พบพระคัมภีร์พุทธเก่าแก่ที่สุดในโลก
ในถํ้าต่างๆ แห่งหุบเขาบามิยัน อัฟกานิสถาน !
เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2539 เจนส์ บราร์วิก ศาสตราจารย์ด้านโบราณคดีแห่งศูนย์การศึกษาก้าวหน้า ประเทศนอร์เวย์ ได้ไปเข้าร่วมประชุมทางวิชาการ ณ เมืองไลเดน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ผู้ร่วมประชุมคนหนึ่งได้เล่าให้เขาฟังว่า แซม ฟ็อกก์ พ่อค้าของเก่าแห่งนครลอนดอน ได้ขายชิ้นส่วนเอกสารโบราณของพุทธศาสนาจำนวน 108 ชิ้นให้แก่ มาร์ติน สเคอเยน (Martin Schoyen) ผู้อำนวยการและเจ้าของสถาบันอนุรักษ์สเคอเยน (Conservation Institute of Schoyen) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์เอกสารโบราณที่ใหญ่ที่สุดของโลก
พอได้ยินดังนั้น ศาสตราจารย์บราร์วิกก็เกิดความสนใจอย่างแรงกล้า จึงได้ไปพบกับสเคอเยนเพื่อขอศึกษาเอกสารดังกล่าว ซึ่งสเคอเยนก็ยินดีให้ความร่วมมือ และยังบอกเล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้าที่ฟ็อกก์จะขายเอกสารให้เขานั้น ฟ็อกก์ได้ติดต่อนักโบราณคดีชื่อ ลอเร แซนเดอร์ ให้ช่วยเขียนอธิบายความเป็นมาของเอกสารนี้ ซึ่งเมื่อแซนเดอร์นำไปวิเคราะห์ก็พบว่า มันถูกจารึกขึ้นเป็นภาษาสันสกฤต ในช่วงราวปี พ.ศ. 540-940 เป็นพระคัมภีร์ในพุทธศาสนาที่ว่าถึงพระสูตร พระวินัย ตลอดจนจารึกเหตุการณ์ต่างๆ หลากหลาย บางเรื่องก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว แต่เอกสารอีกหลายชิ้นมีเรื่องราวที่ไม่เคยปรากฏให้โลกรู้มาก่อน และเรียกได้ว่าเป็นเอกสารสำคัญที่เก่าแก่ที่สุดของพุทธศาสนา (ที่มีหลักฐานเหลืออยู่)
พระคัมภีร์พุทธศาสนาโบราณเหล่านี้จารึกอยู่บนแผ่นวัสดุต่างๆ ได้แก่ ใบลาน เปลือกไม้ และหนังแกะ ฯลฯ เจาะรูแล้วร้อยด้ายรวมไว้เป็นเล่ม บางเล่มอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ แต่ที่เป็นเศษเล็กเศษน้อยนั้นมีจำนวนมาก และเมื่อสืบหาข้อมูลต่อไป บราร์วิกก็พบว่า แหล่งที่มาของเอกสารสำคัญลํ้าค่านี้มิใช่อื่นไกล แต่เป็นถํ้าต่างๆ แห่งหุบเขาบามิยัน ในอัฟกานิสถานนั่นเอง ! ก็ต้องขอเล่าย้อนถึงอดีตกาล ณ สถานที่แห่งนี้
สมัยนับพันปีก่อนโน้น อัฟกานิสถานเป็นดินแดนอยู่บนเส้นทางสายไหมอันลือลั่นเชื่อมทอดระหว่างยุโรปกับจีน และยังเป็นทางผ่านจากจีนไปสู่อินเดียด้วย พระภิกษุในพระพุทธศาสนาได้จาริกจากอินเดียไปเผยแผ่ธรรมะยังเมืองจีนด้วยเส้นทางนี้ และเนื่องจากเป็นหนทางอันยาวไกล จึงได้พำนักระหว่างทางโดยอาศัยถํ้าต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย ณ เชิงเขาบามิยัน ซึ่งไม่ไกลจากกรุงคาบูล นครหลวงของอัฟกานิสถานเท่าใดนัก
