Wall-E : หนังรักสุดโรแมนซ์ ล้ำด้วยธีมโลกอนาคตในแบบดิสโธเปีย แต่เอามามาทำเป็นอนิเมชั่นสำหรับเด็ก!!!

Hello, Eve!
วอลล์-อีรักอีฟมาก

WALL-E (2008)
Genre: Animation, Romance, Sci-fi, Adventure, Thriller, Comedy



Director: Andrew Stanton
Original Story: Andrew Stanton, Pete Docter
Screenplay: Andrew Stanton, Jim Reardon

หนังบางเรื่องเราอาจจะต้องรอให้เติบโตมากขึ้นแล้วย้อนกลับไปดูซ้ำอีกครั้งเพื่อจะพบว่า 'มันเทพมาก'
สำหรับผมแล้วการดู Wall-E ครั้งแรกเมื่อตอนหนังเข้าฉายในโรงปี 2008 สิ่งที่ผมได้กลับมามีเพียงแค่เสียงหัวเราะ ความสนุกสนานของหนัง และได้สาระว่าเป็นหนังรณรงค์รักษ์โลก (ช่วงนั้นธีมนี้มาแรงมาก) แต่เมื่อมาดูอีกครั้งในเวลา 6 ปีต่อมา การได้ดูหนังเยอะขึ้นทำให้มีประสบการณ์และมุมมองใหม่ที่มีต่อหนังมากขึ้น การดู Wall-E รอบสองจึงเป็นการสังเกตรายละเอียดของหนังที่ผมอยากจะบอกขอกล่าวสั้น ๆ ตรงนี้ว่า 'กราบ!!'


Wall-E จัดเป็นอีกหนึ่งหนังนำเสนอโลกอนาคตในแบบ 'dystopia' (ความหมายตรงข้ามกับ 'utopia' ซึ่งเป็นโลกในอุดมคติ) กล่าวคือโลกอนาคตที่สภาพเลวร้าย อยู่อย่างลำบาก, ถูกบังคับกดขี่, ขาดแคลนอาหาร อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็น 'dystopia' ครับ



Wall-E เลือกนำเสนอภาพโลก 'dystopia' ที่เสื่อมโทรมจาก 'ขยะ' จำนวนมหาศาลจนมนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ยังคงมีซากอารยธรรมว่าครั้งหนึ่งเคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ให้เห็นประปราย เป็นโลกที่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ (นิยามได้ว่าเป็น post-apocalyptic) สิ่งมีชีวิตสิ่งเดียวที่เราจะได้เห็นในหนังก็คือ 'แมลงสาบ' ซึ่งเป็นตลกร้ายเพราะเขาเคยศึกษากันว่า แมลงสาบมีวิวัฒนาการและปรับตัวให้สามารถอยู่รอดได้ในทุกภาวะวิกฤติ

หนัง hollywood หลายเรื่องหยิบยก post-apocalyptic หรือโลกหลังหายนะมาทำเป็น sci-fi drama เข้มข้น เช่น Oblivion, The Road, The Matrix, 12 Monkeys หรือหนังตล๊าดตลาดอย่าง I Am Legend ก็จัดว่าเป็น post-apocalyptic ที่ชัดเจนมาก ๆ (ผู้รอดชีวิตไม่กี่คนหลังเกิดหายนะ)

แต่ Wall-E กลับหยิบประเด็นหนัก ๆ แบบนี้มาทำเป็นอนิเมชั่นสำหรับเด็ก!! ด้วยตัวละครหุ่นยนต์ซื่อ ๆ นำเสนอโลกที่เสื่อมโทรมจากการทำลายธรรมชาติด้วยน้ำมือ 'มนุษย์' แล้วใส่ธีมการ 'ฟื้นฟูโลก' ซึ่งผมต้องกราบคนเขียนบทเลยครับว่า ไอเดียสร้างสรรค์มาก ๆ



'วอลล์-อี' หุ่นยนต์เก็บขยะตัวสุดท้ายของโลก มันยังคงทำงานเก็บขยะทุกวันพร้อมกับสะสมขยะที่มีค่าในสายตาของ 'วอลล์-อี' ทุกวันมันต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวมี 'แมลงสาบ' เป็นเพื่อนตัวเดียวที่พอจะช่วยให้พอมีชีวิตชีวา สิ่งจรรโลงใจของ 'วอลล์-อี' ก็คือการนั่งฟังเพลงรักดูฉากเต้นรำคู่ตอกย้ำความอ้างว้างของตัวเอง มันได้แต่หวังสักวันจะได้กุมมือใครด้วยความรักแบบในละครเพลง Hello, Dolly! (ละครเพลงโดย Gene Kelly นักแสดงนำละครเพลงยุค 40-50 Singin' in the Rain, An American in Paris)

