ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า ไม่ชอบเล่าเรื่องตัวเองให้ใครฟังเท่าไหร่ แต่มาคิดๆดูแล้ว รู้สึกว่าบทสนทนาของเราสองคนน่าจะเป็นประโยชน์ต่อใครหลายๆคนที่กำลังมีความรัก กำลังอยู่ในความสัมพันธ์ หรือคนที่กำลังรอคอยคนที่ใช่อยู่...
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เราสองคนรู้จักกันมา 6 ปีแล้ว เริ่มต้นจากการเป็นเพื่อนของเพื่อน ได้เพียงแต่พูดคุย เราเองยังเคยเป็นที่ปรึกษาด้านความรักให้เขาตอนที่ยังระหองระแหงกับแฟนเก่าอยู่ คุยกันแบบปกติธรรมดา ผ่านสื่อออนไลน์อย่าง MSN และ Skype ถ้าคลาสสิกหน่อยก็เป็นอีเมล์และจดหมาย จนกระทั่งเขาเลิกกับแฟนเก่าแบบเยียวยาอะไรไม่ได้ เราก็เป็นคนที่คอยคุยคอยปลอบเขา แม้จะไม่ได้เห็นหน้า....มีเพียงแค่ถ้อยคำที่ส่งไปถึง จนเขาได้ทุนเรียนมหาวิทยาลัยที่อังกฤษ แต่ก็ไม่อยากไปเรียน เราเองในฐานะเพื่อนคนหนึ่งที่อยากเห็นอีกฝ่ายประสบความสำเร็จ ก็ให้กำลังใจเต็มที่ พยายามให้กำลังใจทุกอย่าง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
ก่อนที่มหาวิทยาลัยที่นั่นจะเปิดเรียน เราสองคนมีโอกาสได้เจอ ได้ไปเที่ยวไหนต่อไหนด้วยกัน ขึ้นเหนือล่องใต้ มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ทำให้เรารู้ว่าเขาคือคนที่เราอยากให้อยู่ใกล้มากที่สุด แต่ขณะเดียวกันการที่ใช้เวลาเกือบ 24 ชม.ของทุกๆวันร่วมกันเป็นครั้งแรก ทำให้รู้ว่าการอยู่ด้วยกันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มีหลายอย่างที่เขาไม่ชอบ และเราไม่ชอบ เราทะเลาะกัน เราไม่พูดกัน เราทำให้ต่างฝ่ายต่างเสียใจ จนถึงขั้นที่ว่า แม้สุดท้ายแล้ว เราจะตกลงเป็นแฟนกัน แต่เราก็ยังเอาเรื่องนี้มาพูดทบทวนกันอยู่เสมอ "เราเหมาะควรที่จะอยู่ด้วยกันจริงหรือ?"
สุดท้ายแล้วเขาก็บินไปอังกฤษ ช่วงเวลาต่อจากนี้คือสิ่งที่ยากลำบาก เพราะความผิดใจกันเล็กน้อย ความสงสัยคลางแคลงใจที่ได้เริ่มต้นขึ้นนั้นขยายวงกว้างออกตามระยะทางที่เราห่างกัน เราทะเลาะกันอยู่อย่างนั้นอีกนานครึ่งเดือน โดยจบลงด้วย 'ข้อตกลงที่เรามีร่วมกัน' หนึ่งข้อ คือ 'เราจะไม่เก็บงำความทุกข์หรือปัญหาใดๆไว้กับตัวเอง' จะไม่มีการเงียบ ไม่มีการโกหก ไม่มีการแอบร้องไห้ที่ไหน ความซื่อสัตย์คือสิ่งที่เราสองคนยึดมั่นไว้เสมอ ช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมาเขาขนจดหมายรักที่เขาได้รับจากหญิงสาวมาสาธยายพร้อมกับคำสารภาพว่าเขา 'รู้สึกสับสน' ความเหงา ความอ้างว้าง คือศัตรูที่ร้ายกาจเสมอมา เราเองก็เล่าให้เขาฟังเสมอถึง 'คนดีๆ' ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตและทำให้เรารู้สึกอ่อนไหวไปด้วย เรายังคงทะเลาะกัน และต้องยอมรับว่ามีหลายวันคืนที่ความรักได้จืดจางลงไป เพราะเวลาที่แตกต่างและภาระงานที่มหาวิทยาลัยทำให้มีหลายครั้งเราเงียบหายจากกันและไปนาน แต่ไม่ว่าจะนานเพียงได้ เราสองคนก็มีชีวิตอยู่ในแต่ละวันที่ไม่ได้พูดคุยกันได้ด้วย "ความเชื่อใจ"