ผู้จาริกศาสนาและนักเดินทางทั้งหลายต่างได้พบปะสนทนา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในด้านอารยธรรมระหว่างกันในถํ้าพำนักนี้ จึงมีการจารึกพระคัมภีร์ในพุทธศาสนาเป็นภาษาต่างๆ ทั้งจีน เตอรกี ทิเบต มองโกเลียน เมื่อมีเอกสารศาสนาเพิ่มมากขึ้น ก็ได้มีการจัดตั้งเป็นหอสมุดเก็บรักษาไว้ ซึ่งนานนับ 1,400 ปีมาแล้ว ที่เอกสารเหล่านี้ยังคงอยู่ในสภาพดี เนื่องจากภาวะอากาศอันหนาวเย็น และแห้งแล้งของอัฟกานิสถานได้ช่วยรักษาสภาพไว้ไม่ให้เปื่อยผุไปได้ง่าย ถ้าจะเทียบพระคัมภีร์พุทธในถํ้าที่บามิยันนี้ ก็มีลักษณะดุจเดียวกับม้วนพระคัมภีร์ในตุ่มแห่งเดดซี (Dead Sea Scrolls) ของชาวยิวนั่นเอง
ถ้าหากบ้านเมืองสงบสุข พระคัมภีร์พุทธเหล่านี้ก็จะยังคงอยู่ในถํ้าไปได้อีกนาน ทว่าหลังจากปี พ.ศ. 1300 เป็นต้นมา พวกมุสลิมได้รุกรานยึดครองอัฟกานิสถาน เอกสารบางส่วนในหอสมุดได้ถูกทำลายเสียหายขาดวิ่น ชิ้นส่วนที่ยังเหลือรอดอยู่ ได้พบว่าถูกนำไปเก็บไว้ในถํ้าแห่งหนึ่งห่างจากบามิยันไปทางเหนือราว 300 กิโลเมตร และเมื่อมุสลิมรุกรานหนักขึ้น ชาวพุทธเห็นว่าพระคัมภีร์เหล่านี้อยู่ในสถานะไม่ปลอดภัยเสียแล้ว จึงได้แอบนำพระคัมภีร์ลํ้าค่าเหล่านี้บรรทุกหลังลาลอบหนีออกจากอัฟกานิสถานเมื่อราว 5-6 ปีที่ผ่านมานี้ โดยเดินทางผ่านช่องเขาฮินดูกูษ และได้มีการส่งทอดกันต่อๆ ไปจนถึงนครลอนดอน ประเทศอังกฤษ และไปอยู่ในสถาบันอนุรักษ์สเคอเยน (พิพิธภัณฑ์เอกสารโบราณที่ใหญ่ที่สุดของโลก) ประเทศนอร์เวย์ ในท้ายที่สุด
หลังจากที่ศาสตราจารย์เจนส์ บราร์วิก ได้รู้ถึงแหล่งที่มาของพระคัมภีร์พุทธแล้ว ต่อมาสถาบันอนุรักษ์สเคอเยนจึงได้ใช้ความพยายาม “ขนย้าย” พระคัมภีร์พุทธที่ยังเหลือตกค้างอยู่ในอัฟกานิสถานออกมาเก็บรักษาเอาไว้ให้ได้มากที่สุด โดยใช้วิธีการทุกรูปแบบ กระทั่งนำเอาออกมาได้เกือบทั้งหมด ก่อนหน้าที่พระพุทธรูปแห่งบามิยันจะถูกระเบิดทำลาย และประเทศอัฟกานิสถาน-รัฐบาลตาลีบันจะถูกถล่มโดยกองทัพพันธมิตร (ซึ่งมีกองทัพสหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย ฯลฯ เป็นแกนนำ)
