คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
จะเล่าประวัติตัวเองให้ฟังค่ะ
พี่ก็เคยเป็นเด็กเรียนดี โดนคาดหวังชนิดที่ว่า "ทำไมเทอมนี้สอบได้ที่2ล่ะ"
แทนที่จะชม...
ต่อให้ได้เกรด4 แต่ถ้าคะแนนแค่ผ่าน80นี่เจอด่าไปแปดชาติ
ที่บ้านคาดหวังให้เป็นหมอเป็นอะไรเทือกๆนั้นมาตลอด
แต่ไม่ไหวอะค่ะ พี่จินตนาการภาพตัวเองไปจับเนื้อจับตัว ส่องคอดูเสมหะชาวบ้านไม่ออกเลย
คิดภาพแล้วพบว่ายังไงก็ไม่มีความสุขแน่ๆ (คนที่เขาเป็นหมอได้ไม่ใช่แค่ต้องฉลาดนะคะ ต้องมีอะไรมากกว่านั้นอีกเยอะ)
ต่อมาครอบครัวมีปัญหาหนักขึ้นๆ พ่อแม่ทะเลาะกัน แถมยังมากดดันพี่ขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายพี่ไม่เอาอะไรเลยค่ะ ตอนม.ปลายหนีจากบ้านมาเรียนที่กทม โดยความช่วยเหลือของป้า
มีต้องทำงานหาเงินเอง ผลการเรียนดีแค่ปีแรก ปีถัดๆมาก็ยังหนีความคาดหวังที่ว่าไม่พ้น
ไม่ส่งเสียแต่คาดหวังอะค่ะ การเรียนแย่ลงๆ คณะที่เลือกก็แอดมิดชั่นไม่ติด เพราะเลือกแบบไม่ดูตัวเอง
ที่ผ่านมาไม่เรียนมันจะติดได้ไง
สุดท้ายไปเรียนราม บอกตรงๆว่าอับอายเพื่อนฝูงมากกกกกกกกกก
พอเรียนนิติก็เจอความคาดหวังชุดใหญ่มาอีก แต่ตังไม่ให้เหมือนเดิม กัดฟันจนจบสามปีครึ่ง เกรดธรรมดา
เรียนเนฯต่อ คือทำงานพิเศษแต่อ่านเอง ดันเทอมแรกสอบได้1ตก1 ก็ยิ่งโดนคาดหวังหนักขึ้นไปอีก
ถามว่าสุขไหม เรียนนิติสนุกดีค่ะ แต่ความคาดหวังมันสูงไป ที่บ้านไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องเงินทองให้ได้
เวลาอ่านหนังสือไม่มีชีวิตก็จบละค่ะ
บ้านพี่ไม่ได้จนขนาดกัดก้อนเกลือกิน น้องชายแท้ๆ 2คน เรียนเอกชนตั้งแต่อนุบาล แค่เทอมเดือนละหลายหมื่น
ขณะที่ถามตัวเองว่าทำไมๆ ทำไมเขาคาดหวังเรา แต่กลับไม่สนับสนุน
พี่เลยทิ้งเลยค่ะ ไม่เอาอะไรเลย
เผอิญชอบดาราญี่ปุ่นมาตั้งแต่ม.4ม ก็มีหาโหลดดูบ้างอะไรบ้าง แล้วตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็มีไปเรียนภาษาเพิ่มบ้าง
แค่ไม่กี่คอร์สค่ะ จบหนังสือที่ชื่อ มินนะโนะนิฮงโกะ 4เล่ม สอบวัดระดับ N4 ได้คะแนนเต็ม
จากนั้นก็ดูซีรี่ย์เอย รายการเอย มาเรื่อยๆ จนถึงจุดที่บอกชีวิตไม่เอาอะไรแล้ว เนติก็ไม่เอานั่นแหละ
ลองไปสอบ N3 ผ่าน คะแนนดีด้วย แบบไม่ได้เรียนและอ่านเอง
คิดว่าควรหางานทำ จนได้มาทำงานล่ามในโรงงานญี่ปุ่น ต้องเรื่องเครื่องกลฯ ไฟฟ้า เพราะพี่ต้องตามญี่ปุ่นที่เป็นช่าง
