งขึ้นใหม่ และเดินร้องเพลงนั้นดังลั่นไปตลอดทาง โดยปราศจากความสะทกสะท้าน เพลงนั้น มีความสั้นว่า
"ตื่นเช้าสุขสราญ พวกเราเบิกบานกมล หอมกลิ่นปืนกล เราห้าคนจะขอลาตาย"
นอกจากจะสร้างความครึกครื้นให้แก่อารมณ์ข่มความเศร้าหมองแบบปลงตกได้จริงๆ แล้ว ตอนถูกผูกตา ร.ท. ณเณร ตาละลักษณ์ ยังขอร้องต่อเจ้าหน้าที่ขอผูกตาด้วยผ้าเช็ดหน้าของตนเอง และขอฝากผ้าผูกตาของเรือนจำไปให้มารดาของเขาเก็บไว้ดูต่างหน้าเป็นที่ระลึกถึงเขาอีกด้วย
นายดาบพวง พลนวี ผู้เป็นพี่ของศรีภรรยา "ทหารเสือ" พ.อ. พระยาทรงสุรเดช ซึ่งต้องระเห็จออกไปอยู่นอกประเทศ ดังที่เคยกล่าวถึงมาแล้ว เฝ้าแต่คร่ำครวญเป็นเชิงพ้อน้องเขยด้วยอารมณ์ที่กำลังหม่นหมองถึงขนาดว่า
"....เวลามันเป็นใหญ่เป็นโตก็ไม่เคยเลี้ยงดี...เวลาเดือดร้อนเกิดเรื่องChipหาย กูไม่รู้ไม่ชี้ด้วยเลยสักนิดเดียว แต่เป็นคนรับความChipหายนั้นเข้าไว้..."
ส่วนนายลี บุญตา ก็พิราบล่ำคร่ำครวญ ก่อนที่จะนำไปสู่แดนประหารเป็นถ้อยคำทิ้งไว้ให้คิดเป็นปริศนาว่า
"ผมไม่ผิด ไม่เคยคิดทรยศ...รับปากว่าจะช่วยผม แล้วทำไมไม่ช่วย..."
ก่อนจะถูกนำจากตึกขังไปสู่แดนประหาร ร.ท. ณเณร ได้ถาม ลี บุญตา อย่างสุภาพว่า
"
นีแน่ะลี ไหนๆเราก็จะตายพร้อมกันอยู่แล้ว อั๊วขอถามลื้อจริงๆ เถอะว่า ลื้อกับอั๊วเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า? อั๊วอยากรู้ความจริงก่อนที่อั๊วจะตายเหมือนกันว่า มันอะไรกันแน่"
ลี บุญตา สะอื้นน้ำตาคลอตอบว่า
"...ไม่...ไม่เคยเลย"
นักโทษประหารชุดที่ 1 ซึ่งถูกประหารวันแรก คือตอนเช้ามืดของวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ 2482 ได้แก่พระยาสุรฯ บุญมาก และสองพี่น้อง ลูกชายอดีตแม่ทัพไทย เมื่อถูกคุมตัวฝ่านทางหน้าห้องขังหลวงชำนาญยุทธศิลป พระสุวรรณชิต ได้ตะโกนกล่าวคำอำลาแทนเพื่อนร่วมคณะว่า
"ผู้การหลวงชำนาญ พวกผมขอลา..."
หลวงชำนาญ ผู้ซึ่งได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษร้องตอบเป็นเชิงเตือนสติว่า
"จงระลึกถึงแต่ความดี ที่ทำไว้แต่ปางหลัง เราเป็นทหาร ถึงทีตายก็ตาย อย่าหวาดหวั่น..."