เราเติมเต็มความหวานเล็กๆน้อยๆด้วยจดหมาย การ์ด และของขวัญเล็กๆน้อย ด้วยความที่เขาไม่ได้รวยอะไร จึงไม่ได้ส่งของขวัญราคาแพงมาให้ เราได้เพียงแค่สร้อยคอราคาไม่แพงมากนัก ปิ่นปักผม ฯลฯ แต่ที่ประทับใจที่สุดก็น่าจะเป็น คราวที่เราขอ "ฤดูใบไม้ร่วง" เป็นของขวัญวันเกิด เขาส่งซองจดหมายซองใหญ่มาให้ ภายในบรรจุใบไม้สีแดงหลากหลายชนิด แต่ละใบเรียงร้อยต่อกันได้ออกมาเป็นถ้อยคำอวยพรวันเกิดและสัญญาว่าเราจะรักกัน
และด้วยความที่ทางบ้านเขาไม่ได้รวยอะไร เขาจึงต้องทำงานพิเศษเพิ่มเพียงเพื่อจะได้บินกลับมาเราที่ประเทศไทย...2 ปีเราจึงจะได้เจอกันสักครั้ง ครั้งนี้เราลองปรับตัวเองเข้าหากันและกัน พยายามเข้าใจซึ่งกันและกัน จะต้องไม่มีใครเปลี่ยนเพื่อใคร ขอเพียงแค่เราสองคนยอมรับและรักในสิ่งที่เราทั้งสองคนเป็น...
4 ปีผ่านไป โดยที่เราใช้เวลาส่วนใหญ่ห่างกัน เราไม่ได้ออกไปดูหนัง ไม่ได้ไปช็อปปิ้งด้วยกัน ไม่ได้ไปดินเนอร์ที่ภัตตาคารใต้เสียงเทียนเหมือนคู่รักคู่อื่น เราใช้เวลาส่วนใหญ่ "คุยกัน" ส่งเสียงหากันจากคนละซีกโลก เรารู้ความเคลื่อนไหวซึ่งกันและกัน วันนี้เธอจะไปเที่ยวไหน วันนี้เธอจะไปเรียนอะไร โดยที่แทบไม่ต้องเสียเวลาถาม แน่นอนว่าเราก็มีปัญหามือที่สาม ตามประสาคู่รักที่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน เพียงแต่ว่าการที่เรารู้ความเคลื่อนของกันและกันอยู่เสมอ ทำให้เรารู้ว่า "เธอ" คนนั้นเข้ามาเมื่อไหร่ และทำอะไรบ้าง --> เมื่อเวลาแบบนี้มาถึง ผู้หญิงทั้งหลายจะทำอะไร? เราโกรธมาก แต่ก็เลือกที่จะฟังคำอธิบายทุกอย่าง ฟังทุกเหตุผล และเอากลับไปคิดทบทวน เราเลือกที่รับฟังปัญหาของผู้หญิงคนนั้นด้วย เพราะรู้ว่าเธอก็เป็นมนุษย์ที่มีหัวใจเหมือนกัน เราบอกว่าเขาว่าเขาทำอะไรผิดไป และควรจะแก้ไขอย่างไร เราบอกเขาถึงสิ่งที่เราไม่ชอบ อย่างมีเหตุมีผล เพื่อที่เราจะเดินต่อไปด้วยกันได้
ผ่านมาถึงจุดๆหนึ่ง เมื่อทุกความ "ลังเลสงสัย" มลายไป ด้วยความพยายามในการพิสูจน์ตัวเองของเราทั้งคู่ จากคำพูดเล่นของเราตั้งแต่สมัยที่เรายังเป็นเพื่อนกันว่า 'นามสกุลเธอเพราะดีนั้น ขอเราใช้ด้วยได้มั้ย' กลายมาถึงจุดที่เขาบอกกับเราว่า "ผมพร้อมแล้ว ไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ผมพร้อมที่จะใช้ชีวิตจากนี้กับคุณ ผมจะบินไปหาคุณ และจะแต่งงานกับคุณ" แน่นอนว่าเราปฏิเสธ เพราะตอนนั้นเราทั้งคู่ยังเรียนไม่จบ แต่ก็ให้ถือว่านั่นคือคำหมั้นหมายที่มีความสำคัญยิ่งกว่าแหวนหมั้นราคาแพงใดๆ...