ในที่สุดก็สามารถรวบรวมชิ้นส่วนพระคัมภีร์พุทธได้หลายพันชิ้น โดยเอกสารพระคัมภีร์ที่ทยอยนำออกมานั้น เมื่อรวมกันตั้งแต่ต้นแล้วปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 5,000 ชิ้น ที่ยังเป็นรูปเป็นร่าง กล่าวคือ เป็นชิ้นส่วนของแผ่นจารึกใบลาน, เปลือกไม้ และหนังแกะ ที่มีขนาดตั้งแต่ 2 ตารางเซนติเมตร ไปจนถึงขนาดที่เป็นแผ่นสมบูรณ์ นอกนั้นเป็นเศษกระจิริดอีกราว 8,000 ชิ้น เมื่อได้รับชิ้นส่วนพระคัมภีร์มาแล้ว ทางสถาบันอนุรักษ์สเคอเยนจะทำความสะอาด จัดเตรียมเก็บทำสำเนา และลงหมายเลขกำกับแต่ละชิ้นไว้เพื่อทำการศึกษาค้นคว้าต่อไป
ซึ่งในการ “ชำระ” สังคายนาพระคัมภีร์ที่ได้มานี้มิใช่ของง่ายเลย จัดเป็นงานระดับยักษ์ที่ต้องอาศัยผู้รู้จริงจำนวนมาก ทางสถาบันอนุรักษ์สเคอเยนได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 โดยมีการสัมมนาครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2540 และท้ายสุดครั้งที่ 4 เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2542 ที่เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น โดยมีการเชิญนักโบราณคดีนานาชาติมาร่วมงาน มีการจัดพิมพ์เผยแผ่บางเรื่องที่ได้แปลและเรียบเรียงเสร็จแล้ว เช่น เรื่องของพระเจ้าอโศกมหาราช, พระเจ้าอชาตศัตรู และมหาปรินิพพานสูตร เป็นต้น
พระคัมภีร์พุทธเก่าแก่ที่สุดในโลก
ในถํ้าต่างๆ แห่งหุบเขาบามิยัน อัฟกานิสถาน !
เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2539 เจนส์ บราร์วิก ศาสตราจารย์ด้านโบราณคดีแห่งศูนย์การศึกษาก้าวหน้า ประเทศนอร์เวย์ ได้ไปเข้าร่วมประชุมทางวิชาการ ณ เมืองไลเดน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ผู้ร่วมประชุมคนหนึ่งได้เล่าให้เขาฟังว่า แซม ฟ็อกก์ พ่อค้าของเก่าแห่งนครลอนดอน ได้ขายชิ้นส่วนเอกสารโบราณของพุทธศาสนาจำนวน 108 ชิ้นให้แก่ มาร์ติน สเคอเยน (Martin Schoyen) ผู้อำนวยการและเจ้าของสถาบันอนุรักษ์สเคอเยน (Conservation Institute of Schoyen) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์เอกสารโบราณที่ใหญ่ที่สุดของโลก
พอได้ยินดังนั้น ศาสตราจารย์บราร์วิกก็เกิดความสนใจอย่างแรงกล้า จึงได้ไปพบกับสเคอเยนเพื่อขอศึกษาเอกสารดังกล่าว ซึ่งสเคอเยนก็ยินดีให้ความร่วมมือ และยังบอกเล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้าที่ฟ็อกก์จะขายเอกสารให้เขานั้น ฟ็อกก์ได้ติดต่อนักโบราณคดีชื่อ ลอเร แซนเดอร์ ให้ช่วยเขียนอธิบายความเป็นมาของเอกสารนี้ ซึ่งเมื่อแซนเดอร์นำไปวิเคราะห์ก็พบว่า มันถูกจารึกขึ้นเป็นภาษาสันสกฤต ในช่วงราวปี พ.