ส่วนบุญมากกับเผ่าพงษ์ คงเดินไปสู่แดนประหารอย่างองอาจ สมชายชาติทหาร ตามคำเตือนสติของหลวงชำนาญ มีแต่ผุดพันธ์เท่านั้นที่คร่ำครวญด้วยความเป็นห่วงพ่อ ถึงกับสั่งกำชับนายพัน น้อยประไพ เจ้าหน่าที่เรือนจำ ซึ่งเคยได้รับความอุปถัมภ์ ให้ช่วยดูแลคุณพ่อของเขาด้วย
ก่อนถึงเวลาถูกประหาร พระสุวรรณชิต ไ้ด้เขียนจดหมายสั่งกำชับลูกๆ ไว้ด้วยความเป็นห่วงใย ส่อถึงจิตใจอันบริสุทธิ์ของผู้เป็นพ่อที่มีต่อลูก อันนับเป็นคติที่ดียิ่ง ควรค่าแก่การสังวรณ์ไว้ตอนหนี่งว่า
"......ลูกทุกคนขอให้ประพฤติตนเป็นพลเมืองดี อย่าอาฆาตมาดร้ายต่อใครทั้งสิ้น ถ้าครอบครัวของพ่อได้ปฎิบัติตามคำสั่งสั้นๆ นี้แล้ว จงเชื่อเถอะว่า พ่อตายด้วยความบริสุทธิ์ใจ ขอให้อยู่เป็นสุขกันทุกคน......"
การประหารนักโทษทั้ง 18 คน ครั้งนั้น นอกจากคำพูดของลี บุญตา ที่พูดทิ้งไว้ให้คิดเหมือนมี"ปริศนา" ชอบให้คำนึงนึกกันว่ามีความเคลือบแผงซ่อนเร้นอยู่ในข้อเท็จจริงบ้างหรือไม่ เป็นประการใดแน่แล้ว ยังมีสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นอีกถึงสองประการ เกี่ยวกับกำลังใจที่เข้มแข็งแกร่งกร้าวเกินคนของ ณเณร ตาละลักษณ์ประการหนึ่ง และความมีของดี ที่น่าพิศวงของหลวงสิทธิเรืองเดชพล อีกประการหนึ่ง กล่าวคือ
เมื่อมือเพชรฆาตลั่นกระสุนแบล็คมันต์ใส่ร่างหลวงสิทธิฯ นั้นปรากฎว่า กระสุนด้านครั้งแล้วครั้งเล่า จนหลวงมหืทธิ์ นักโทษประหารอีกคนหนึ่งถึงกับตะโกนก้องว่า"เมื่อยแล้วโว๊ย เมื่อไหร่จะยิงเสียที" และเมื่อหลวงมหืทธิ์ฯ ดับดิ้นสิ้นใจไปแล้ว การยิงหลวงสิทธิฯ ก็ยังไม่บรรลุผล ต้องแก้ไขปืน และเปลี่ยนกระสุนใหม่ตั้งหลายชุด ผู้รู้เห็นในที่นั้น ถึงกับเชื่อกันว่า"หลวงสิทธิ หนังเหนียว" เพราะกว่ากระสุนจะลั่นออกจากรังเพลิงพุ่งเข้าสู่เป้าหมายได้ มือปืนถึงกับใจสั่นเหงื่อกาฬไหล
ส่วน ณเณร ตาละลักษณ์ นั้น แม้กระสุนจะพุ่งเข้าสู่เป้าหมายเต็มอัตรา จนสิ้นเสียงชวนเสียวสยองไปแล้ว ก็ยังตะโกนก้องว่า
"ยิงซ้ำ-ยิงซ้ำ โว๊ย ยังไม่ตาย อย่ายิงกันแบบทรมาน"
สี่วันแห่งการประหารนักโทษการเมือง ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชาติ มันแสนที่จะน่าอนาถทรมานความรู้สึกของเพื่อนร่วมชาติอย่างบอกไม่ถูกอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นนักโทษคดีการเมืองชุดนี้ลางส่วนยังถูกส่งไปกักกันไว้ในแดนทรมานกลางทะเลลึกบนเกาะเปลี่ยวกลางดงฉลาม ทางทะเลฝั่งตะวันตก คือเกาะตะรุเตา อีกด้วย
ที่มา....หนังสือเรื่องปฎิวัติสามสมัย หน้าที่ 488-491
Cr :: http://www.oknation.net/blog/hardcorelawyer/2010/12/29/entry-1
"2482 นักโทษประหาร"หนังที่ไม่ได้สร้างของ'ยุทธนา มุกดาสนิท'