เขาบินกลับไปเรียนต่อและต้องใช้เวลาอีก 1 ปีกว่าจะเรียนจบ เราใช้เวลาระหว่างนี้คุยกัน วางแผนเรื่องที่อยู่อาศัย งาน ค่าใช้จ่าย และความฝันที่เรามีร่วมกัน ช่วงเวลาปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัยนั้นยากลำบาก ทั้งโปรเจคมากมาย ทั้งการสอบ และการฝึกงาน ทำให้เรามีเวลาคุยกันน้อยลงในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญครั้งนี้ จนเราเองที่เป็นผู้หญิงเข้มแข็งมาได้ตลอดหลายปี เริ่มรู้เหงาจนต้องหลั่งน้ำตาออกมาไม่รู้กี่ครั้ง สุดท้ายเราจึงขอร้องให้เขาส่งจดหมายมาให้หนึ่งฉบับ โดยขอให้เป็น "จดหมายที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมาได้ จดหมายที่จะช่วยชดเชยระยะทางระหว่างเรา" ทั้งที่เราก็พูดคุยกันอยู่ทุกวัน เราเพียงแต่รู้สึกว่ามันไม่เพียงพอ เรารู้สึกต้องการเครื่องยืนยันความรักที่มันเป็นตัวเป็นตน...
จากวันที่เราขอให้เขาเขียนจดหมายนั้น ถึงวันนี้มันผ่านมา 4 เดือนแล้ว โดยที่เขายังไม่ได้เเริ่มต้นจรดปากกาเขียนคำแรกลงบนกระดาษ ด้วยเหตุผลที่ว่าเขามีโปรเจคต้องเขียนมากมาย แต่ไปรษณีย์ก็ไม่ได้อยู่ใกล้ที่พักเอาเสียเลย จากที่เรารู้สึกเหงาแทบขาดใจ จนความว้าเหว่ชั่วคราวนั้นลาจากไปนานแล้ว เราก็ยังไม่ได้รับจดหมายนั้น หลายคนอาจจะบอกว่านี่คือตัวอย่างของความรักที่จืดจางลงไปตามกาลเวลาและระยะทางที่เราห่างกันกว่า 6,000 ไมล์...แค่จดหมายฉบับเดียวยังให้กันไม่ได้ แล้วเราจะแต่งงานกันได้อย่างไร?
แน่นอนว่าเขาขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี แต่มาถึงจุดๆนี้แล้วเราไม่ได้รู้สึกน้อยใจอะไร และนี่คือบทสนทนาของเรา...