จนกระทั่งการมาของ 'อีฟ' หุ่นยนต์ล้ำสมัยที่ถูกส่งมายังโลกเพื่อปฏิบัติภารกิจค้นหา 'สิ่งมีชีวิตที่สามารถสังเคราะห์แสงได้' พูดง่าย ๆ ก็ถูกส่งมาสำรวจโลกว่ามี 'พืช' เติบโตหรือยังนั่นแหละ



'วอลล์-อี' ตกหลุมรัก 'อีฟ' มันจึงพยายามเข้าไปใกล้ชิดกับ 'อีฟ' หุ่นยนต์ผู้แสนอ่อนหวานแต่แอบโหด!! และมันก็พยายามทำให้ 'อีฟ' ประทับใจด้วยวิธีการสุดแสนจะน่ารัก! เช่นปั้นรูป 'อีฟ', เปิดไฟโรแมนติกชวน 'อีฟ' เต้นรำ แต่ทีเด็ดคือตอน 'อีฟ' เครื่องดับหลังจากสำเร็จภารกิจแล้ว 'วอลล์-อี' พยายามทำทุกอย่างให้ 'อีฟ' ฟื้นขึ้นมา ได้เห็นความทุ่มเททำทุกอย่างด้วยความรักของ 'วอลล์-อี' เลยครับ

ต้องชมช่วงแรกของหนังก่อนเลยครับว่าดึงรูปแบบหนังเงียบ 'silent films' มาดัดแปลงได้ยอดเยี่ยมมาก ตัวละครใช้เทคนิคการถ่ายทอดอารมณ์ด้วยการ over-acting แบบหนังเงียบ แต่ Wall-E เลือกจะเสริมให้อารมณ์เด่นชัดขึ้นด้วยเสียงครางเล็กน้อย ถึงแม้จะแทบไม่มีบทสนทนานอกจากการแนะนำตัวแต่หนังสามารถถ่ายทอดเรื่องราวและอารมณ์ตัวละครผ่านภาษากายอันเป็นสากลได้ดีโคตร ๆ!!!
- หนังดึงประโยชน์ของ 'ตา/ใบหน้า' ทำงานร่วมกับ 'มือสองข้าง' เลียนแบบมนุษย์ได้สมบูรณ์แบบมาก ๆ ลองสังเกตการแสดงอารมณ์ของ 'วอลล์-อี' ในหนังสิครับ มันจะเป็นแนว over-acting แบบหนังเงียบสมัยก่อนเลยครับ ตกใจก็เอามือกุมอกทำหน้าสะดุ้ง หรือเอามือกุมหัวพร้อมกับสะดุ้ง, ตอนลุ้นก็ทำหน้าหงอย ชกมือสองข้างเข้าหากันแบบคนลุ้นให้มันใช้งานได้, พอใช้งานได้ก็ปรบมือ, ใช้การผายมือเพื่อนำเสนอ, การชี้นิ้วออกคำสั่ง
- โดยเฉพาะ 'อีฟ' นั้นใช้การแสดงอารมณ์ผ่าน 'ตาดิจิตอล' ชัดเจนมาก!!
- การแสดงความหวาดกลัวด้วยการลักษณะกายภาพตัวสั่น แล้วยังดึงอิทธิพลของสัตว์มีกระดองมาใช้ด้วยการให้ 'วอลล์-อี' แสดงอารมณ์กลัวผ่านการหดเข้ากระดอง
- การยืดคอ-หดคอ เงยหน้า-ก้มหน้า องศาการเอียงใบหน้าเหล่านี้ล้วนสื่อถึงอารมณ์ 'วอลล์-อี' ได้หมด

ต้องชมคนออกแบบตัวละคร 'วอลล์-อี' เลยครับว่าเก่งมากที่ทำให้ตัวละครแสดงอารมณ์ได้ชัดเจนขนาดนี้ และยังสร้างบุคลิกให้มัน 'น่ารัก' 'น่าเอ็นดู' มาก ๆ อีกด้วย



หลังจากนั้นเมื่อ 'ยาน Axiom' ส่งจรวดกลับมารับตัว 'อีฟ' ที่ค้นหา 'พืช' สำเร็จตามภารกิจ โดยมี 'วอลล์-อี' แอบเกาะจรวดตามไปด้วย หนังจึงฉายภาพให้คนดูได้เห็นว่าแท้จริงแล้วยังมีมนุษย์หลงเหลืออยู่จำนวนมาก พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยอำนวยความสะดวกสบายจนไม่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายแต่อย่างใด ที่พวกเขายังต้องอาศัยอยู่บนยานก็เพราะยังไม่สามารถกลับไปยัง 'โลก' ที่เสื่อมโทรมจากการทำลายธรรมชาติโดยบรรพบุรุษพวกเขา