ศ. 540-940 เป็นพระคัมภีร์ในพุทธศาสนาที่ว่าถึงพระสูตร พระวินัย ตลอดจนจารึกเหตุการณ์ต่างๆ หลากหลาย บางเรื่องก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว แต่เอกสารอีกหลายชิ้นมีเรื่องราวที่ไม่เคยปรากฏให้โลกรู้มาก่อน และเรียกได้ว่าเป็นเอกสารสำคัญที่เก่าแก่ที่สุดของพุทธศาสนา (ที่มีหลักฐานเหลืออยู่)
พระคัมภีร์พุทธศาสนาโบราณเหล่านี้จารึกอยู่บนแผ่นวัสดุต่างๆ ได้แก่ ใบลาน เปลือกไม้ และหนังแกะ ฯลฯ เจาะรูแล้วร้อยด้ายรวมไว้เป็นเล่ม บางเล่มอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ แต่ที่เป็นเศษเล็กเศษน้อยนั้นมีจำนวนมาก และเมื่อสืบหาข้อมูลต่อไป บราร์วิกก็พบว่า แหล่งที่มาของเอกสารสำคัญลํ้าค่านี้มิใช่อื่นไกล แต่เป็นถํ้าต่างๆ แห่งหุบเขาบามิยัน ในอัฟกานิสถานนั่นเอง ! ก็ต้องขอเล่าย้อนถึงอดีตกาล ณ สถานที่แห่งนี้
สมัยนับพันปีก่อนโน้น อัฟกานิสถานเป็นดินแดนอยู่บนเส้นทางสายไหมอันลือลั่นเชื่อมทอดระหว่างยุโรปกับจีน และยังเป็นทางผ่านจากจีนไปสู่อินเดียด้วย พระภิกษุในพระพุทธศาสนาได้จาริกจากอินเดียไปเผยแผ่ธรรมะยังเมืองจีนด้วยเส้นทางนี้ และเนื่องจากเป็นหนทางอันยาวไกล จึงได้พำนักระหว่างทางโดยอาศัยถํ้าต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย ณ เชิงเขาบามิยัน ซึ่งไม่ไกลจากกรุงคาบูล นครหลวงของอัฟกานิสถานเท่าใดนัก
ผู้จาริกศาสนาและนักเดินทางทั้งหลายต่างได้พบปะสนทนา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในด้านอารยธรรมระหว่างกันในถํ้าพำนักนี้ จึงมีการจารึกพระคัมภีร์ในพุทธศาสนาเป็นภาษาต่างๆ ทั้งจีน เตอรกี ทิเบต มองโกเลียน เมื่อมีเอกสารศาสนาเพิ่มมากขึ้น ก็ได้มีการจัดตั้งเป็นหอสมุดเก็บรักษาไว้ ซึ่งนานนับ 1,400 ปีมาแล้ว ที่เอกสารเหล่านี้ยังคงอยู่ในสภาพดี เนื่องจากภาวะอากาศอันหนาวเย็น และแห้งแล้งของอัฟกานิสถานได้ช่วยรักษาสภาพไว้ไม่ให้เปื่อยผุไปได้ง่าย ถ้าจะเทียบพระคัมภีร์พุทธในถํ้าที่บามิยันนี้ ก็มีลักษณะดุจเดียวกับม้วนพระคัมภีร์ในตุ่มแห่งเดดซี (Dead Sea Scrolls) ของชาวยิวนั่นเอง