เรา: " ถ้าเป็นเราเมื่อก่อนคงจะรู้สึกน้อยใจมากเลยแหละ เราอยากได้จดหมายของเธอเพราะเราอยากรู้สึกถึงการได้รับความรักได้รับความสนใจจากเธอ แต่ตอนนี้เราไม่ต้องความรักจากเธออีกแล้ว แค่นี้เราก็อยู่ได้แล้ว "
เขา: " เธอหมายความว่าอะไร? " (เริ่มเครียดแล้ว)
เรา: " ฉันว่า 'ความสัมพันธ์ของเรา' มันลึกซึ้งและมีคุณค่ามากกว่าความรักหลายเท่านัก "
เขา: " ผมไม่เข้าใจ " (เครียดหนักเข้าไปอีก)
เรา:
" ความรักมันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกเดียวนะ ความรู้สึกนี้มันเกิดแล้วก็จางหายไปได้ ไม่มีใครที่จะเกิดมามีความรู้สึกได้แบบเดียวหรอก (คนเราก็ต้องมีเศร้า มีโกรธ มีทุกข์ ฯลฯ กันได้) แต่ 'ความสัมพันธ์' น่ะมันประกอบขึ้นมาจากองค์ประกอบหลายอย่าง นอกจากความรักแล้ว เรายกตัวอย่างได้ตอนนี้ คือ 'ความเข้าใจ' และ 'ความเอาใจใส่' ที่เรามีให้กัน "
เขา: " ... "
เรา: " จากนี้ไปที่เราจะอยู่ร่วมกัน ความรักน่ะไม่สำคัญเท่า 'ความสัมพันธ์หรอก' "
เขา: " ขอบคุณมากจริงๆ ผมขอบคุณคุณจริงๆ คุณเปลี่ยนชีวิตผม "
เรา: " เราก็ต้องขอบคุณเธอเหมือนกันที่เข้าใจมุมมองของเรา เราดีใจนะที่มุมมองเราทั้งคู่ที่มีต่อความสัมพันธ์ของเราตรงกัน "
เขา: " ผมก็เช่นกัน "
เรา: " เราพร้อมแล้วล่ะ ที่จะใช้ชีวิตจากนี้ไปร่วมกัน "
ปล. เรา: " ส่วนจดหมายน่ะ ถ้าไม่ส่งก็ไม่ต้องส่งแล้วนะ แล้วเราจะบินไปเอาจากเธอที่นู่นเอง "
เขา: " งั้นไม่ส่งแล้วนะ "
เรา: " เฮ่ย... "
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[[ สิ่งที่เราสองคนคุยกัน ก่อนตกลงแต่งงาน; ความรักระยะไกล กับ 6,000 ไมล์ที่ต้องเอาชนะ ]]
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เราสองคนรู้จักกันมา 6 ปีแล้ว เริ่มต้นจากการเป็นเพื่อนของเพื่อน ได้เพียงแต่พูดคุย เราเองยังเคยเป็นที่ปรึกษาด้านความรักให้เขาตอนที่ยังระหองระแหงกับแฟนเก่าอยู่ คุยกันแบบปกติธรรมดา ผ่านสื่อออนไลน์อย่าง MSN และ Skype ถ้าคลาสสิกหน่อยก็เป็นอีเมล์และจดหมาย จนกระทั่งเขาเลิกกับแฟนเก่าแบบเยียวยาอะไรไม่ได้ เราก็เป็นคนที่คอยคุยคอยปลอบเขา แม้จะไม่ได้เห็นหน้า....มีเพียงแค่ถ้อยคำที่ส่งไปถึง จนเขาได้ทุนเรียนมหาวิทยาลัยที่อังกฤษ แต่ก็ไม่อยากไปเรียน เราเองในฐานะเพื่อนคนหนึ่งที่อยากเห็นอีกฝ่ายประสบความสำเร็จ ก็ให้กำลังใจเต็มที่ พยายามให้กำลังใจทุกอย่าง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
ก่อนที่มหาวิทยาลัยที่นั่นจะเปิดเรียน เราสองคนมีโอกาสได้เจอ ได้ไปเที่ยวไหนต่อไหนด้วยกัน ขึ้นเหนือล่องใต้ มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ทำให้เรารู้ว่าเขาคือคนที่เราอยากให้อยู่ใกล้มากที่สุด แต่ขณะเดียวกันการที่ใช้เวลาเกือบ 24 ชม.ของทุกๆวันร่วมกันเป็นครั้งแรก ทำให้รู้ว่าการอยู่ด้วยกันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มีหลายอย่างที่เขาไม่ชอบ และเราไม่ชอบ เราทะเลาะกัน เราไม่พูดกัน เราทำให้ต่างฝ่ายต่างเสียใจ จนถึงขั้นที่ว่า แม้สุดท้ายแล้ว เราจะตกลงเป็นแฟนกัน แต่เราก็ยังเอาเรื่องนี้มาพูดทบทวนกันอยู่เสมอ "เราเหมาะควรที่จะอยู่ด้วยกันจริงหรือ?"