รูปแบบของมนุษย์บน 'ยาน Axiom' จัดว่า Wall-E กำลังนำเสนอโลกอนาคตในแบบ 'cyberpunk' หรือนิยามได้ว่าโลกอนาคตที่ 'เทคโนโลยีล้ำสมัยแต่สภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์แย่' หนัง sci-fi หลายเรื่องครับที่หยิบความเป็น 'cyberpunk' มานำเสนอ เช่น Surrogates ที่มนุษย์อยู่เฉย ๆ ในบ้านแล้วควบคุมหุ่นยนต์ให้ออกไปข้างนอกแทน, The Matrix โลกล้ำสมัยขนาดไหนแต่มนุษย์ยังตกเป็นทาสของหุ่นยนต์, Akira โลกอนาคตไฮเทคแต่ประชาชนเดือดร้อนจนต้องออกมาต่อต้านรัฐบาล, Blade Runner ที่มนุษย์สภาพความเป็นอยู่เสื่อมโทรม หรือแม้แต่ Total recall



Wall-E เลือกนำเสนอภาพ 'cyberpunk' ว่า 'มนุษย์' ได้รับความสะดวกสบายจนไม่ต้องขยับตัวแต่อย่างใด มนุษย์นั่งอยู่บนเก้าอี้บังคับ สนทนาผ่านหน้าจออย่างเดียวโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัว ทุกคนไม่สนใจจะลุกขึ้นมาเดิน แทบจะไม่ต้องขยับตัวเคลื่อนไหวร่างกาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีสระว่ายน้ำ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอวกาศสวยขนาดไหน

คอนเซป 'cyberpunk' ใน Wall-E คือการพึ่งพาเทคโนโลยีเพื่อลดการใช้แรงงานตัวเอง มันไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยครับ หลักพื้นฐานของ 'เทคโนโลยี' ก็คือเพื่อช่วยให้ 'มนุษย์' ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น ย้อนไปสมัยโบราณ มนุษย์ก็เริ่มรู้จักการพัฒนา 'ล้อทรงกลม' สำหรับช่วยเข็นสัมภาระให้เคลื่อนที่โดยง่าย, จักรยานก็ถูกพัฒนาให้ติดเครื่องยนต์เป็นมอเตอร์ไซค์, รถยนต์จากระบบเกียร์อัตโนมัติ ก็พัฒนาเกียร์ออโต้ขึ้นมา แม้กระทั่งปัจจุบันยังพยายามลดการใช้ 'มือ' สั่งงานด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีสั่งงานด้วย 'เสียง' แทน



ในสายตาผมมองว่าการพึ่งพา 'เทคโนโลยี' อำนวยความสะดวกสบายไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพียงแต่มันต้องอยู่ในระดับที่ 'เหมาะสม' เช่น ลิฟต์กับบันไดเลื่อนที่ถูกพัฒนาเพื่อลดแรงงานการเดินขึ้น-ลงบันได เราไม่จำเป็นต้องใช้มันจนเคยตัว, การเดินทางใกล้ ๆ เราสามารถใช้จักรยานหรือเดินแทนการขับรถหรือมอเตอร์ไซค์, การสนทนากับคนใกล้ตัวด้วยการเดินไปคุยแทนการพูดโทรศัพท์หรือส่งข้อความในมือถือ เราลองดูโลกอนาคตใน Wall-E แล้วย้อนกลับมาถามตัวเราเองว่า 'เราต้องการความสะดวกสบายขนาดนั้นจริง ๆ หรือ?'

กลับไปที่ตัวหนัง Wall-E บน 'ยาน Axiom' หลังจาก 'อีฟ' ต้องส่งมอบ 'พืช' เข้าเครื่องโฮโลแกรมเพื่อตรวจสอบแล้วยานจะได้กลับโลก ปรากฎว่า 'พืช' ถูกขโมยหายไปโดยฝีมือ 'ออโต้' หุ่นยนต์ผู้ช่วยกัปตัน ด้วยตรรกที่ว่าการ 'ขัดขวางการตัดสินใจตามคอนเซปหนัง (กลับไปฟื้นฟูโลก)' ย่อมเป็น 'ตัวร้าย' แต่เปล่าเลยครับ มันไม่ใช่ตัวร้าย!