ทำมาได้ครึ่งปี สอบ N2 ได้ คะแนนไม่แย่ด้วย งานราบรื่น ทำได้ดีกว่าคนที่เรียนมาทางนี้ หรือไปเรียนที่ญี่ปุ่นมาปีสองปีด้วย เงินเดือน สวัสดิการ ชีวิตทุกอย่างดีมาก
แต่ตรงนี้จะไม่อาจเอื้อมไปเทียบกับเด็กม.ดัง ระดับเกียรตินิยมนะคะ เพราะคนเรียนภาษามีหลากหลาย
พี่แค่มีความมั่นใจในระดับของคนที่เรียนมาเอง
ที่ทำได้ด้วยตัวเองมาขนาดนี้กับภาษาเนี่ย เพราะใจรักล้วนๆค่ะ ไม่ได้คิดว่ากำลังพยายาม ไม่ได้คิดว่ากำลังเรียน
กับภาษามันคือการเล่น การผ่อนคลาย นั่งดูทีวีไปเรื่อยมันซึมซับเอง
ประมาณนี้ล่ะค่ะ ที่เล่ามาซะยาว จริงๆแค่อยากจะบอกว่า ถ้าเป็นสิ่งที่รัก เราจะอยู่กับมันได้ด้วยความสุข ไม่ใช่เพราะว่าต้องทำ
แล้วมักจะทำได้ดีด้วย พี่คิดว่าเหนือกว่าพรสวรรค์คือใจรักค่ะ
ในขณะที่หลายคนท่องศัพท์เพราะต้องสอบต้องใช้ พี่เปิดหาศัพท์แค่เพราะอยากรู้
ใจที่กระตือรือร้น จะทำให้เราเกิดทักษะโดยไม่รู้ตัวค่ะ
ฝากไว้ให้คิด ขอให้โชคดี แต่อย่าทิ้งการเรียนล่ะ เรียนให้ดีๆไว้เป็นตัวเลือก เผื่ออนาคตเปลี่ยนใจ จะได้ไม่เข้าตำราคิดได้เมื่อสายนะคะ
พี่ก็เคยเป็นเด็กเรียนดี โดนคาดหวังชนิดที่ว่า "ทำไมเทอมนี้สอบได้ที่2ล่ะ"
แทนที่จะชม...
ต่อให้ได้เกรด4 แต่ถ้าคะแนนแค่ผ่าน80นี่เจอด่าไปแปดชาติ
ที่บ้านคาดหวังให้เป็นหมอเป็นอะไรเทือกๆนั้นมาตลอด
แต่ไม่ไหวอะค่ะ พี่จินตนาการภาพตัวเองไปจับเนื้อจับตัว ส่องคอดูเสมหะชาวบ้านไม่ออกเลย
คิดภาพแล้วพบว่ายังไงก็ไม่มีความสุขแน่ๆ (คนที่เขาเป็นหมอได้ไม่ใช่แค่ต้องฉลาดนะคะ ต้องมีอะไรมากกว่านั้นอีกเยอะ)
ต่อมาครอบครัวมีปัญหาหนักขึ้นๆ พ่อแม่ทะเลาะกัน แถมยังมากดดันพี่ขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายพี่ไม่เอาอะไรเลยค่ะ ตอนม.ปลายหนีจากบ้านมาเรียนที่กทม โดยความช่วยเหลือของป้า
มีต้องทำงานหาเงินเอง ผลการเรียนดีแค่ปีแรก ปีถัดๆมาก็ยังหนีความคาดหวังที่ว่าไม่พ้น
ไม่ส่งเสียแต่คาดหวังอะค่ะ การเรียนแย่ลงๆ คณะที่เลือกก็แอดมิดชั่นไม่ติด เพราะเลือกแบบไม่ดูตัวเอง
ที่ผ่านมาไม่เรียนมันจะติดได้ไง
สุดท้ายไปเรียนราม บอกตรงๆว่าอับอายเพื่อนฝูงมากกกกกกกกกก
พอเรียนนิติก็เจอความคาดหวังชุดใหญ่มาอีก แต่ตังไม่ให้เหมือนเดิม กัดฟันจนจบสามปีครึ่ง เกรดธรรมดา