สุดท้ายแล้วเขาก็บินไปอังกฤษ ช่วงเวลาต่อจากนี้คือสิ่งที่ยากลำบาก เพราะความผิดใจกันเล็กน้อย ความสงสัยคลางแคลงใจที่ได้เริ่มต้นขึ้นนั้นขยายวงกว้างออกตามระยะทางที่เราห่างกัน เราทะเลาะกันอยู่อย่างนั้นอีกนานครึ่งเดือน โดยจบลงด้วย 'ข้อตกลงที่เรามีร่วมกัน' หนึ่งข้อ คือ 'เราจะไม่เก็บงำความทุกข์หรือปัญหาใดๆไว้กับตัวเอง' จะไม่มีการเงียบ ไม่มีการโกหก ไม่มีการแอบร้องไห้ที่ไหน ความซื่อสัตย์คือสิ่งที่เราสองคนยึดมั่นไว้เสมอ ช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมาเขาขนจดหมายรักที่เขาได้รับจากหญิงสาวมาสาธยายพร้อมกับคำสารภาพว่าเขา 'รู้สึกสับสน' ความเหงา ความอ้างว้าง คือศัตรูที่ร้ายกาจเสมอมา เราเองก็เล่าให้เขาฟังเสมอถึง 'คนดีๆ' ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตและทำให้เรารู้สึกอ่อนไหวไปด้วย เรายังคงทะเลาะกัน และต้องยอมรับว่ามีหลายวันคืนที่ความรักได้จืดจางลงไป เพราะเวลาที่แตกต่างและภาระงานที่มหาวิทยาลัยทำให้มีหลายครั้งเราเงียบหายจากกันและไปนาน แต่ไม่ว่าจะนานเพียงได้ เราสองคนก็มีชีวิตอยู่ในแต่ละวันที่ไม่ได้พูดคุยกันได้ด้วย "ความเชื่อใจ"
เราเติมเต็มความหวานเล็กๆน้อยๆด้วยจดหมาย การ์ด และของขวัญเล็กๆน้อย ด้วยความที่เขาไม่ได้รวยอะไร จึงไม่ได้ส่งของขวัญราคาแพงมาให้ เราได้เพียงแค่สร้อยคอราคาไม่แพงมากนัก ปิ่นปักผม ฯลฯ แต่ที่ประทับใจที่สุดก็น่าจะเป็น คราวที่เราขอ "ฤดูใบไม้ร่วง" เป็นของขวัญวันเกิด เขาส่งซองจดหมายซองใหญ่มาให้ ภายในบรรจุใบไม้สีแดงหลากหลายชนิด แต่ละใบเรียงร้อยต่อกันได้ออกมาเป็นถ้อยคำอวยพรวันเกิดและสัญญาว่าเราจะรักกัน
และด้วยความที่ทางบ้านเขาไม่ได้รวยอะไร เขาจึงต้องทำงานพิเศษเพิ่มเพียงเพื่อจะได้บินกลับมาเราที่ประเทศไทย...2 ปีเราจึงจะได้เจอกันสักครั้ง ครั้งนี้เราลองปรับตัวเองเข้าหากันและกัน พยายามเข้าใจซึ่งกันและกัน จะต้องไม่มีใครเปลี่ยนเพื่อใคร ขอเพียงแค่เราสองคนยอมรับและรักในสิ่งที่เราทั้งสองคนเป็น...