เมื่อผมได้เข้าไปดูเฟสบุ๊คของพี่หง่าว ได้เห็นอัลบั้มภาพของแกที่ใช้ชื่อว่า"หนังที่ไม่ได้สร้าง"ทำให้ผมรู้สึกสะดุดตาและสะดุดใจมากกับภาพของหนังที่ชื่อว่า"2482 นักโทษประหาร"ผมจำได้ว่าประมาณ 20 ปีก่อน ไฟล์สตาร กับพี่หง่าว เคยออกข่าวว่าจะสร้างหนังพีเรียด ดราม่า เรื่องนี้ วางตัวนักแสดงระดับแม่เหล็กมาประกบกันเต็มจอ แต่ผลสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้สร้าง ซึ่งก็น่าเสียดายเป็นที่สุด เหตุผลที่ผมจำได้คือทายาทของท่านผู้นำในยุค"เชื่อผู้นำ แล้วชาติพ้นภัย" ไม่สบายใจถ้าจะสร้าง แต่เหตุผลจริงๆผมไม่รู้ ก็ขอให้อยู่ในใจของพี่หง่าวคนเดียวก็คงพอมั๊ง
ผมจึงขออนุญาตจากพี่หง่าวว่าผมขอยืมภาพจากอัลบั้มนี้มาสร้างเอ็นทรี่หน่อย ซึ่งแกก็ใจดี ให้ผมเอามาได้ และบอกว่าจะตามเข้ามาอ่านนะ เอาละวา ยุ่งแล้วซิตู เจ้าของผลงานจะเข้ามาดู ว่าจะเอารูปมาลงอย่างเดียวก็ดูกระไรอยู่ จึงต้องหาข้อมูลมาประกอบด้วย แล้วจะหาที่ไหนเนี่ย สงสัยต้องไปหอสมุดแห่งชาติแล้วกระมัง
พอดีผมไปเจอหนังสือเรื่องหนึ่งซึ่งอยู่บนหิ้งหนังสือที่บ้านของผมประมาณไม่ต่ำกว่า 30 ปีแล้ว เป็นหนังสือปกแข็งเล่มใหญ่ๆ ประมาณพันกว่าหน้า ชื่อหนังสือว่า"ปฎิวัติสามสมัย"เขียนโดยสามนักเขียน คือท่านประกอบ โชประการ ท่านสมบูรณ์ คนฉลาด และท่านประยุทธ สิทธิพันธ์ ผมจึงได้เปิดหาเรื่องเกี่ยวกับ"กบฎพระยาทรงสุรเดช"แล้วก็เจอจนได้ ผมจึงอ่านเรื่อยๆมาจนพบเหตุการณ์เกี่ยวกับการประหารชีวิตนักโทษในครั้งนั้น จึงขอนำมาลงในเอ็นทรีนี้ โดยขออนุญาตข้ามวรรค ข้ามถ้อยคำ ที่ไม่น่าจะนำมาลง เพราะไม่สมควร แต่ก้ไม่ได้ทำให้อรรถรสเีสียไปมากนัก และข้อความจากหนังสือที่ผมมาลงนี้ อาจไม่ใช่ หรือไม่ตรงกับพล็อตเรื่องของพี่หง่าวที่จะสร้างในครั้งนั้น ผมก็ขออภัยมา ณ ที่นี้
ขอขอบพระคุณพี่ยุทธนา มุกดาสนิท หรือพี่หง่าว ผู้กำกับมือสมองเพชร ตำนานที่มีลมหายใจอยู่ ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ผมด้วยการอนุญาตให้ผมนำภาพของหนังเรื่องนี้มาลงที่เอ็นทรี่ของผม ขอขอบคุณภาพจากเฟสบุ๊คของพี่หง่าวเช่นเดียวกัน ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผมได้จัดทำเอ็นทรี่นี้ ขอบคุณหนังสือปกแข็งเล่มที่อยู่ในบ้านผมมานานนัก ที่ให้ผมนำเรื่องในครั้งนั้น มาประกอบเอ็นทรี่นี้ และสุดท้ายขอขอบคุณทุกท่านที่มีจิตวิญญาณแห่งความเป็นคนรักหนังไทย ที่ได้กรุณามาอ่านเอ็นทรี่ของผม
---------------------------------------------------------------------
