จากข้อความ...
เมื่อพระโยคาวจรทำบริกรรมว่า ปฏิกูล ในสรีระอันมีอยู่ของตน อัปปนาก็ดี อุปจาระก็ดี ย่อมเกิดขึ้น เมื่อทำบริกรรมว่า ปฏิกูล ในสรีระอันมีอยู่ของผู้อื่น อัปปนาย่อมไม่เกิด อุปจาระก็ไม่เกิด ถามว่า ก็ปฏิกูลแม้ทั้งสองย่อมเกิดในอสุภ๑0 มิใช่หรือ ? ตอบว่า ใช่เพราะอสุภ๑0 เหล่านั้นดำรงอยู่ในฝ่ายอนุปาทินนกสังขาร ฉะนั้น อัปปนาก็ดี อุปจาระก็ดี จึงเกิดได้ในอสุภ๑0 เหล่านั้น ส่วนปฏิกูลในสรีระของผู้อื่นนี้ตั้งอยู่ในฝ่ายอุปาทินนกสังขาร ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ อัปปนาและอุปจาระแม้ทั้งสองจึงไม่เกิดในที่นั้น
ขอเรียนถามครับ ว่าทำไมอัปปนาและอุปจาระจึงไม่เกิดในสรีระที่เป็นอุปาทินนกสังขารและทำไมจึงเกิดในสรีระของตนซึ่งก็เป็นอุปาทินนกสังขารเช่นกันครับ
ปฏิกูล
เมื่อพระโยคาวจรทำบริกรรมว่า ปฏิกูล ในสรีระอันมีอยู่ของตน อัปปนาก็ดี อุปจาระก็ดี ย่อมเกิดขึ้น เมื่อทำบริกรรมว่า ปฏิกูล ในสรีระอันมีอยู่ของผู้อื่น อัปปนาย่อมไม่เกิด อุปจาระก็ไม่เกิด ถามว่า ก็ปฏิกูลแม้ทั้งสองย่อมเกิดในอสุภ๑0 มิใช่หรือ ? ตอบว่า ใช่เพราะอสุภ๑0 เหล่านั้นดำรงอยู่ในฝ่ายอนุปาทินนกสังขาร ฉะนั้น อัปปนาก็ดี อุปจาระก็ดี จึงเกิดได้ในอสุภ๑0 เหล่านั้น ส่วนปฏิกูลในสรีระของผู้อื่นนี้ตั้งอยู่ในฝ่ายอุปาทินนกสังขาร ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ อัปปนาและอุปจาระแม้ทั้งสองจึงไม่เกิดในที่นั้น
ขอเรียนถามครับ ว่าทำไมอัปปนาและอุปจาระจึงไม่เกิดในสรีระที่เป็นอุปาทินนกสังขารและทำไมจึงเกิดในสรีระของตนซึ่งก็เป็นอุปาทินนกสังขารเช่นกันครับ