4 ปีผ่านไป โดยที่เราใช้เวลาส่วนใหญ่ห่างกัน เราไม่ได้ออกไปดูหนัง ไม่ได้ไปช็อปปิ้งด้วยกัน ไม่ได้ไปดินเนอร์ที่ภัตตาคารใต้เสียงเทียนเหมือนคู่รักคู่อื่น เราใช้เวลาส่วนใหญ่ "คุยกัน" ส่งเสียงหากันจากคนละซีกโลก เรารู้ความเคลื่อนไหวซึ่งกันและกัน วันนี้เธอจะไปเที่ยวไหน วันนี้เธอจะไปเรียนอะไร โดยที่แทบไม่ต้องเสียเวลาถาม แน่นอนว่าเราก็มีปัญหามือที่สาม ตามประสาคู่รักที่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน เพียงแต่ว่าการที่เรารู้ความเคลื่อนของกันและกันอยู่เสมอ ทำให้เรารู้ว่า "เธอ" คนนั้นเข้ามาเมื่อไหร่ และทำอะไรบ้าง --> เมื่อเวลาแบบนี้มาถึง ผู้หญิงทั้งหลายจะทำอะไร? เราโกรธมาก แต่ก็เลือกที่จะฟังคำอธิบายทุกอย่าง ฟังทุกเหตุผล และเอากลับไปคิดทบทวน เราเลือกที่รับฟังปัญหาของผู้หญิงคนนั้นด้วย เพราะรู้ว่าเธอก็เป็นมนุษย์ที่มีหัวใจเหมือนกัน เราบอกว่าเขาว่าเขาทำอะไรผิดไป และควรจะแก้ไขอย่างไร เราบอกเขาถึงสิ่งที่เราไม่ชอบ อย่างมีเหตุมีผล เพื่อที่เราจะเดินต่อไปด้วยกันได้
ผ่านมาถึงจุดๆหนึ่ง เมื่อทุกความ "ลังเลสงสัย" มลายไป ด้วยความพยายามในการพิสูจน์ตัวเองของเราทั้งคู่ จากคำพูดเล่นของเราตั้งแต่สมัยที่เรายังเป็นเพื่อนกันว่า 'นามสกุลเธอเพราะดีนั้น ขอเราใช้ด้วยได้มั้ย' กลายมาถึงจุดที่เขาบอกกับเราว่า "ผมพร้อมแล้ว ไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ผมพร้อมที่จะใช้ชีวิตจากนี้กับคุณ ผมจะบินไปหาคุณ และจะแต่งงานกับคุณ" แน่นอนว่าเราปฏิเสธ เพราะตอนนั้นเราทั้งคู่ยังเรียนไม่จบ แต่ก็ให้ถือว่านั่นคือคำหมั้นหมายที่มีความสำคัญยิ่งกว่าแหวนหมั้นราคาแพงใดๆ...
เขาบินกลับไปเรียนต่อและต้องใช้เวลาอีก 1 ปีกว่าจะเรียนจบ เราใช้เวลาระหว่างนี้คุยกัน วางแผนเรื่องที่อยู่อาศัย งาน ค่าใช้จ่าย และความฝันที่เรามีร่วมกัน ช่วงเวลาปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัยนั้นยากลำบาก ทั้งโปรเจคมากมาย ทั้งการสอบ และการฝึกงาน ทำให้เรามีเวลาคุยกันน้อยลงในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญครั้งนี้ จนเราเองที่เป็นผู้หญิงเข้มแข็งมาได้ตลอดหลายปี เริ่มรู้เหงาจนต้องหลั่งน้ำตาออกมาไม่รู้กี่ครั้ง สุดท้ายเราจึงขอร้องให้เขาส่งจดหมายมาให้หนึ่งฉบับ โดยขอให้เป็น "จดหมายที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมาได้ จดหมายที่จะช่วยชดเชยระยะทางระหว่างเรา" ทั้งที่เราก็พูดคุยกันอยู่ทุกวัน เราเพียงแต่รู้สึกว่ามันไม่เพียงพอ เรารู้สึกต้องการเครื่องยืนยันความรักที่มันเป็นตัวเป็นตน...