เรียนเนฯต่อ คือทำงานพิเศษแต่อ่านเอง ดันเทอมแรกสอบได้1ตก1 ก็ยิ่งโดนคาดหวังหนักขึ้นไปอีก
ถามว่าสุขไหม เรียนนิติสนุกดีค่ะ แต่ความคาดหวังมันสูงไป ที่บ้านไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องเงินทองให้ได้
เวลาอ่านหนังสือไม่มีชีวิตก็จบละค่ะ
บ้านพี่ไม่ได้จนขนาดกัดก้อนเกลือกิน น้องชายแท้ๆ 2คน เรียนเอกชนตั้งแต่อนุบาล แค่เทอมเดือนละหลายหมื่น
ขณะที่ถามตัวเองว่าทำไมๆ ทำไมเขาคาดหวังเรา แต่กลับไม่สนับสนุน
พี่เลยทิ้งเลยค่ะ ไม่เอาอะไรเลย
เผอิญชอบดาราญี่ปุ่นมาตั้งแต่ม.4ม ก็มีหาโหลดดูบ้างอะไรบ้าง แล้วตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็มีไปเรียนภาษาเพิ่มบ้าง
แค่ไม่กี่คอร์สค่ะ จบหนังสือที่ชื่อ มินนะโนะนิฮงโกะ 4เล่ม สอบวัดระดับ N4 ได้คะแนนเต็ม
จากนั้นก็ดูซีรี่ย์เอย รายการเอย มาเรื่อยๆ จนถึงจุดที่บอกชีวิตไม่เอาอะไรแล้ว เนติก็ไม่เอานั่นแหละ
ลองไปสอบ N3 ผ่าน คะแนนดีด้วย แบบไม่ได้เรียนและอ่านเอง
คิดว่าควรหางานทำ จนได้มาทำงานล่ามในโรงงานญี่ปุ่น ต้องเรื่องเครื่องกลฯ ไฟฟ้า เพราะพี่ต้องตามญี่ปุ่นที่เป็นช่าง
ทำมาได้ครึ่งปี สอบ N2 ได้ คะแนนไม่แย่ด้วย งานราบรื่น ทำได้ดีกว่าคนที่เรียนมาทางนี้ หรือไปเรียนที่ญี่ปุ่นมาปีสองปีด้วย เงินเดือน สวัสดิการ ชีวิตทุกอย่างดีมาก
แต่ตรงนี้จะไม่อาจเอื้อมไปเทียบกับเด็กม.ดัง ระดับเกียรตินิยมนะคะ เพราะคนเรียนภาษามีหลากหลาย
พี่แค่มีความมั่นใจในระดับของคนที่เรียนมาเอง
ที่ทำได้ด้วยตัวเองมาขนาดนี้กับภาษาเนี่ย เพราะใจรักล้วนๆค่ะ ไม่ได้คิดว่ากำลังพยายาม ไม่ได้คิดว่ากำลังเรียน
กับภาษามันคือการเล่น การผ่อนคลาย นั่งดูทีวีไปเรื่อยมันซึมซับเอง
ประมาณนี้ล่ะค่ะ ที่เล่ามาซะยาว จริงๆแค่อยากจะบอกว่า ถ้าเป็นสิ่งที่รัก เราจะอยู่กับมันได้ด้วยความสุข ไม่ใช่เพราะว่าต้องทำ
แล้วมักจะทำได้ดีด้วย พี่คิดว่าเหนือกว่าพรสวรรค์คือใจรักค่ะ
ในขณะที่หลายคนท่องศัพท์เพราะต้องสอบต้องใช้ พี่เปิดหาศัพท์แค่เพราะอยากรู้
ใจที่กระตือรือร้น จะทำให้เราเกิดทักษะโดยไม่รู้ตัวค่ะ
ฝากไว้ให้คิด ขอให้โชคดี แต่อย่าทิ้งการเรียนล่ะ เรียนให้ดีๆไว้เป็นตัวเลือก เผื่ออนาคตเปลี่ยนใจ จะได้ไม่เข้าตำราคิดได้เมื่อสายนะคะ
แสดงความคิดเห็น
จะเลือกเส้นทางงานที่ชอบของตัวเองหรือทางที่ครอบครัวเลือกและหวังไว้ให้ดี?