ในการประหารชีวิตจำเลยทั้ง 18 คน ครั้งนี้ เป็นเรื่องที่ชวนเศร้าสังเวช และเป็นที่สะเทือนใจ ทำลายขวัญคนไทยอย่างรุนแรง โดยเฉพาะผู้มีส่วนรู้เห็นในการยิงเป้า ผู้คุมลางคนถึงกับเบือนหน้าซ่อนน้ำตาด้วยความสังเวช เพราะการนำไปสู่แดนประหารทำการ"ยิงเป้า" ได้มีการแยกรุ่น ต่างวันต่างเวลา ทรมานจิตใจผู้ที่กำลังรอ"ความตาย"อย่างยากที่จะนำมาพรรณาได้ถูก แต่ก็ปรากฎว่า ผู้ถูกประหารต่างมีกำลังใจดี สมความเป็นชายชาติทหารอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ ร.ท. ณเณร ตาละลักษณ์ เป็นคนที่ปลงตกได้เป็นพิเศษ เวลาถูกนำจากที่จำขังไปแดนประหาร เขานำเอาทำนองเพลง ของหลวงวิจิตร วาทการ มาดัดแปลงแต่งขึ้นใหม่ และเดินร้องเพลงนั้นดังลั่นไปตลอดทาง โดยปราศจากความสะทกสะท้าน เพลงนั้น มีความสั้นว่า
"ตื่นเช้าสุขสราญ พวกเราเบิกบานกมล หอมกลิ่นปืนกล เราห้าคนจะขอลาตาย"
นอกจากจะสร้างความครึกครื้นให้แก่อารมณ์ข่มความเศร้าหมองแบบปลงตกได้จริงๆ แล้ว ตอนถูกผูกตา ร.ท. ณเณร ตาละลักษณ์ ยังขอร้องต่อเจ้าหน้าที่ขอผูกตาด้วยผ้าเช็ดหน้าของตนเอง และขอฝากผ้าผูกตาของเรือนจำไปให้มารดาของเขาเก็บไว้ดูต่างหน้าเป็นที่ระลึกถึงเขาอีกด้วย
นายดาบพวง พลนวี ผู้เป็นพี่ของศรีภรรยา "ทหารเสือ" พ.อ. พระยาทรงสุรเดช ซึ่งต้องระเห็จออกไปอยู่นอกประเทศ ดังที่เคยกล่าวถึงมาแล้ว เฝ้าแต่คร่ำครวญเป็นเชิงพ้อน้องเขยด้วยอารมณ์ที่กำลังหม่นหมองถึงขนาดว่า
"....เวลามันเป็นใหญ่เป็นโตก็ไม่เคยเลี้ยงดี...เวลาเดือดร้อนเกิดเรื่องChipหาย กูไม่รู้ไม่ชี้ด้วยเลยสักนิดเดียว แต่เป็นคนรับความChipหายนั้นเข้าไว้..."
ส่วนนายลี บุญตา ก็พิราบล่ำคร่ำครวญ ก่อนที่จะนำไปสู่แดนประหารเป็นถ้อยคำทิ้งไว้ให้คิดเป็นปริศนาว่า
"ผมไม่ผิด ไม่เคยคิดทรยศ...รับปากว่าจะช่วยผม แล้วทำไมไม่ช่วย..."
ก่อนจะถูกนำจากตึกขังไปสู่แดนประหาร ร.ท. ณเณร ได้ถาม ลี บุญตา อย่างสุภาพว่า
"นีแน่ะลี ไหนๆเราก็จะตายพร้อมกันอยู่แล้ว อั๊วขอถามลื้อจริงๆ เถอะว่า ลื้อกับอั๊วเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า? อั๊วอยากรู้ความจริงก่อนที่อั๊วจะตายเหมือนกันว่า มันอะไรกันแน่"
ลี บุญตา สะอื้นน้ำตาคลอตอบว่า "...ไม่...ไม่เคยเลย"
นักโทษประหารชุดที่ 1 ซึ่งถูกประหารวันแรก คือตอนเช้ามืดของวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ 2482 ได้แก่พระยาสุรฯ บุญมาก และสองพี่น้อง ลูกชายอดีตแม่ทัพไทย เมื่อถูกคุมตัวฝ่านทางหน้าห้องขังหลวงชำนาญยุทธศิลป พระสุวรรณชิต ได้ตะโกนกล่าวคำอำลาแทนเพื่อนร่วมคณะว่า
"ผู้การหลวงชำนาญ พวกผมขอลา..."
หลวงชำนาญ ผู้ซึ่งได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษร้องตอบเป็นเชิงเตือนสติว่า
"จงระลึกถึงแต่ความดี ที่ทำไว้แต่ปางหลัง เราเป็นทหาร ถึงทีตายก็ตาย อย่าหวาดหวั่น..."