จากวันที่เราขอให้เขาเขียนจดหมายนั้น ถึงวันนี้มันผ่านมา 4 เดือนแล้ว โดยที่เขายังไม่ได้เเริ่มต้นจรดปากกาเขียนคำแรกลงบนกระดาษ ด้วยเหตุผลที่ว่าเขามีโปรเจคต้องเขียนมากมาย แต่ไปรษณีย์ก็ไม่ได้อยู่ใกล้ที่พักเอาเสียเลย จากที่เรารู้สึกเหงาแทบขาดใจ จนความว้าเหว่ชั่วคราวนั้นลาจากไปนานแล้ว เราก็ยังไม่ได้รับจดหมายนั้น หลายคนอาจจะบอกว่านี่คือตัวอย่างของความรักที่จืดจางลงไปตามกาลเวลาและระยะทางที่เราห่างกันกว่า 6,000 ไมล์...แค่จดหมายฉบับเดียวยังให้กันไม่ได้ แล้วเราจะแต่งงานกันได้อย่างไร?
แน่นอนว่าเขาขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี แต่มาถึงจุดๆนี้แล้วเราไม่ได้รู้สึกน้อยใจอะไร และนี่คือบทสนทนาของเรา...
เรา: " ถ้าเป็นเราเมื่อก่อนคงจะรู้สึกน้อยใจมากเลยแหละ เราอยากได้จดหมายของเธอเพราะเราอยากรู้สึกถึงการได้รับความรักได้รับความสนใจจากเธอ แต่ตอนนี้เราไม่ต้องความรักจากเธออีกแล้ว แค่นี้เราก็อยู่ได้แล้ว "
เขา: " เธอหมายความว่าอะไร? " (เริ่มเครียดแล้ว)
เรา: " ฉันว่า 'ความสัมพันธ์ของเรา' มันลึกซึ้งและมีคุณค่ามากกว่าความรักหลายเท่านัก "
เขา: " ผมไม่เข้าใจ " (เครียดหนักเข้าไปอีก)
เรา: " ความรักมันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกเดียวนะ ความรู้สึกนี้มันเกิดแล้วก็จางหายไปได้ ไม่มีใครที่จะเกิดมามีความรู้สึกได้แบบเดียวหรอก (คนเราก็ต้องมีเศร้า มีโกรธ มีทุกข์ ฯลฯ กันได้) แต่ 'ความสัมพันธ์' น่ะมันประกอบขึ้นมาจากองค์ประกอบหลายอย่าง นอกจากความรักแล้ว เรายกตัวอย่างได้ตอนนี้ คือ 'ความเข้าใจ' และ 'ความเอาใจใส่' ที่เรามีให้กัน "
เขา: " ... "
เรา: " จากนี้ไปที่เราจะอยู่ร่วมกัน ความรักน่ะไม่สำคัญเท่า 'ความสัมพันธ์หรอก' "
เขา: " ขอบคุณมากจริงๆ ผมขอบคุณคุณจริงๆ คุณเปลี่ยนชีวิตผม "
เรา: " เราก็ต้องขอบคุณเธอเหมือนกันที่เข้าใจมุมมองของเรา เราดีใจนะที่มุมมองเราทั้งคู่ที่มีต่อความสัมพันธ์ของเราตรงกัน "
เขา: " ผมก็เช่นกัน "
เรา: " เราพร้อมแล้วล่ะ ที่จะใช้ชีวิตจากนี้ไปร่วมกัน "
ปล. เรา: " ส่วนจดหมายน่ะ ถ้าไม่ส่งก็ไม่ต้องส่งแล้วนะ แล้วเราจะบินไปเอาจากเธอที่นู่นเอง "
เขา: " งั้นไม่ส่งแล้วนะ "
เรา: " เฮ่ย... "
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------