นับเป็นความฉลาดของบทหนังที่ไม่สร้างให้ 'ออโต้' เป็นตัวร้ายด้วยการสั่งการตัวเองเหมือนเหล่า 'ปัญญาประดิษฐ์' ที่พัฒนาความคิดตัวเองจนกลายเป็นตัวร้าย 'ออโต้' มันเพียงแค่ทำตาม 'คำสั่งสุดท้าย' ในเมื่อมนุษย์เคยออกคำสั่งสุดท้ายว่ายกเลิกภารกิจกลับไปฟื้นฟูอาณานิคม 'ออโต้' จึงเชื่อฟังคำสั่งนั้น เมื่อกัปตันต้องการกลับไปยังโลก มันจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางไม่ให้ 'ยาน Axiom' กลับไปยังโลก

ช่วงการเล่าเรื่องต่อสู้กับ 'ออโต้' ให้อารมณ์หนังทริลเลอร์ลุ้นระทึกตื่นเต้นมาก ๆ ดูแล้วคิดถึงตอนที่นักบินอวกาศต้องต่อสู้กับ H.A.L. 9000 ใน 2001: A Space Odyssey โดยเฉพาะตอนที่กัปตันต้องใช้ไหวพริบหลอกล่อหุ่นยนต์ นับเป็นการสร้างสรรค์บทได้ฉลาดดีครับ

เส้นเรื่องความโรแมนซ์ของ 'วอลล์-อี' กับ 'อีฟ' ก็เจ๋งมาก ช่วงต้นเรื่องบนโลกนี่ก็โคตรโรแมนติกน่ารักแล้วนะ แล้วบทหนังโรแมนซ์ก็เจ๋งมาก ๆ ที่เอาตอนต้นเรื่องมาใช้เฉลยให้ 'อีฟ' เห็นถึงความรักของ 'วอลล์-อี' ผมชอบฉากที่ 'อีฟ' ยืนดูภาพจากกล้องวิดีโอของตัวเองที่ทำงานอัตโนมัติตอน 'อีฟ' หยุดทำงาน แล้วผมก็ชอบตอนจบมากเลยนะที่ 'อีฟ' พยายามซ่อม 'วอลล์-อี' และพยายามฟื้นความทรงจำ 'วอลล์-อี' ด้วยสิ่งของที่ 'วอลล์-อี' เคยนำมาอวด มันทำให้เห็นว่าทั้งคู่รักกัน โดยใช้ 'ต้นเรื่องเป็นการแสดงความรักของวอลล์-อี' และใช้ 'ช่วงหลังให้อีฟยอมรับความรักของวอลล์-อี'



พูดถึงงานเทคนิคกันบ้าง
- ออกแบบตัวละครก็เจ๋งทุกตัว แม้กระทั่งพวกตัวประกอบเล็ก ๆ น้อย ๆ ยังมีฉากน่ารักกวน ๆ ให้จดจำ
- งานภาพสวยแบบสวยโคตร ๆ เลยครับ บนโลกก็สวย ในอวกาศก็สวย บนยานก็มีคอนเซปน่าสนใจ
- ผมชอบดนตรีประกอบมากกก เพลงเสริมความโรแมนติกก็ได้อารมณ์สุด ๆ

อนิเมชั่นเด็กแนวบันเทิงมักจะย่อมมี 'ตัวขโมยซีน' ลองคิดถึงบทบาทของ เพนกวินสุดแสบใน Madagascar, เอ็ดดี้+แครชใน Ice Age, มิสเตอร์ โปเตโต้ใน Toy Story แล้วมาเจอกับ 'โม' ใน Wall-E สักหน่อย จะบอกว่าผมชอบ 'โม' มากที่สุดในเรื่องเลยครับ น่ารักมากกกกก ขนาดตอนจบยังน่ารักเลย ฮ่าๆๆๆๆๆๆ



ดู Wall-E ถึงฉากจบแล้วมันก็น่าคิดนะครับว่าระหว่าง 'อยู่บนยานอย่างสะดวกสบายแต่สภาพชีวิตเหมือนแค่อยู่ให้หมดวัน' หรือเราจะ 'กลับโลกไปพัฒนาโลกที่เสื่อมโทรมแต่ได้ใช้ชีวิตที่มีคุณค่ากับตัวเอง'

ซึ่งกัปตันของ 'ยาน Axiom' ได้เลือกแล้วว่า "I don't want to survive. I want to live." (ฉันไม่ต้องการแค่อยู่รอด ฉันต้องการใช้ชีวิต) แล้วคุณล่ะครับจะเลือกอะไร?

10/10

หนังโปรดของข้าพเจ้า: https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่