เราเพิ่งหัดเล่นพันทิปค่ะ แท็กห้องผิด,มั่วยังไงก็หยวนๆ ล่ะกันเนอะ
ไม่รู้จะปรึกษาใครดี ปรึกษาเพื่อน เพื่อนก็กวนติง ปรึกษาครูก็ไม่ดีกว่า ระแวงว่าครูจะเอาไปพูดกับแม่ ซึ่งจะบอกเหตุผลไว้ท้ายตอนค่ะ
เข้าเรื่องค่ะ
เราเป็นเด็ก ม.2 จะขึ้น ม.3 แล้ว ยังไม่รู้อนาคตตัวเอง ไม่รู้จะเรียนสายไหน แต่พ่อแม่และญาติ(ขอเขียนรวมกันว่าครอบครัวนะคะ) ทุกคนอยากให้เราเรียนโตมาเป็น
หมอ ครู อะไรก็ได้ที่มันวิชาการๆ แต่เราไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ
เมื่อก่อนเราเป็นเด็ก วิท-คณิต(ชอบวิทมากตัวถนัดเลย แต่เกลียดคณิต) เป็นตัวแทนแข่งอะไรหลายๆอย่าง ครอบครัวตั้งความหวังสูงมาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่เราเป็นคนชอบงานศิลป์มากยิ่งโตยิ่งชอบ ชอบวาดรูป แล้ววาดก็ออกมาดี วาดส่งแข่งตามเพจตามงานร.ร.ได้บ้างไม่ได้บ้าง ชอบแต่งนิยายอ่านกันเองกับเพื่อน ชอบถ่ายรูปคอสเพล[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่ทำไงดี
ครอบครัว หวังปั้นให้เลือก วิท-คณิต
แต่เรา สายศิลป์ (วิท(อย่างเดียว))
แต่ด้วยความที่ไม่ชอบคณิต ความใส่ใจก็ไม่มี พยายามแล้วก็เลยประคับประคองได้อยู่แต่ก็ตกมาอยู่ห้อง2 คราวนี้แหละพ่อแม่ป้าน้าอา. จัดหนักกว่าเดิม
จับเราไปติวคณิตตลอดปิดเทอมซัมเมอร์ทุกวัน วันล่ะ 6-7 ชั่วโมง ยกเว้นวันเสาร์เท่ากับเวลาเรียนจนเปิดเทอม ทรมานมาก แต่พอเปิดเทอม "ลืม"
แต่พอเป็นงานวาดเทกนิคการวาด การถ่ายรูป บลาๆๆนี่เลเวลอัพขึ้นเอาๆ เลยรู้เลยว่าตัวเองถนัดอะไร
ลองถามลองเชิงกับแม่ คำตอบที่ได้คือ
เคยลองถามกับแม่ว่าสมมุติถ้าลูกไปอยู่สายศิลหรือไปเป็นจิตกรนี่จะเป็นไงแม่555คำตอบจากปากแม่คือ แล้วโตขึ้นจะทำไรกิน อยู่ยังไงงานรองรับมีรึเปล่าก็ไม่รู้ อยู่ไปก็ไส้แห้ง บลาๆๆๆ
น้าอาก็พอๆกัน ไม่มีใครสนับสนุนเล้ย คงมีแต่ตายายที่เค้าเฉยๆ
ถ้าเป็นไปได้อยากขอวิธีเกลี้ยกล่อม คนในครอบครัวเค้ายอมรับเราบ้าง
ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ มีคอมเม้นแนะนำอะไร หรืออย่างอื่น เชิญเม้นเบย มาหยาบๆไม่เอา