ถ้าหากบ้านเมืองสงบสุข พระคัมภีร์พุทธเหล่านี้ก็จะยังคงอยู่ในถํ้าไปได้อีกนาน ทว่าหลังจากปี พ.ศ. 1300 เป็นต้นมา พวกมุสลิมได้รุกรานยึดครองอัฟกานิสถาน เอกสารบางส่วนในหอสมุดได้ถูกทำลายเสียหายขาดวิ่น ชิ้นส่วนที่ยังเหลือรอดอยู่ ได้พบว่าถูกนำไปเก็บไว้ในถํ้าแห่งหนึ่งห่างจากบามิยันไปทางเหนือราว 300 กิโลเมตร และเมื่อมุสลิมรุกรานหนักขึ้น ชาวพุทธเห็นว่าพระคัมภีร์เหล่านี้อยู่ในสถานะไม่ปลอดภัยเสียแล้ว จึงได้แอบนำพระคัมภีร์ลํ้าค่าเหล่านี้บรรทุกหลังลาลอบหนีออกจากอัฟกานิสถานเมื่อราว 5-6 ปีที่ผ่านมานี้ โดยเดินทางผ่านช่องเขาฮินดูกูษ และได้มีการส่งทอดกันต่อๆ ไปจนถึงนครลอนดอน ประเทศอังกฤษ และไปอยู่ในสถาบันอนุรักษ์สเคอเยน (พิพิธภัณฑ์เอกสารโบราณที่ใหญ่ที่สุดของโลก) ประเทศนอร์เวย์ ในท้ายที่สุด
หลังจากที่ศาสตราจารย์เจนส์ บราร์วิก ได้รู้ถึงแหล่งที่มาของพระคัมภีร์พุทธแล้ว ต่อมาสถาบันอนุรักษ์สเคอเยนจึงได้ใช้ความพยายาม “ขนย้าย” พระคัมภีร์พุทธที่ยังเหลือตกค้างอยู่ในอัฟกานิสถานออกมาเก็บรักษาเอาไว้ให้ได้มากที่สุด โดยใช้วิธีการทุกรูปแบบ กระทั่งนำเอาออกมาได้เกือบทั้งหมด ก่อนหน้าที่พระพุทธรูปแห่งบามิยันจะถูกระเบิดทำลาย และประเทศอัฟกานิสถาน-รัฐบาลตาลีบันจะถูกถล่มโดยกองทัพพันธมิตร (ซึ่งมีกองทัพสหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย ฯลฯ เป็นแกนนำ)
ในที่สุดก็สามารถรวบรวมชิ้นส่วนพระคัมภีร์พุทธได้หลายพันชิ้น โดยเอกสารพระคัมภีร์ที่ทยอยนำออกมานั้น เมื่อรวมกันตั้งแต่ต้นแล้วปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 5,000 ชิ้น ที่ยังเป็นรูปเป็นร่าง กล่าวคือ เป็นชิ้นส่วนของแผ่นจารึกใบลาน, เปลือกไม้ และหนังแกะ ที่มีขนาดตั้งแต่ 2 ตารางเซนติเมตร ไปจนถึงขนาดที่เป็นแผ่นสมบูรณ์ นอกนั้นเป็นเศษกระจิริดอีกราว 8,000 ชิ้น เมื่อได้รับชิ้นส่วนพระคัมภีร์มาแล้ว ทางสถาบันอนุรักษ์สเคอเยนจะทำความสะอาด จัดเตรียมเก็บทำสำเนา และลงหมายเลขกำกับแต่ละชิ้นไว้เพื่อทำการศึกษาค้นคว้าต่อไป
ซึ่งในการ “ชำระ” สังคายนาพระคัมภีร์ที่ได้มานี้มิใช่ของง่ายเลย จัดเป็นงานระดับยักษ์ที่ต้องอาศัยผู้รู้จริงจำนวนมาก ทางสถาบันอนุรักษ์สเคอเยนได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 โดยมีการสัมมนาครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2540 และท้ายสุดครั้งที่ 4 เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2542 ที่เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น โดยมีการเชิญนักโบราณคดีนานาชาติมาร่วมงาน มีการจัดพิมพ์เผยแผ่บางเรื่องที่ได้แปลและเรียบเรียงเสร็จแล้ว เช่น เรื่องของพระเจ้าอโศกมหาราช, พระเจ้าอชาตศัตรู และมหาปรินิพพานสูตร เป็นต้น