ส่วนบุญมากกับเผ่าพงษ์ คงเดินไปสู่แดนประหารอย่างองอาจ สมชายชาติทหาร ตามคำเตือนสติของหลวงชำนาญ มีแต่ผุดพันธ์เท่านั้นที่คร่ำครวญด้วยความเป็นห่วงพ่อ ถึงกับสั่งกำชับนายพัน น้อยประไพ เจ้าหน่าที่เรือนจำ ซึ่งเคยได้รับความอุปถัมภ์ ให้ช่วยดูแลคุณพ่อของเขาด้วย
ก่อนถึงเวลาถูกประหาร พระสุวรรณชิต ไ้ด้เขียนจดหมายสั่งกำชับลูกๆ ไว้ด้วยความเป็นห่วงใย ส่อถึงจิตใจอันบริสุทธิ์ของผู้เป็นพ่อที่มีต่อลูก อันนับเป็นคติที่ดียิ่ง ควรค่าแก่การสังวรณ์ไว้ตอนหนี่งว่า
"......ลูกทุกคนขอให้ประพฤติตนเป็นพลเมืองดี อย่าอาฆาตมาดร้ายต่อใครทั้งสิ้น ถ้าครอบครัวของพ่อได้ปฎิบัติตามคำสั่งสั้นๆ นี้แล้ว จงเชื่อเถอะว่า พ่อตายด้วยความบริสุทธิ์ใจ ขอให้อยู่เป็นสุขกันทุกคน......"
การประหารนักโทษทั้ง 18 คน ครั้งนั้น นอกจากคำพูดของลี บุญตา ที่พูดทิ้งไว้ให้คิดเหมือนมี"ปริศนา" ชอบให้คำนึงนึกกันว่ามีความเคลือบแผงซ่อนเร้นอยู่ในข้อเท็จจริงบ้างหรือไม่ เป็นประการใดแน่แล้ว ยังมีสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นอีกถึงสองประการ เกี่ยวกับกำลังใจที่เข้มแข็งแกร่งกร้าวเกินคนของ ณเณร ตาละลักษณ์ประการหนึ่ง และความมีของดี ที่น่าพิศวงของหลวงสิทธิเรืองเดชพล อีกประการหนึ่ง กล่าวคือ
เมื่อมือเพชรฆาตลั่นกระสุนแบล็คมันต์ใส่ร่างหลวงสิทธิฯ นั้นปรากฎว่า กระสุนด้านครั้งแล้วครั้งเล่า จนหลวงมหืทธิ์ นักโทษประหารอีกคนหนึ่งถึงกับตะโกนก้องว่า"เมื่อยแล้วโว๊ย เมื่อไหร่จะยิงเสียที" และเมื่อหลวงมหืทธิ์ฯ ดับดิ้นสิ้นใจไปแล้ว การยิงหลวงสิทธิฯ ก็ยังไม่บรรลุผล ต้องแก้ไขปืน และเปลี่ยนกระสุนใหม่ตั้งหลายชุด ผู้รู้เห็นในที่นั้น ถึงกับเชื่อกันว่า"หลวงสิทธิ หนังเหนียว" เพราะกว่ากระสุนจะลั่นออกจากรังเพลิงพุ่งเข้าสู่เป้าหมายได้ มือปืนถึงกับใจสั่นเหงื่อกาฬไหล
ส่วน ณเณร ตาละลักษณ์ นั้น แม้กระสุนจะพุ่งเข้าสู่เป้าหมายเต็มอัตรา จนสิ้นเสียงชวนเสียวสยองไปแล้ว ก็ยังตะโกนก้องว่า
"ยิงซ้ำ-ยิงซ้ำ โว๊ย ยังไม่ตาย อย่ายิงกันแบบทรมาน"
สี่วันแห่งการประหารนักโทษการเมือง ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชาติ มันแสนที่จะน่าอนาถทรมานความรู้สึกของเพื่อนร่วมชาติอย่างบอกไม่ถูกอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นนักโทษคดีการเมืองชุดนี้ลางส่วนยังถูกส่งไปกักกันไว้ในแดนทรมานกลางทะเลลึกบนเกาะเปลี่ยวกลางดงฉลาม ทางทะเลฝั่งตะวันตก คือเกาะตะรุเตา อีกด้วย
ที่มา....หนังสือเรื่องปฎิวัติสามสมัย หน้าที่ 488-491
Cr :: http://www.oknation.net/blog/hardcorelawyer/2010/12/29/entry-1